ตอนที่ 1069 ถ่อมตัวมาโดยตลอด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

สีหน้าของปรมาจารย์จางยิ่งดำคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ เขาอยากจะฉีกปากเจ้าเด็กนี่จริง ๆ

ต่อหน้าสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาจะมาเสียภาพลักษณ์ตัวเองไม่ได้

ปรมาจารย์จางกล่าว “มู่หรงเฉียนเยี่ย เจ้ายังเด็ก ทำเช่นนี้มันเสี่ยงเกินไปแล้วเจ้ารู้ตัวหรือไม่ หากสูญเสียสมุนไพรขั้นสวรรค์หายากไปคงเสียดายแย่”

เขามองสมุนไพรขั้นสวรรค์ที่อยู่ในมือมู่เฉียนซีด้วยความละโมบและกล่าวว่า “เอาสมุนไพรขั้นสวรรค์นี้มาให้ข้าเก็บรักษาเอาไว้เถอะ แล้วข้าจะมอบสูตรยากับสมุนไพรวิญญาณหลอมยาลูกกลอนให้เจ้า เป็นเช่นไร?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์จาง นี่ท่านคิดจะติดสินบนข้าอย่างนั้นเหรอ เหตุใดท่านถึงไม่พูดว่า หากข้ามอบสมุนไพรขั้นสวรรค์ให้ท่าน ท่านจะให้ข้าผ่านด่านซะเลยล่ะ”

ปรมาจารย์จางผงะไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น”

มู่เฉียนซีกล่าว “อ๋อ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงแค่พยายามหลอมยาอย่างสุดความสามารถแล้วล่ะ”

ปรมาจารย์จางโกรธจนแทบกระอักเลือด “เจ้า นิสัยของเจ้าช่างไม่เปลี่ยนเลยจริง ๆ เจ้าจงใจจะยั่วโมโหข้าอย่างนั้นรึ?”

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อได้เห็นฉากการโต้วาจานี้กับตา ดูเหมือนว่าท่านหัวหน้านักปรุงยาผู้นี้จะไม่ได้สูงส่งเหมือนดั่งคำที่ร่ำลือไว้

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์จาง ท่านอย่าได้เสียเวลาเลย ประเดี๋ยวจะมืดค่ำเอาเสียก่อน”

ปรมาจารย์จางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากได้สมุนไพรขั้นสวรรค์ของเจ้ามากอย่างนั้นเหรอ ข้าก็แค่เป็นคนที่ชอบเก็บรักษาก็เท่านั้น อีกอย่าง ข้าก็แค่อยากให้เจ้าเห็นถึงคุณค่าของสมุนไพรขั้นสวรรค์ให้มากก็เท่านั้น”

ว่าแล้วเขาก็โบกมือพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เริ่มหลอมยาได้!”

หลังจากบทแทรกที่เกิดจากสมุนไพรขั้นสวรรค์ได้สิ้นสุดลง ในตอนนี้บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้น

นางต้องการหลอมยาลูกกลอนขั้นปฐพี ถึงแม้ว่าในตอนนี้นางจะเลื่อนขั้นพลังวิญญาณถึงขั้นจักรพรรดิระดับหกแล้ว แต่การหลอมยาลูกกลอนระดับนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะสำเร็จได้อย่างเต็มร้อย

นักปรุงยาทุกท่านมองมู่เฉียนซีนำสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่าแต่ละชนิดใส่เข้าไปในหม้อก็รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และในขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน

“เจ้าเด็กผู้นี้จะหลอมยาลูกกลอนระดับใดกันแน่?”

“ท่านปรมาจารย์จาง ท่านดูออกหรือไม่?”

“……”

ท่านปรมาจารย์จางดูไม่ออกจริง ๆ ในหัวของเจ้าเด็กผู้นี้มีสูตรยามากมายที่เขาไม่รู้ เขาอยากจะควักหัวสมองอันล้ำค่าของเจ้าเด็กผู้นี้ออกมาจริง ๆ

แววตาของปรมาจารย์จางฉายแววความคิดร้ายออกมา จากนั้นก็ตอบคนข้าง ๆ ว่า “จักรพรรดิแห่งภูตระดับหกคนหนึ่งจะสามารถหลอมยาลูกกลอนใดออกมาได้เล่า ก็คงจะทำลายสิ่งของเสียหายไปอย่างเปล่าประโยชน์”

“ท่านปรมาจารย์จาง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยผู้นี้สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะสามารถหลอมยาลูกกลอนข้ามระดับได้หรือไม่!”

จักรพรรดิแห่งภูตระดับหก อย่างมากก็สามารถหลอมยาลูกกลอนขั้นปฐพีระดับกลางได้ แต่หากสามารถหลอมยาลูกกลอนขั้นปฐพีระดับสูงออกมาได้ นั่นก็หมายความว่าฝีมือเก่งกาจมาก

ปรมาจารย์จางกล่าวเสียงขรึมว่า “พวกเจ้าก็เป็นนักปรุงยาเหมือนกัน พวกเจ้าก็รู้ดีว่าการปรุงยาข้ามระดับได้นั้นมันยากเย็นมากเพียงใด”

เขามองไปที่มู่เฉียนซีด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “เจ้าเด็กนั่นสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ก็เพราะว่าพึ่งพาอาศัยทักษะวิญญาณ แต่การหลอมยานั้น มันไม่สามารถคดโกงกันได้”

นักปรุงยาเหล่านี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วย “ท่านหัวหน้านักปรุงยาพูดถูก!”

มู่เฉียนซีใจจดใจจ่ออยู่กับการหลอมยา พวกเขาพบว่าสีหน้าของนางในตอนนี้เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ พลังวิญญาณรอบตัวก็ไม่คงที่

ปรมาจารย์จางทำเสียงฮึดฮัดออกทางจมูกก่อนจะกล่าวว่า “นี่คือจุดจบของผู้ที่ไม่ดูกำลังความสามารถของตนเอง อีกไม่นานเขาก็ไม่อาจควบคุมพลังวิญญาณเอาไว้ได้ และเมื่อถึงตอนนั้นยาลูกกลอนในเตาหลอมทั้งหมดก็จะต้องถูกทำลายลง ช่างน่าเสียดาย!”

มู่เฉียนซีกลับไม่ได้เป็นไปตามที่ปรมาจารย์จางกล่าว พลังวิญญาณหมด แล้วการหลอมยาจะล้มเหลว!

นางเอาเข็มยาออกมาหลายเข็มฉีดเข้าร่างกายตนเอง ไม่นานนักพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็ฟื้นฟูกลับมาอีกครั้ง

การหลอมยาก็ยังคงดำเนินต่อไป!

จากนั้น อีกไม่นานเวลาในการทดสอบก็ใกล้จะหมดลงแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็หลอมยาลูกกลอนออกมาสำเร็จ

ส่วนมู่เฉียนซีในตอนนี้ยังหลอมไม่เสร็จ!

พวกเขารู้ว่ามู่เฉียนซีได้ทุ่มเทสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่าไปมากมายเพื่อหลอมยาลูกกลอนหม้อนี้ ทว่า ตอนนี้นางกำลังจะพ่ายแพ้แล้ว

ทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าก็เกิดความวิปริตแปรปรวนขึ้นอย่างน่าประหลาด ลมพายุพัดกระโชกอย่างรุนแรง!

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงพรึงเพริดจนตาค้าง “นี่มัน การแปรปรวนเช่นนี้ เขา ยาลูกกลอนของเขา ปรากฏการณ์ที่แปรปรวนเช่นนี้ คงจะไม่ใช่ยาลูกกลอนขั้นสวรรค์กระมัง!”

ปรมาจารย์จางกล่าว “ยาลูกกลอนขั้นสวรรค์ข้าค่อนข้างคุ้นเคย ยาลูกกลอนที่เขาหลอมไม่ใช่ยาลูกกลอนขั้นสวรรค์แน่นอน”

“ก็จริง! อายุยังไม่ถึงยี่สิบก็เป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยา นั่นคงจะน่ากลัวเกินไปแล้ว”

“แต่ต่อให้นี่จะไม่ใช่ยาลูกกลอนขั้นสวรรค์ ก็เกรงว่าจะเป็นหนึ่งในยาลูกกลอนขั้นปฐพี อาจจะเป็นยาลูกกลอนขั้นปฐพีระดับสูง!”

“……”

สีหน้าของปรมาจารย์จางในตอนนี้ดำคล้ำยิ่งกว่าก้นหม้อเสียอีก ไม่เพียงแต่จะเป็นระดับสูง แต่ยังเป็นระดับสูงมากไม่อาจเทียบได้อีกด้วย!

ยาลูกกลอนระดับสูงอย่างไม่อาจเทียบได้ถูกเจ้าเด็กผู้นี้หลอมออกมาได้แล้ว

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เขาปรารถนาที่จะให้พลังจิตและพลังวิญญาณของเจ้าเด็กผู้นี้ไม่เพียงพอ ยาลูกกลอนในหม้อจะได้ระเบิดไปซะ เพราะเขาไม่อยากจะเห็นท่าทางลำพองใจของเจ้าเด็กน่ารังเกียจผู้นี้แม้แต่น้อย

และสิ่งที่ทำให้ปรมาจารย์จางผิดหวังก็คือ ยาลูกกลอนในหม้อไม่ได้ระเบิดอย่างที่เขาได้ปรารถนาไว้

ในขณะที่เม็ดยาสีขาวผ่องราวหิมะในหม้อค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง หลังจากที่พลังของเม็ดยาคงที่แล้ว ปรากฏการณ์ที่แปรปรวนอย่างแปลกประหลาดเหล่านั้นรอบ ๆ บริเวณก็ได้หายไป

ยาลูกกลอนอันสมบูรณ์แบบเม็ดหนึ่งถูกมู่เฉียนซีหยิบออกมาและบรรจุลงในขวดหยก

ในตอนนี้ การทดสอบได้สิ้นสุดลงแล้ว

นักปรุงยาเหล่านั้นอดใจรอไม่ไหวรีบพรวดพราดเข้ามา พึมพำพลางดูยาลูกกลอนที่มู่เฉียนซีหลอมออกมาโดยที่ไม่สนใจภาพลักษณ์ของตนเองเลย

หลังจากที่ดูเสร็จ พวกเขาก็อุทานขึ้นว่า “ยาลูกกลอนขั้นปฐพีระดับสูงอย่างไม่อาจเทียบได้ พระเจ้า! เป็นระดับที่ไม่อาจเทียบได้จริง ๆ ด้วย!”

“ต่อให้เป็นข้า ก็ไม่สามารถหลอมยาลูกกลอนระดับนี้ได้!”

“เจ้าเด็กผู้นี้ช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”

จากการอุทานออกมาของนักปรุงยาเหล่านี้ คนอื่นก็รู้ได้ทันทีว่ายาลูกกลอนของพวกเขาไม่สามารถเทียบกับยาลูกกลอนของมู่หรงเฉียนเยี่ยได้

ระดับสูงอย่างไม่อาจเทียบได้ ให้เวลาพวกเขาอีกสิบปีก็ไม่สามารถหลอมออกมาได้

แต่เจ้าเด็กผู้นี้ที่อายุเพียงแค่สิบเจ็บปีกลับทำได้ เขาไม่ใช่มนุษย์แล้ว!

“สามารถหลอมยาระดับนี้ออกมาได้ ส่วนมากก็จะเป็นเพราะมีหม้อยาดีกับสมุนไพรวิญญาณดี อายุยังน้อย อย่าได้ทะนงตนจนเกินไป” ปรมาจารย์จางกล่าวออกมาอย่างจริงจัง

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านปรมาจารย์จาง ข้าเป็นคนสงบเสงี่ยม ถ่อมตัวมาโดยตลอด เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ท่านพูด”

เจ้าเด็กผู้นี้ จะมองเช่นไรก็ไม่เหมือนคนที่ถ่อมตัวเลยแม้แต่น้อย มุมปากของทุกคนกระตุกขึ้น

การทดสอบครั้งนี้มู่เฉียนซีทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยมจนน่าแปลก และอารมณ์ของปรมาจารย์จางก็ไม่ค่อยจะดีนัก

แต่ต่อให้เขาอารมณ์ไม่ดีเพียงใด เขาก็ต้องประกาศว่ามู่หรงเฉียนเยี่ยผ่านการทดสอบด่านนี้อยู่ดี และได้กลายเป็นนักปรุงยาของตำหนักโอสถแห่งตำหนักตงจี๋

ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้เจ้าเด็กผู้นี้หนีไปได้ เขาจะต้องเอาความรู้ทั้งหมดที่เจ้าเด็กนี่มีควักออกมาให้ได้

เพื่อให้ความสามารถในการปรุงยาของเขาพัฒนาขึ้นในอีกระดับ!

มู่เฉียนซีเป็นคนแรกที่ผ่านเข้ารอบ ส่วนผู้เข้าร่วมคนอื่นก็มีไม่กี่คนที่พอจะมีคุณสมบัติเช่นกัน ส่วนคนอื่นที่ไม่ถูกคัดเลือกก็ทำได้เพียงแต่จากไป

หนึ่งในนักปรุงยาท่านหนึ่งกล่าวว่า “กฎของตำหนักโอสถของพวกเรานั้นไม่ค่อยจะเคร่งครัดมากนัก พวกเจ้าแค่ส่งมอบยาลูกกลอนตามจำนวนที่กำหนดไว้ในทุก ๆ เดือนก็ได้แล้ว”

สถานะของนักปรุงยาในดินแดนสี่ทิศนั้นสูงส่งมาโดยตลอด ต่อให้เป็นกองกำลังระดับสามอย่างตำหนักตงจี๋ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว นักปรุงยานั้นมีอำนาจเป็นพิเศษ และมีอิสระมาก

ปรมาจารย์จางมองไปที่มู่เฉียนซีและกล่าวว่า “มู่หรงเฉียนเยี่ย ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเจ้า ตามข้ามาเถอะ!”

มู่เฉียนซีกลับกล่าวอย่างไม่เคารพว่า “ท่านปรมาจารย์จางมีเรื่องอันใดจะคุยกับข้าเหรอ? หรือว่าอยากจะคุยกับข้าเรื่องธิดาศักดิ์สิทธิ์หัวหมูนั่นล่ะ พิษนั่นก็ผ่านมาหลายวันแล้ว หรือว่าท่านปรมาจารย์จางยังแก้พิษให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้?”