ดวงตางดงามของซูจิ่นซีหรี่ลงอย่างกะทันหัน นางโน้มตัวไปข้างหน้าและบีบข้อมือของเป่ยถังหลี
ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สาวน้อย เจ้าต้องตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา หากเจ้ากล้าพูดเท็จเพียงคำเดียว ข้าจะฉีกร่างเจ้าทิ้ง! ”
แท้ความจริงแล้ว ภายในใจของเป่ยถังหลีรู้สึกหวาดกลัวซูจิ่นซีเป็นทุนเดิม ยิ่งในเวลานี้เห็นการแสดงออกที่เย็นชาของซูจิ่นซีอีกครั้ง นางจึงรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก
จากนั้นจึงเหลือบมองไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา ตงหลิงหวง อวิ๋นจิ่น และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
เยี่ยโยวเหยาไม่จำเป็นต้องพูดอันใด นับประสาอันใดกับเด็กสาวตัวเล็กอย่างเป่ยถังหลี แม้แต่ปีศาจร้ายจอมสังหาร เมื่อเห็นเขายังต้องหวาดกลัว และไม่กล้ามองตรงๆ ด้วยซ้ำ
แม้อวิ๋นจิ่นจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกราวกับเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า สูงศักดิ์ และเข้าถึงยาก
ตงหลิงหวงมีสถานะสูงศักดิ์โดยกำเนิด เมื่อเห็นครั้งแรก นางเป็นดั่งผู้มีอำนาจน่ายำเกรง
ส่วนอู๋จุนดุร้ายกับนางมาตลอด เขาไม่เคยไว้หน้านางตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เหลือเพียงถังเสวี่ยที่ดูน่ารักสดใส เหมือนจะเข้าได้ง่ายที่สุด ทว่ามองตามสถานการณ์แล้วคงไร้ประโยชน์!
หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เมื่อเป่ยถังหลีกลับมาได้สติ นางจึงสบสายตาซูจิ่นซีโดยไม่ทันตั้งตัว
แสงเยือกเย็นและสีหน้าขึงขังทำให้นางตกใจจนตัวสั่น
“ยังไม่บอกอีก! ” ซูจิ่นซีกระชากเสียงต่ำ
เป่ยถังหลีตกใจอย่างรุนแรง นางถอยกลับไปเล็กน้อย ใบหน้าที่เคยซีดเผือดกลายเป็นสีซีดขาวมากขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่สดใสและงดงามของซูจิ่นซี ทว่าเย็นชาและเยือกเย็นสุดขั้ว เป่ยถังหลีก็ไม่กล้าต่อต้านอีกต่อไป นางกลืนน้ำลายที่ติดอยู่ในลำคอ และเอ่ยปากพูด
“ข้าพูด… ข้าพูด… ”
ซูจิ่นซีหยุดกดดัน รอให้เป่ยถังหลีผ่อนคลายและพูดออกมา
“คนผู้นั้น… คนผู้นั้นคือท่านอ๋องรองของสกุลเป่ยถังของข้า เสด็จลุงรองของข้ามีชื่อว่า เป่ยถังเฮ่อ”
“ดูเหมือนเจ้าจะกลัวเขา? ” ซูจิ่นซียังคงชี้นำหัวข้อนี้ไปในทิศทางที่นางต้องการทราบ
ไม่รู้ว่าเป่ยถังหลีกำลังครุ่นคิดสิ่งใด มือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวจึงสั่นสะท้านถึงสองครั้ง
จากนั้นจึงตอบคำถามของซูจิ่นซีต่อ “เสด็จลุงรอง… เสด็จลุงรองควบคุมดูแลตระกูลลำดับสอง แม้เขาจะไม่เคยยุ่งกิจการของตระกูล ทว่าเขามีอุปนิสัยเจ้าชู้ เต็มไปด้วยตัณหาราคะ วางอำนาจ เสวยสุขส่วนตัวทั้งวัน แม้แต่ในเรือนอี๋หง ภายในจวนเขา ใครก็ตามที่เขาพึงใจ เขาไม่เคยสนใจเรื่องจริยธรรมและความสัมพันธ์ทางสายเลือด ขอเพียงเป็นสตรีที่เขาชื่นชอบ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้”
ภายในความคิดของซูจิ่นซี นางกำลังครุ่นคิดถึงบุรุษในชุดขาวนกกระเรียนที่แท่นจิ่วโยวก่อนหน้านี้ แม้นางจะเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก ทว่านางรับรู้ได้ว่าเขามีรูปร่างสูงและสง่างามมาก ใบหน้าสีแดงระเรื่อ ทว่าใบหน้าสีแดงเล็กน้อยนั้น เมื่อมองครั้งแรกก็รู้ว่าเป็นใบหน้าที่ชื่นชอบเสพกามารมณ์ หาความสุขมากเกินควร
เมื่อลองคิดดูแล้ว สิ่งที่เป่ยถังหลีกล่าวมานั้นมีเหตุผลพอสมควร
เมื่อเห็นซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เป่ยถังหลีจึงพูดต่ออีกว่า “สิ่งที่เจ้าอยากรู้ ข้าก็บอกไปหมดแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง? ”
ซูจิ่นซีกลับมาได้สติ แววตางดงามเรียบเฉยเหลือบมองเป่ยถังหลี ทว่าไม่ได้ตอบคำถามนางในทันที
เป่ยถังหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าคงไม่คืนคำกระมัง? เจ้าเป็นคนมีสถานะ คิดว่าคงจะมีสัจจะ”
สีหน้าของซูจิ่นซีปรากฏความเย็นชา “ข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่มากนัก”
คำพูดนี้หมายความอย่างไร? จะปล่อยหรือไม่ ต้องพิจารณาแยกกันหรือ?
เป่ยถังหลีไม่คิดว่า หลังจากนางอธิบายทุกอย่างแล้ว ซูจิ่นซีจะมีท่าทางเช่นนี้ ภายในใจของนางเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ทว่าอารมณ์ทั้งหมดของนางถูกกดดันอย่างรวดเร็ว นางเริ่มร้องไห้เหมือนเด็ก
“ฮือ ฮือ เจ้ามันคนเลว เจ้าโกหกข้า ฮือ ฮือ”
“เจ้าบอกว่า ขอเพียงข้าตอบคำถามเจ้า เจ้าจะปล่อยข้า ทว่าเจ้าผิดคำพูด ฮือ ฮือ ฮือ… ”
“พวกเจ้ามีคนมากกว่า แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่กันทุกคน อายุมากกว่าข้ามาก ทว่ารวมหัวกันรังแกเด็กสาวตัวเล็ก ฮือ ฮือ ฮือ สวรรค์ต้องลงโทษ ฮือ ฮือ ฮือ… ”
เอ่อ…
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ตอบสนอง
ถังเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นว่าซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และคนอื่นๆ ยืนนิ่งไม่มีผู้ใดตอบสนอง ทั้งเป่ยถังหลียังร้องไห้ฟูมฟาย นางจึงเดินเข้าไปเพื่อปลอบโยน
“เจ้าอย่าร้องไห้เลย ซูจิ่นซีไม่ได้บอกเจ้าว่าจะไม่ปล่อยเจ้าไป! พวกเราไม่ได้รังแกเจ้า เจ้าอย่าร้องไห้เลย! ”
ถังเสวี่ยไม่เข้าไปปลอบยังจะดีเสียกว่า ขณะที่นางเข้าไปปลอบโยน เป่ยถังหลีก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“ฮือ ฮือ ฮือ… ข้าไม่สน ข้าไม่สนใจ พวกคนเลว พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ข้าต้องการพี่ใหญ่ ฮือ ฮือ คนเลว คนเลว… ”
ถังเสวี่ยเห็นเช่นนี้ สถานการณ์เลยเถิดกันไปใหญ่แล้ว นางไม่รู้ว่าจะปลอบอย่างไร
ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาเผยท่าทีหมดความอดทน
อวิ๋นจิ่นและตงหลิงหวงไม่คิดจะเข้าไปแทรกแซง
อู๋จุนหันหลังกลับ และกระโดดขึ้นไปนั่งไขว้ขาบนเก้าอี้ “เสียงดังน่ารำคาญจริงๆ รีบจัดการไปให้พ้น! หากเสียงดังอีก หูข้าคงจะแตกแล้ว”
“ฮือ ฮือ ฮือ… พี่ชาย พี่ชาย ท่านอยู่ที่ใด เหตุใดยังไม่มาช่วยหลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์กำลังจะถูกคนพวกนี้ฆ่าอยู่แล้ว ฮือ ฮือ ฮือ… ท่านพี่ ท่านพี่”
เป่ยถังหลีร้องไห้เสียงดังและดังขึ้นเรื่อยๆ ดังมากจนกระเบื้องบนหลังคาสั่นสะเทือน
ถังเสวี่ยขมวดคิ้วเครียด
“ซูจิ่นซี เจ้ารีบพูดอันใดบ้างเถิด! ”
ซูจิ่นซีจ้องดวงตาของเป่ยถังหลี นางจะไม่เห็นภายในใจที่แท้จริงของเด็กสาวคนนี้ได้อย่างไร?
ไม่คาดคิดว่าจะมีความเจ้าเล่ห์เพทุบายและใจกล้าตั้งแต่อายุยังน้อย หากเป็นคนธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับพวกเขา จะต้องตกใจอย่างแน่นอน ทว่านางสามารถคิดหาวิธีจัดการเพื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ และใช้มันได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ช่างขัดกับประโยคที่ว่า อย่าคิดว่าเด็กยังเล็ก เล็บของพวกเขาแหลมคม!
เด็กผู้นี้ไม่ธรรมดา
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ ซูจิ่นซีก็กระชากเสียงดุดันเย็นชา “เจ้าหุบปาก! ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ถังเสวี่ยปลอบโยนเป็นเวลานานกลับไม่ได้ผล ทว่าซูจิ่นซีกระชากเสียงเย็นชาไปครั้งเดียว เป่ยถังหลี อยากจะร้องไห้อีกครั้ง ทว่าเสียงของนางเหมือนติดอยู่ในลำคอ ร้องไห้ไม่ออก
ภายในห้องพลันเงียบสนิท
เป่ยถังหลีมองซูจิ่นซีด้วยสายตาอ้อนวอน
ในที่สุด ซูจิ่นซีก็พูดว่า “คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว เจ้าพักที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เช้าตรู่ ข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับ”
จากนั้นจึงหันไปพูดกับทุกคนว่า “ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถิด! นี่ก็ดึกมากแล้ว! ”
อวิ๋นจิ่นกล่าวลาด้วยความนอบน้อมเป็นคนแรก “กระหม่อมทูลลา”
ตงหลิงหวงเป็นลำดับถัดไป
“ไปดีกว่า ไม่เห็นจะสนุกเลย” อู๋จุนเดินออกไป ถังเสวี่ยย่อมเดินตามเขาออกไปเช่นกัน
ซูจิ่นซีสั่งให้คนจัดที่พักให้เป่ยถังหลี ทั้งยังสั่งให้องครักษ์ที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุดคอยคุ้มกัน
หลังจากนั้น นางกับเยี่ยโยวเหยาก็กลับไปที่ห้องนอน
นับเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบคืนหนึ่ง เช้าวันถัดมา นางสั่งให้องครักษ์ไปส่งเป่ยถังหลี
ทว่า…