เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่กำลังจัดเตรียมองครักษ์เพื่อไปส่งเป่ยถังหลี โดยมีอวิ๋นจิ่นอาสาเป็นผู้รับผิดชอบเอง
ก่อนจากไป อวิ๋นจิ่นเดินมาหาเป่ยถังหลีและพูดว่า “แม่นางเป่ยถัง ต้องขออภัยด้วย”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด เป่ยถังหลีก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น แสงสีขาวพลันสว่างอยู่เบื้องหน้า เข็มเงินปรากฏอยู่ที่นิ้วมือของอวิ๋นจิ่น เขาเจาะเข็มลงบนลำคอของเป่ยถังหลี ทันใดนั้น เป่ยถังหลีก็หมดสติ
“นำรถม้าเข้ามา” อวิ๋นจิ่นสั่งเสียงเข้ม
พวกเขาแต่ละคนมีสถานะพิเศษ การเดินทางมาถึงแคว้นเป่ยอี้ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ จะต้องระมัดระวังเพื่อป้องกันอันตราย
หลังรถม้าออกจากตรอกที่พวกเขาอาศัยอยู่ ก็จงใจวิ่งวนไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนจะไปถึงประตูหลังของจวนเป่ยอี้อ๋อง
อวิ๋นจิ่นไม่ได้ลงจากรถม้าด้วยตนเอง ทว่าสั่งให้คนแบกเป่ยถังหลีลงไปเคาะประตูแล้วรีบออกไป เมื่อยืนยันได้ว่ากำลังมีคนมาเปิดประตู
คนที่มาเปิดประตู บังเอิญเป็นสาวใช้ข้างกายเป่ยถังหลีพอดี เป่ยถังหลีได้นัดแนะสาวใช้ให้รออยู่ที่ประตูหลังตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รอจนกระทั่งเป่ยถังหลีกลับมาจากพบมารดาของนางที่เขาจิ่วโยว ก็เปิดประตูให้นางทันที ทว่าสาวใช้รอทั้งคืน เป่ยถังหลีก็ยังไม่กลับมา
นางวิตกกังวลเหมือนมดบนหม้อไฟ และไม่รู้จะทำเช่นไร กลับไม่คิดว่า จู่ๆ นางจะได้ยินเสียงคนเคาะประตู นางจึงรีบเดินไปเปิดประตู
ไม่คาดคิดว่าเป่ยถังหลีจะกลับมาจริงๆ
ทว่าขณะที่นางเห็นเป่ยถังหลีอยู่ในอาการหมดสติ นางทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว กลัวว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นกับเป่ยถังหลี
ทว่าเวลานี้ยังเช้าอยู่ เช้าตรู่เช่นนี้ คุณหนูจิ่วของจวนอี้อ๋องปรากฏตัวที่ประตูด้านหลังจวน หากโหวกเหวกโวยวายออกไป คงยากที่จะอธิบาย
นางจึงจงใจลดเสียงต่ำ และเอ่ยเรียกเป่ยถังหลีด้วยท่าทีร้อนใจ “คุณหนู คุณหนูเป็นอันใดเจ้าคะ? คุณหนูอย่าทำให้บ่าวตกใจกลัว! ”
สาวใช้มีสายตาที่ดีอย่างมาก นางกวาดสายตามองตามร่างกายของเป่ยถังหลีอย่างรวดเร็ว เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้รับบาดเจ็บ
เป่ยถังหลีไม่ได้รับบาดเจ็บภายนอก ทว่าอาการหมดสติน่ากลัวยิ่งกว่า อย่างไรเสีย เขาจิ่วโยว สถานที่แห่งนั้นก็ไม่ธรรมดา
สาวใช้จึงร้องเรียกนางด้วยสีหน้าร้อนใจ
ตอนที่อวิ๋นจิ่นสั่งให้คนอุ้มเป่ยถังหลีออกจากรถม้า เขาได้ดึงเข็มเงินออกจากลำคอของเป่ยถังหลีแล้ว
ไม่นานนัก เป่ยถังหลีก็ค่อยๆ ฟื้นจากอาการหมดสติ
สาวใช้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นเปลือกตาของเป่ยถังหลีขยับเล็กน้อย
“คุณหนู… คุณหนู… ”
เป่ยถังหลีค่อยๆ ลืมตาขึ้น แสงแดดยามเช้าแยงตา นางจึงใช้มือป้องไว้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเห็นสถานการณ์ตรงหน้า
เมื่อครู่นางยังอยู่ในสถานที่ลึกลับ ทว่านางไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางก็ได้มาอยู่ที่ประตูด้านหลังจวนของตนเอง ทั้งยังอยู่ต่อหน้าสาวใช้ของนาง ปี้สี ทำให้นางตกตะลึงไปพักหนึ่ง
ปี้สีร้อนใจมากจนแทบร้องไห้ “คุณหนู ในที่สุดคุณหนูก็ฟื้นแล้ว บ่าวตกใจกลัวแทบตายเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องถามให้มากความ เป่ยถังหลีก็คาดเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้น “กลับกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
จากนั้น ปี้สีก็รีบพยุงเป่ยถังหลีขึ้นและเดินเข้ามาในจวน มุ่งหน้าไปที่เรือนของนาง
อย่างไรก็ตาม ไม่คาดคิดว่าพวกนางทั้งสองเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว คนจำนวนหนึ่งก็กรูกันเข้ามาหาพวกนาง
“โอ้ น้องจิ่ว ไปที่ใดมาหรือ? ”
“ใช่ เช้าตรู่เช่นนี้ เจ้าแอบเข้ามาทางประตูด้านหลัง เจ้าออกจากเรือนไปเมื่อคืน และเพิ่งจะกลับมาหรือ? ”
ท่ามกลางกลุ่มคน สองคนที่เป็นผู้นำคือนายน้อยเป่ยถังชิงและแม่นางเป่ยถังเฟิ่งจากตระกูลเป่ยถังลำดับสอง ทั้งยังมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งเดินกรูกันเข้ามา
คนที่เพิ่งพูดเสียดสีเป่ยถังหลีคือ เป่ยถังเฟิ่ง
เดิมที เป่ยถังหลีตกตะลึงเล็กน้อยเพราะเพิ่งฟื้นจากอาการหมดสติ ทว่าเมื่อนางเห็นสองคนนี้ นางก็กลับมาได้สติทันที เมื่อเผชิญกับการยั่วยุของเป่ยถังเฟิ่ง นางไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าเป่ยถังเฟิ่งมีอายุมากกว่าเป่ยถังหลี ทว่าลักษณะท่าทางเย่อหยิ่งของเป่ยถังหลีโดดเด่นกว่าเป่ยถังเฟิ่งอย่างเห็นได้ชัด
นางไม่ตอบคำถามเป่ยถังเฟิ่ง ทว่าเดินไปยังทิศทางเรือนของตนเองราวกับไม่เห็นผู้ใด แม้แต่ตอนที่เดินผ่านเป่ยถังเฟิ่ง นางยังจงใจเชิดหน้าดั่งนกยูงที่หยิ่งผยอง
เป่ยถังเฟิ่งรู้สึกขัดใจ จึงหันกลับไปคว้าแขนของเป่ยถังหลี
“เป่ยถังหลี ข้ากำลังพูดกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ”
สายตาของเป่ยถังหลีเหมือนจะมองเป่ยถังเฟิ่ง ทว่านางเพียงใช้หางตามองเป่ยถังเฟิ่งเท่านั้น
“ที่แท้ เมื่อครู่ก็เป็นพี่เฟิ่งที่พูดกับข้า? ”
“ไม่อย่างนั้น เจ้าคิดว่าเป็นผู้ใดหรือ? ”
“ข้าคิดว่า สุนัขบ้าที่ไหนเห่า เสียงน่ารำคาญยิ่งนัก”
เป่ยถังเฟิ่งโกรธจัด ดวงตาแดงฉานด้วยความโมโห “เป่ยถังหลี เจ้าพูดอันใด? เจ้ากล้าด่าข้าว่าเป็นสุนัขหรือ? ”
“คำพูดนี้เจ้าพูดเอง ข้าไม่ได้พูดเสียหน่อย”
เป่ยถังเฟิ่งเดือดดาลจนแทบระเบิดออกมา ทว่าขณะที่ความโกรธของนางกำลังจะปะทุและต้องการยกมือตบหน้าเป่ยถังหลี จู่ๆ ไม่รู้ว่านางกำลังนึกอันใด นางพยายามระงับโทสะที่กำลังพลุ่งพล่าน แววตาปรากฏความเย็นชา
“เป่ยถังหลี ปากร้ายไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดกระมัง? ต่อให้คำพูดของเจ้าจะชนะข้า ทว่ามันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะต่ำต้อยของเจ้าแม้แต่น้อย เจ้าเป็นคนไร้ยางอายเหมือนกับมารดาของเจ้า”
ดวงตาของเป่ยถังหลีเผยให้เห็นความเย็นชา นางจ้องหน้าเป่ยถังเฟิ่ง พลางกัดฟันกรอดและเอ่ยคำพูดออกมาทีละคำ “เจ้าพูดอันใด? ”
เดิมที ระยะห่างของคนทั้งสองก็ใกล้กันมากอยู่แล้ว ทว่าเป่ยถังเฟิ่งกลับเดินเข้าไปหาเป่ยถังหลีอีกหนึ่งก้าว อาศัยร่างกายของตนที่สูงกว่าเป่ยถังหลีอยู่เกือบครึ่งตัว ก้มหน้ามองลงมายังใบหน้าของเป่ยถังหลี และส่งสายตากดดัน
นางกัดฟันพูดในแบบเดียวกัน “เป่ยถังหลี ข้าบอกว่า คนไร้ยางอาย คนไร้ยางอาย เหมือนมารดาของเจ้า… ”
‘เพียะ’
เสียงนั้นดังชัดเจนอย่างมาก เป่ยถังหลีตบหน้าเป่ยถังเฟิ่งอย่างรุนแรง จากนั้นจึงผลักเป่ยถังเฟิ่งออกไป
เป่ยถังเฟิ่งยกมือกุมแก้มบวมแดงของตน ความโกรธในดวงตาปะทุขึ้นอีกครั้ง นางมองเป่ยถังหลีโดยไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ราวกับมองลูกแกะที่รอเชือด
“เป่ยถังหลี เจ้ากล้าตบหน้าข้าหรือ? ”
เป่ยถังหลีชูคอเย่อหยิ่งดั่งนกยูงที่หยิ่งผยอง “ข้าจะตบเจ้า ใครขอให้เจ้ายื่นหน้ามาให้ข้าตบเล่า? ”
“เป่ยถังหลี เจ้าออกจากจวนกลางดึกและไม่กลับมาทั้งคืน ข้ามาคุมตัวเจ้าตามคำสั่งของท่านผู้นำตระกูล เจ้ายังกล้าลงมือกับข้าอีก เจ้าอยากตายนักหรือ? ”
เป่ยถังหลีกวาดสายตามองคนจำนวนหนึ่งทางด้านหลังเป่ยถังเฟิ่ง รวมถึงเป่ยถังชิงด้วย “เหอะ… ท่านผู้นำตระกูล? พี่เย่ออกจากจวนไปทำกิจธุระยังไม่กลับมา ข้าไม่รู้ว่าคำสั่งจากท่านผู้นำตระกูลนั้น พี่เฟิ่งหมายถึงผู้ใด? ”
เมื่อกล่าวถึงท่านผู้นำตระกูลแห่งจวนเป่ยอี้อ๋อง ทุกคนต่างยอมรับกันทั่วไปว่าคือเป่ยถังเย่
เป่ยถังเฟิ่งเชิดหน้าอย่างภูมิใจ “เป่ยถังหลี เจ้าตาบอดหรือว่าโง่กันแน่? คนที่พี่ชิงกับข้าพามานั้นเป็นคนของตระกูลเป่ยถังลำดับสองของข้า พวกเราสองคนปกติแล้วทำงานให้กับท่านอ๋องรอง เมื่อรับคำสั่งมา ย่อมต้องเป็นคำสั่งของท่านอ๋องรองแน่นอน”
เป่ยถังหลีขมวดคิ้วแน่น “โอ้? ท่านอ๋องรองตั้งตระกูลเป็นของตนเองแล้วหรือ? สร้างป้ายบรรพชนแล้วหรือ? สืบทอดต่อให้ผู้อาวุโสของตระกูลแล้วหรือ? ท่านผู้อาวุโสของตระกูลเห็นด้วยแล้วหรือ? เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย? ”
แม้ตระกูลลำดับสองจะเป็นตระกูลย่อยของตระกูลเป่ยถัง ทว่าไม่เคยได้รับความยินยอมให้ควบคุมโดยเชื้อสายตรงของจวนเป่ยอี้อ๋อง และเนื่องจากท่านผู้อาวุโสของตระกูลไม่เห็นด้วยเรื่องแต่งตั้งตระกูลของตนเองขึ้นมา นี่คือปัญหาที่เหมือนหนามยอกอกของตระกูลลำดับสองเป็นเวลาหลายปี เป่ยถังหลีจงใจเน้นย้ำจุดที่เป็นเหมือนความคับข้องใจของตระกูลลำดับสองนี้
เป่ยถังเฟิ่งไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป นางสูดลมหายใจลึก และดึงกระบี่ยาวในมือออกมาชี้ไปที่คอหอยของเป่ยถังหลี
“เป่ยถังหลี เจ้าอยากตายนักหรือ? ”