บทที่ 1121 กล้าหันหรือเปล่า!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อพึมพำบทสวดแห่งเต๋าที่ก้นบึ้งหัวใจ เงาหลังในภาพวาดของชงอี้จื่อที่เป็นม้วนกระดาษก็หันหน้ามาครึ่งร่าง เมื่อมองไปก็จะเห็นหน้าด้านข้างขนาดเล็ก

นั้นคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สันจมูกโด่ง คิ้วยาว แม้แต่พวกเซี่ยไห่หยางที่อยู่ไกลๆ เพียงกวาดตามองก็พากันกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใจสั่นจนแทบจะพังทลายลงมา

ส่วนชายวัยกลางคนในม้วนกระดาษผู้นี้ ประกายแสงในดวงตาด้านข้างของเขาราวกับมีพลังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ขณะนี้อวกาศด้านนอกม้วนภาพเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

พร้อมกันนั้น ตอนนี้เองพลังกดดันสยบที่ทรงพลังยิ่งกว่าก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงเหลือล้ำ ถึงแม้พลังนี้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่คล้ายจะเป็นระลอกคลื่นไร้รูป เมื่อมันแผ่กระจาย อวกาศที่เดิมทรุดลงอยู่แล้วกลับพังทลายอย่างสมบูรณ์!

อวกาศเสมือนกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนกระเด็นว่อน ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น เรือรบที่พวกเซี่ยไห่หยางอยู่ก็พังทลายในพริบตา โชคดีที่พวกเขาถอยออกมาเรื่อยๆ ตอนที่หวังเป่าเล่อกับชงอี้จื่อประมือกัน ดังนั้นเมื่อเรือรบถูกทำลายตอนนี้ ถึงแม้พวกเขาจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง แต่ก็ยังนับว่าพอจะทรงตัวให้มั่นได้ ขณะเดียวกันก็ใช้เคล็ดวิชาลับของแต่ละคนโจมตีออกมาเพื่อส่งร่างของตนให้ถอยหลังอย่างรวดเร็ว

กระทั่งถอยไปยังบริเวณที่ห่างไกลอย่างยิ่งแล้วจึงหยุดลง ทั้งประหลาดใจและสับสน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

สำหรับหวังเป่าเล่อ…เพราะเขาอยู่ใกล้กับม้วนกระดาษมากเกินไป ดังนั้นผลกระทบที่ได้รับย่อมมีมากที่สุด เมื่อพลังกดดันสยบกลายเป็นคลื่นไร้รูปพุ่งเข้ามา ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะเทือนรุนแรง ถึงแม้แสงดำของดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังจะส่องวูบวาบคล้ายกำลังต่อต้าน ถึงแม้กายเนื้อของเขาจะทนรับได้เพราะเป็นกระดานไม้ดำ แต่สุดท้ายวิญญาณเทพของเขาก็ยากจะต่อต้านพลังกดดันที่มาจากผู้ฝึกตนระดับจักรวาล

ถึงแม้…นี่จะเป็นภาพฉายของระดับจักรวาลก็ตาม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว มันยังยิ่งใหญ่ราวสรวงสวรรค์!

และพลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ไม่อาจใช้ออกมาได้ในทันที มีความล่าช้าเล็กน้อย ถึงจะล่าช้าอยู่ไม่นาน แต่ก็ยังเป็นบททดสอบที่รุนแรงสำหรับหวังเป่าเล่ออยู่ดี

ถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่าพลังเทพเช่นที่ชงอี้จื่อใช้ออกมาได้นั้น เหนือยิ่งกว่าระดับขั้นดารานิรันดร์ไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบด้วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าการใช้เคล็ดวิชานี้ออกมา จะต้องแลกด้วยสิ่งที่ยากจะบรรยายของชงอี้จื่ออย่างแน่นอน!

อย่างไรเสีย หากบอกว่าเคล็ดวิชานี้สามารถบดขยี้สังหารดารานิรันดร์ทั้งหมดได้ก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด

แต่…ในแง่นี้ไม่นับรวมหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อในตอนนี้ถึงแม้จะตัวสั่นระริก ถึงแม้แผนที่ดวงดาวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงแม้วิญญาณเทพดูคล้ายจะพังทลายได้ทุกเมื่อท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำ แต่ในดวงตาของเขากลับเผยจิตวิญญาณการต่อสู้อันน่าตะลึงออกมา

ถึงแม้เคล็ดวิชาที่ชอี้จื่อใช้ออกมาเป็นครั้งสุดท้ายนี้จะเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อจินตนาการเอาไว้ แต่เคล็ดวิชาลับของเขามีอยู่มากมาย นอกจากบทสวดแห่งเต๋าแล้ว เขายังมี…การระลึกอดีตชาติที่ดาวเคราะห์ชะตาอยู่ และได้เรียนรู้…วิถีแท้จริง!

“จันทร์ข้างแรม!” แทบจะในพริบตาที่แผ่นหลังในม้วนภาพวาดหันมาครึ่งเล็กๆ และระเบิดพลังสยบยั้งมหาศาลออกมานั้น หวังเป่าเล่อก็คำรามเสียงแหบแห้ง

สองมือยกขึ้นผนึกมุทราแล้วชี้ไปยังม้วนกระดาษ…ในทันใด!

ภายใต้นิ้วที่ชี้ไปนี้ อวกาศที่แตกสลายทั้งสี่ทิศก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นกะทันหัน พลังแปลกประหลาดสายหนึ่งราวกับเข้ามาบรรจบกับกฎเกณฑ์อันไร้ที่สิ้นสุดของห้วงจักรวาล และชักนำ…กฎแห่งกาลเวลา

กาลเวลามาสถิต!

ทวนกระแส…ยี่สิบอึดใจ!!

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นระดับจักรวาลที่แท้จริงล่ะก็ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีกฎกาลเวลาจันทร์ข้างแรมก็เกรงว่าคงยากจะส่งผลใดๆ ต่อระดับจักรวาลแน่ แค่สายตาและลมหายใจเดียวของอีกฝ่ายก็พอจะทำให้กระบวนเวทของเขาพังทลาย ร่างและจิตบุบสลายแล้ว

แต่ตอนนี้เป็นเพียงภาพฉายเท่านั้น…แม้ว่าเขายังไปไม่ถึงระดับที่จะใช้ทวนกระแสยี่สิบลมหายใจของเคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมออกมาได้ทั้งหมด แต่…ก็ยังสามารถทวนกระแสสามถึงห้าลมหายใจได้อยู่

ดังนั้นขณะที่เคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมถูกใช้ออกมา อวกาศที่พังทลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ รอบด้านก็วกกลับในพริบตา ราวกับสมานบาดแผล เลือดที่พวกเซี่ยไห่หยางที่อยู่ไกลๆ กระอักออกมาไหลกลับเข้าไปในปาก ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างไม่อาจควบคุมได้

เรื่องเหล่านี้ยังไม่นับเป็นอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงอย่างแท้จริงคือการโจมตีสยบที่จู่โจมมาหาหวังเป่าเล่อจนทำให้วิญญาณเทพของเขาเกือบจะแตกสลาย ตอนนี้มันดันไหลกลับจากด้านหน้าของเขาเข้าสู่ภายในม้วนภาพวาดที่คลี่ออกมาทันที เงาร่างที่หันมาครึ่งหนึ่งจึงหันกลับไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่…จันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงเท่านั้น สามารถส่งผลต่ออวกาศโดยรอบได้ สามารถส่งผลต่อทุกคนทั่วทั้งแปดทิศได้ สามารถส่งผลต่อกฎเกณฑ์ กฎเวท และพลังสยบยั้งได้ แต่กลับ…ไม่อาจส่งผลต่อเงาร่างในม้วนภาพวาด!

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นดารานิรันดร์ แต่เงาร่างในภาพกลับเป็นภาพฉายจากระดับจักรวาล แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ถ้าหากมีผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสมาอยู่ที่นี่แล้วมองเห็นภาพตรงหน้าด้วยตาตนเอง ในใจก็จะต้องกู่ร้องลั่นด้วยความหวาดผวาจนหน้าถอดสี

เพราะ…ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มันแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ดารานิรันดร์จะสามารถสั่นคลอนภาพฉายของระดับจักรวาลได้ หากว่าสั่นคลอนได้เพียงเล็กน้อยก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!

นี่ไม่อาจแสดงถึงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อได้ แต่กลับแสดงถึง…เคล็ดวิชาที่หวังเป่าเล่อใช้ ในด้านระดับชั้น วิชานี้เหนือกว่า…เหนือกว่าพลังเทพของระดับจักรวาลเสียอีก!

เรื่องนี้ถ้าหากคิดอย่างดีแล้วจะต้องรู้สึกหวาดกลัวอย่างแน่นอน!

ตอนนี้ ขณะที่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ถึงแม้เงาร่างด้านในม้วนภาพวาดจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ส่งเสียงอุทานออกมาแล้วหันกายอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างแท้จริง

แต่…ยังช้าไปในเรื่องของเวลา ถึงแม้จันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อจะทำให้เวลาไหลทวนกระแส ทว่าไม่ได้ส่งผลต่อทั่วทั้งจักรวาล ส่งผลเพียงแค่ในอวกาศผืนนี้เท่านั้น ดังนั้น…การไหลของเวลาที่อยู่นอกบริเวณนี้ยังคงเป็นปกติ ดังนั้น…ชั่วขณะที่เงาร่างในม้วนภาพวาดกำลังจะหันหน้ามาเต็มๆ…พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ปะทุออกมาหลังจากล่าช้าไปทันที!

กลิ่นอายที่ไม่ได้เป็นของอวกาศผืนนี้และไม่ได้เป็นของจักรวาลแห่งนี้ คล้ายออกมาจากนอกอวกาศอันไกลโพ้นในชั่วพริบตา ขณะที่มันมาเยือน…ก็เหมือนกับเทพสวรรค์ที่กำลังหลับใหล ตอนนี้เอง…มันพลันลืมตาขึ้นที่ด้านนอกอวกาศ มองไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มองไปยังทางออกของดาวเคราะห์ชะตา มองไปยังสนามรบแห่งนี้ มองไปยัง…ชงอี้จื่อในร่างม้วนกระดาษ จนกระทั่งมองเห็นเงาร่างด้านในม้วนภาพวาดที่พยายามหันหน้ามา!

อวกาศสะเทือนเลื่อนลั่น สั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งสนามรบราวกับถูกแช่แข็งในชั่วขณะนี้เอง พวกเซี่ยไห่หยางยิ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ส่วนเงาร่างด้านในม้วนภาพวาดก็หยุดชะงักกะทันหัน!

เขากลับไม่กล้าหันหน้าต่ออีกแล้ว!

ราวกับตกตะลึง ราวกับถูกติดตรึงไว้ ราวกับเกิดวิกฤตถึงชีวิตร้ายแรงขึ้นมา ทำให้เงาร่างนี้มีอาการสั่นไหวและมีสัญชาตญาณบอกว่าถ้าหากหันหน้าต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ก็จะเป็นเวลาตายของตน!

ภาพนี้ทำให้ความตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความประหม่า สายตาของเขาฉายแสงแปลกประหลาด จดจ้องไปยังเงาร่างในม้วนภาพวาดราวกับอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ไม่นานหวังเป่าเล่อก็มองเห็นเงาร่างในม้วนภาพวาดเงียบงันไปสองสามอึดใจแล้วค่อยๆ หันร่างที่หันมาครึ่งหนึ่งของตน…กลับไปช้าๆ!!

“แบบนี้ก็ได้หรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา มองเงาร่างในม้วนภาพวาดกลายเป็นเงาแผ่นหลังอีกครั้ง มันไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่กลับวิ่งไปยังที่ไกลๆ ในภาพวาด จนกระทั่งวิ่งไปถึงท้ายภาพวาดสุดท้าย…แล้วก็หายไป!

“หนีไปแล้วหรือ”

หวังเป่าเล่อชะงักงัน จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าม้วนกระดาษที่ไม่มีภาพวาดอยู่คล้ายต้องแบกรับแรงสะท้อนกลับจนพังทลายอย่างกะทันหัน ก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ยิ่งกว่านั้นคือมีเสียงกรีดร้องน่าเวทนาจากวิญญาณเทพที่ดังขึ้นมาพร้อมการพังทลายนี้ด้วย

จากนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็น…วิญญาณเทพของชงอี้จื่อ!

ดวงวิญญาณเทพในตอนนี้เล็กกว่าก่อนหน้านี้ถึงเก้าเท่า อ่อนแอเปราะบางถึงขีดสุด เมื่อมันปรากฏตัว แม้ไม่อาจคงสติไว้ได้จนเป็นลมไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องแล้วถูกมือขวาของหวังเป่าเล่อยกจับเอาไว้ทันที ก่อนจะบีบอยู่ในมือโดยตรง

หลังจากโยนมันลงไปในกระเป๋าคลังเก็บแล้ว หน้าอกของหวังเป่าเล่อก็กระเพื่อมขึ้นลง สัมผัสได้ว่าตอนนี้กลิ่นอายที่มาจากบทสวดแห่งเต๋าได้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว และยังสัมผัสได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ได้ดึงดูดกลิ่นอายที่อยู่รอบด้านมาไม่น้อย ราวกับกำลังสังเกตการณ์ที่นี่อยู่ เขากะพริบตาสองสามครั้งแล้วหันกายประสานหมัดคารวะอย่างล้ำลึกไปยังอวกาศที่ไกลๆ ในทันที

“ขอบคุณท่านพ่อตาอย่างยิ่งขอรับ!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ จนแพร่ไปถึงหูของพวกเซี่ยไห่หยางที่ตอนนี้ค่อยๆ กลับมามีสติทีละน้อย ทำให้สีหน้าของพวกเซี่ยไห่หยางเปลี่ยนไปหลังจากตกตะลึง

ยังไม่ทันที่ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาจะเงียบสงบ หวังเป่าเล่อก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของตนแล้วลอบกลืนยารักษา จากนั้นจึงสวมท่าทางสูงส่งเช่นเคย ก่อนจะหันกายเดินไปหาพวกเขา แค่สามก้าวก็มาถึงด้านหน้าใกล้กับพวกเซี่ยไห่หยาง เฉินหาน และองครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้น ก้มหน้ากวาดตามองพวกเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“เรื่องพ่อตาของข้า อย่าได้แพร่งพรายไปทั่ว ไปกันเถอะ กลับดาราจักรไฟกัน” กล่าวพลาง หวังเป่าเล่อก็นำมือไพล่หลัง แล้วเดินไปข้างหน้า

เซี่ยไห่หยางและเฉินหานมองหน้ากันและกัน ล้วนแต่มองเห็นความตะลึงงันในสายตาของอีกฝ่าย พวกเขารีบตามไปโดยเร็ว ส่วนองครักษ์เต๋าที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ก็ยิ่งมีอาการแบบเดียวกัน สายตาที่พวกเขามองไปยังหวังเป่าเล่อดูหวาดกลัวเหลือคณา จากนั้นก็พากันติดตามไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ตามไปนั้น เฉินหานก็หันหน้าไปมองเซี่ยไห่หยางที่ยังอยู่ในความตกตะลึงทันที ก่อนเร่งรีบเอ่ย

“เจ้าว่า…ข้าควรเรียกพ่อตาของท่านพ่อว่าอะไรดี”

…………………