ไป๋อู๋ห่ายพาคนบุกไปที่ตำหนักของเฟิงอวิ๋นซิว ในขณะที่มู่เฉียนซีกำลังสนทนาอยู่กับเฟิงอวิ๋นซิว

“มู่หรงเฉียนเยี่ย นี่คือตำหนักตงจี๋ของข้า ไม่ใช่ตำหนักเป่ยหานที่เจ้าคิดอยากจะมาก็มาได้” ไป๋อู๋ห่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน

มู่เฉียนซีกล่าว “ท่านเจ้าตำหนักไป๋ ข้าผ่านการทดสอบของตำหนักโอสถแห่งตำหนักตงจี๋แล้ว นั่นก็นับว่าข้าเป็นนักปรุงยาของตำหนักตงจี๋แล้ว และการที่จะอยู่ในตำหนักตงจี๋ก็คงมิใช่ปัญหาอะไรกระมัง!”

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “ด้วยสถานะตัวตนของเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องยอมลดเกียรติมาอยู่กับตำหนักตงจี๋ของข้าด้วย!”

มู่เฉียนซีตอบกลับเขาคำเดียวว่า “เบื่อ!”

ไป๋อู๋ห่ายโมโหจนแทบจะกระอักเลือด เดิมทีเฟิงอวิ๋นซิวนั้นก็ยากที่จะต่อกรด้วยได้แล้ว แล้วนี่เขายังดึงเจ้าเด็กนี่เข้ามาอีก มันก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่

แต่ตอนนี้มู่หรงเฉียนเยี่ยอยู่ในตำหนักตงจี๋อย่างชอบธรรม เขาไม่มีทางไล่ออกไปได้แน่!

ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “เจ้าอยู่ที่ตำหนักตงจี๋ของข้า ทางที่ดีเจ้าไม่ควรทำอะไรที่ไม่ดีต่อตำหนักตงจี๋ของข้า มิฉะนั้นแม้ว่าข้าและอาจารย์ของเจ้าจะเป็นเพื่อนเก่ากัน ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”

‘เพื่อนเก่าเป็นเพียงการพูดให้ดูดีเท่านั้นแหละ แต่ในความเป็นจริงแล้วท่านไม่อาจเอาชนะกู้ไป๋อีได้หรอก!’ มู่เฉียนซีพูดพึมพำกับตัวเอง

ไป๋อู๋ห่ายรู้ว่าไม่มีทางทำให้มู่เฉียนซีจากไปได้ ดังนั้นจึงไปหาหัวหน้านักปรุงยา

ปรมาจารย์จาง

ปรมาจารย์จางกล่าว “ท่านเจ้าตำหนัก ครั้งนี้ท่านต้องช่วยข้าสักหน่อย อย่าได้ปล่อยให้เจ้าเด็กนั่นได้ใจเป็นอันขาด”

เมื่อไป๋อู๋ห่ายได้ยินการเดิมพันของพวกเขา เขาก็สะดุ้งตกใจขึ้นมาในทันที

“ปรมาจารย์จาง ใครกันที่ให้อำนาจเจ้าตกลงการเดิมพันเช่นนี้ เจ้าสามารถจัดการกับสมุนไพรวิญญาณของตำหนักโอสถได้หรือไม่?” ไป๋อู๋ห่ายกล่าวอย่างเย็นชา

“ท่านเจ้าตำหนัก ข้าจะไม่แพ้ เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะต้องได้รับสมุนไพรวิญญาณมากมายจากเจ้าเด็กนั่น มันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อตำหนักตงจี๋ของเราอย่างแน่นอน และข้ายังจะสามารถกลั่นยาหยวนเทียนให้กับเจ้าตำหนักได้อีกด้วย”

“เจ้าเด็กนั่นมีสมุนไพรวิญญาณอยู่มากมาย เช่นนั้นก็…” ดวงตาของไป๋อู๋ห่ายเปล่งประกาย

ศิษย์ของกู้ไป๋อี ย่อมมีสมบัติล้ำค่ามากมายติดตัวอย่างแน่นอน

“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถแพ้ได้ ถ้ามีอะไรต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกข้าได้เลย!”

“ขอบพระคุณท่านเจ้าตำหนักมาก”

ส่วนฝั่งของเฟิงอวิ๋นซิวนั้น เขาเองก็ถามมู่เฉียนซีว่าต้องการความช่วยเหลือหรือไม่เช่นกัน

มู่เฉียนซีพยักหน้า “ข้าต้องการให้เจ้าเตรียมคนให้ข้าสักสองสามคน”

เมื่อเวลาประลองมาถึง นักปรุงยาทุกคนในตำหนักโอสถต่างก็มาชมการแข่งขัน

ผู้อาวุโสที่หนึ่งดูเหมือนจะไม่ชอบที่มันไม่คึกคักพอ เขาเชิญผู้อาวุโสแต่ละคนของตำหนักตงจี๋มา

ผู้อาวุโสที่หนึ่งกล่าว “ตาแก่อย่างพวกเจ้า มาเดิมพันกับข้าสักหน่อยดีหรือไม่!”

“เดิมพัน! ผลสรุปนี้ไม่มีอะไรให้ต้องพะวงเลย มันมีอะไรให้ต้องเดิมพันกัน”

“ข้าพนันว่าเด็กน้อยมู่หรงเฉียนเยี่ยจะชนะ เดิมพันด้วยเคล็ดวิชาดาบมหาอำนาจของข้า”

“ฮึ่ม! ตาแก่ นี่เจ้าเอาของสิ่งนี้ออกมาดูท่าจะเชื่อเจ้าเด็กมู่หรงเฉียนเยี่ยนั่นมากสินะ!”

“ต่อให้เชื่อแค่ไหนก็ไม่มีทาง เจ้าเด็กนั่นอายุเท่าไหร่? ผู้เฒ่าจางอายุเท่าไหร่? มันเทียบกันไม่ได้เลย ในเมื่อเจ้ามีความต้องการเช่นนี้ พวกเราก็จะเดิมพันกับเจ้า!”

ผู้อาวุโสทั้งหลายเริ่มวางเดิมพันแล้ว ของเดิมพันนี้ก็ไม่น้อยเลย

ปรมาจารย์จางมองมู่เฉียนซีด้วยความมั่นใจและกล่าวว่า “เจ้าหนู ข้าคิดว่าเจ้าจะหนีเอาตัวรอดไปแล้วซะอีก!”

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ไม่ควรเสียเวลา พาคนขึ้นมา”

ปรมาจารย์จางออกคำสั่ง จากนั้นก็มีคนหามคนทั้งเจ็ดเข้ามา ใบหน้าของทั้งเจ็ดคนนี้ซีดเผือด ลมหายใจของพวกเขาอ่อนแอ เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะตาย

ทุกคนเบิกตากว้าง นี่ยังจะรักษาได้หรือ? นอกเสียจากว่าจะมีความสามารถทำให้ฟื้นจากความตายได้

ปรมาจารย์จางกล่าวว่า “คนของเจ้าล่ะ?”

คนที่มู่เฉียนซีเตรียมไว้ก็ถูกส่งมาเช่นกัน ฝั่งของมู่เฉียนซีนี้มีบาดแผลซึ่งต่างจากคนกลุ่มนั้นของปรมาจารย์จางมาก

แต่ละคนดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนคนป่วยเลย

“คนเหล่านี้ เป็นคนป่วยเหรอ?”

“เป็นไปไม่ได้!”

“……”

ปรมาจารย์จางยิ้มเยาะและกล่าวว่า “เจ้าคงจะไม่หาคนที่ไม่ป่วยมาให้ข้ารักษาหรอกกระมัง!”

มู่เฉียนซีกล่าว “ปรมาจารย์จางนี่ดูไม่ออกเลยรึ ข้าขอแนะนำให้ปรมาจารย์จางรักษาอาการสายตาเลือนลางของตนเองเสียก่อน”

“เจ้าว่าอะไรนะ? เจ้ากล้าดียังไงถึงบอกว่าข้าสายตาเลือนลาง” ปรมาจารย์จางกล่าวอย่างโกรธเคือง

“ไม่เช่นนั้นสายตาของท่านก็คงไม่ดีแล้วล่ะ! คนกลุ่มนี้เป็นอะไรหรือเปล่า แต่ท่านกลับมองไม่ออกเลย”

“พวกเขาจะเป็นอะไรไปได้อย่างไร? พวกเขา…”

มู่เฉียนซีกล่าว “ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว เริ่มกันได้หรือยัง?”

ในขณะที่ยังไม่เริ่ม คนเหล่านั้นที่ปรมาจารย์จางเอามาก็แทบจะขาดใจแล้ว

ปรมาจารย์จางกล่าว “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นสามคนนี้ ถึงเวลาถ้าแพ้อย่าหาว่าข้ารังแกเด็กอย่างเจ้าล่ะ”

มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวว่า “ปรมาจารย์จางวางใจเถอะ! ลำพังท่านยังรังแกข้าไม่ได้หรอก”

ใบหน้าของปรมาจารย์จางเปลี่ยนเป็นหม่นคล้ำและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถึงเวลานั้นเจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน!”

คนเหล่านี้ที่ปรมาจารย์จางพามาใกล้จะตายแล้ว

มู่เฉียนซีหยิบเข็มยาออกมาเจ็ดเข็ม ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ! เข็มสองสามเข็มได้เข้าสู่หัวใจของพวกเขา!

นักปรุงยาเหล่านั้นตะโกนว่า “เขาช่วยชีวิตคนหรือจะฆ่าคนกันแน่?”

เฟิงอวิ๋นซิวและซวนอีตกตะลึง เข็มยานี้ดูคุ้นเคยอย่างมาก

เฉียนเยี่ยรู้จักกับเฉียนซี! อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันด้วย!

ซวนอีพึมพำ สองคนนี้เป็นพวกเดียวกัน! ไม่น่าแปลกใจที่มีนิสัยเหมือนกัน

เข็มยาแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย แต่กลิ่นอายของพวกเขาดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น

คนเหล่านั้นที่กำลังจะตายแล้วจริง ๆ บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและบางคนถูกวางยาพิษ อย่างไรคนเหล่านั้นต่างก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

แต่มู่เฉียนซีกลับคุ้นเคยกับการรักษาเป็นอย่างดี และยังช่วยชีวิตคนได้สองถึงสามคนในเวลาเดียวกัน

ส่วนด้านของปรมาจารย์จางนั้น ปรมาจารย์จางได้สัมผัสชีพจรของพวกเขาอีกครั้ง แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนกลุ่มนี้?

“พวกเจ้าไม่ได้ป่วยเลย!”

“ปรมาจารย์จาง ข้าป่วยจริง ๆ! ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดทุกวันที่นอนหลับ”

“ปรมาจารย์จาง ข้า…ข้ารู้สึกเหมือนข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน”

“ปรมาจารย์จาง…”

ในขณะที่ปรมาจารย์จางยังไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าป่วยหรือไม่ป่วย มู่เฉียนซีก็รักษาคนที่กำลังจะตายเหล่านั้นได้แล้ว

พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อเมื่อเห็นมู่เฉียนซีดึงคนเหล่านี้กลับมาจากประตูแห่งความตายได้!

“มีชีวิตรอดแล้วจริง ๆ”

“เมื่อครู่เขาช่วยชีวิตคนด้วยอะไร? สมุนไพรวิญญาณระดับสวรรค์!”

“นั่นไม่ใช่สมุนไพรวิญญาณระดับสวรรค์ มันเป็นยาน้ำพิเศษที่มีขึ้นในหอหมอปีศาจ”

มู่เฉียนซีเดินไปหาปรมาจารย์จางแล้วกล่าวกับเขาว่า “ปรมาจารย์จาง ท่านแพ้แล้ว!”

“ข้าไม่แพ้ เป็นฝีมือเจ้า คนเหล่านี้ไม่ได้ป่วยเลย!”

มู่เฉียนซีหัวเราะ “เจ้าไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ อย่าว่าพวกเขาไม่ได้ป่วย พวกเขาป่วยหนักกว่าคนเหล่านั้นที่เจ้าส่งมาเสียอีก”

“ข้าไม่เชื่อ!” ปรมาจารย์จางกล่าว

ไม่นานอาการของทั้งสามคนนี้ก็กำเริบขึ้น

“อ๊า อ๊า อ๊า! หนึ่งในนั้นกอดหัวและกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

ดวงตาของอีกคนแดงก่ำและคว้าตัวปรมาจารย์จางมาอย่างบ้าคลั่ง

และอีกคนก็หมดสติไปอย่างไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้

มู่เฉียนซีถาม “เป็นเช่นนี้ ปรมาจารย์จางท่านยังคิดว่าพวกเขาไม่ได้ป่วยอีกเหรอ?”

“ยังไม่ถึงเวลา ข้าจะลองดูอีกที”

แต่ไม่ว่าเขาจะยิ่งขมวดคิ้วมากเท่าไหร่ เขาก็ยังคงมองไม่ออกอยู่ดี ใบหน้าของปรมาจารย์จางเริ่มดูไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาสบถในใจ ‘บ้าเอ๊ย เจ้าเด็กนี่ไปเอาคนไข้ที่ป่วยเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน!’

.

.