ตอนที่ 1072 ปล้นล้างตำหนักโอสถ

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

ในเวลานี้ปรมาจารย์จางจะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน

เขาเอ่ยขึ้น “ข้าได้ล่วงรู้แล้วว่าพวกเขาป่วยเป็นอะไร ข้าจะสกัดยาในทันทีและรักษาอาหารป่วยของพวกเขาให้หาย”

เขาไม่อาจที่จะแพ้ได้ ดังนั้นแล้วปรมาจารย์จางจึงนำสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าจำนวนไม่น้อยออกมาเพื่อนำมาสกัดยา

ไม่นานนักเมฆและลมก็เปลี่ยนไป เหล่าผู้คนต่างกล่าวขึ้นด้วยความตกตะลึง “ปรมาจารย์จางกำลังสกัดยาเม็ดขั้นสวรรค์

“ดูทีแล้วสามคนนั้นจะป่วยเป็นโรคที่ร้ายแรงนัก! แต่ยาขั้นสวรรค์นั้นล้วนสามารถที่จะรักษาให้หายได้”

ในใจของปรมาจารย์จางคิดว่ายาเม็ดขั้นสูงนั้นเป็นยาที่มีสรรพคุณครอบโลก

ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคประหลาดอันใดเมื่อกินยาหุยหลิงเทียนเข้าไปก็สามารถที่จะขจัดโรคนั้นไปได้อย่างแน่นอน

มุมปากของมู่เฉียนซีโค้งขึ้นเล็กน้อย ยาหุยหลิงเทียน! เจ้าเฒ่านี่ไร้เดียงสาเกินไปหรือไม่?

สถานการณ์ในวันนี้ไม่ค่อยดีนัก ถึงแม้ว่าระดับขั้นของปรมาจารย์จางจะไม่เลวเลย เขาสามารถที่จะสกัดยาหุยหลิงเทียนออกมาได้ ทว่าก็สิ้นเปลืองกำลังไปไม่น้อย

และในที่สุดการปรุงยาก็ได้สำเร็จลุล่วง! มิเช่นนั้นวันนี้คงได้ขายหน้าไปถึงในตระกูล

ปรมาจารย์จางกล่าว “เจ้าหนู ข้านั้นเป็นยอดปรมาจารย์นักปรุงยา สิ่งของที่ไม่เป็นที่นิยมเหล่านี้ของเจ้ามันไม่อาจที่จะเทียบกับยาเม็ดขั้นสวรรค์ของข้าได้เลย”

ปรมาจารย์จางได้นำยาหุยหลิงเทียนนี้ไปให้ผู้ที่ป่วยเหล่านั้นกิน แต่ทว่ามันมิได้ขจัดโรคไปเหมือนดั่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้ หากแต่กลับทำให้มันหนักหน่วงขึ้นไปเสียอีก

ผู้ที่ปวดหัวอยู่นั้นก็ได้พลันเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่าง ผู้ที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่นั้นยิ่งเพิ่มอาการอาละวาดขึ้นไปอีก ส่วนผู้ที่หลับไหลอยู่นั้นได้มีฟองสีขาวฟูมออกมาจากปาก

ทุกคนต่างเริ่มซุบซิบกันขึ้นมา “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มันกลับหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ มิใช่หรือ”

“เกรงว่าพวกเขากำลังจะตายเสียแล้ว”

“……”

“ปรมาจารย์จางล้มเหลวแล้ว ยาเม็ดขั้นสวรรค์นั้นไร้ผล”

ในตอนนี้สีหน้าของปรมาจารย์จางก็ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวครึ้ม “เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ถึงเวลาแล้วปรมาจารย์จาง ท่านมิเพียงแต่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายดีได้ ซ้ำยังทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้นไปอีก ท่านแพ้แล้ว!”

แพ้ เขากลับสามารถที่จะแพ้ได้!

ปรมาจารย์จางโกรธจนตัวสั่น เขาจะพ่ายแพ้ได้อย่างไร?

ปรมาจารย์จางกล่าว “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถรักษาพวกเขาให้หายได้ อาการป่วยนี้ของพวกเขา ถ้าหากว่าสมุนไพรวิญญาณขั้นสวรรค์ยังไม่สามารถที่จะรักษาให้หายได้ละก็ เช่นนั้นมันก็ไม่มียาอะไรที่สามารถจะช่วยได้แล้ว!”

“การรักษาจะต้องเลือกตัวยาไปตามอาการป่วย ปรมาจารย์จางไม่รู้ถึงอาการป่วยก็ได้ใส่ตัวยาเข้าไปตามใจชอบ แน่นอนว่าจึงได้ก่อให้เกิดเรื่องเศร้า”

มู่เฉียนซีได้ฉีดยาระงับอาการให้แก่พวกเขาทั้งสามคน พวกเขาก็ได้กลายเป็นสงบนิ่งขึ้นมา

จากนั้นก็ได้แยกฉีดยาให้พวกเขาแต่ละคนไปอีกหลายเข็ม และให้กินยาเม็ดไปอีกหลายเม็ด แต่ละคนจึงได้ฟื้นคืนความเป็นปกติขึ้นมา

ปรมาจารย์จางปากอ้าตาค้างแล้วกล่าว “เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าขี้โกง? จะต้องเป็นเพราะเจ้าให้พวกเขาแสดงละครแน่ ไม่เช่นนั้น…”

มู่เฉียนซียิ้มเยาะพร้อมกล่าว “แสดงละคร? รึว่าปรมาจารย์จางคิดว่าผู้อาวุโสและเหล่านักปรุงยาทั้งหลายที่คอยดูอยู่ด้านข้างนั้นตาบอดหรือ? หากเป็นการแสดงละครแล้วพวกเขาจะมองไม่ออก?”

จากนั้นผู้ป่วยทั้งสามคนก็ได้กล่าวขึ้น “ข้าดีขึ้นมากแล้ว!”

“ใช่แล้ว! สบายขึ้นเยอะเลย”

“……”

มู่เฉียนซีมองไปที่ปรมาจารย์จางแล้วกล่าว “ปรมาจารย์จาง ข้าไม่ปฏิเสธความสามารถในการสกัดยาเม็ดขั้นสวรรค์ของท่านว่ามันช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ถ้าหากว่ากันถึงการรักษาช่วยเหลือแล้ว ท่านแพ้ให้แก่ข้า! เช่นนั้นก็ควรที่จะมอบเดิมพันของท่านมาได้แล้ว”

ผู้อาวุโสที่อยู่อีกด้านหนึ่งหัวเราะแล้วกล่าว “ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ข้าชนะแล้ว พวกเจ้าส่งมอบเดิมพันมา ส่งออกมา”

ปรมาจารย์จางกล่าว “ข้าเองก็ไม่ใช่ผู้ที่แพ้ไม่เป็น พรุ่งนี้ข้าจะประกาศให้เจ้าสามารถเข้าไปเก็บสมุนไพรวิญญาณในตำหนักโอสถได้ตามสบายเป็นเช่นไร?”

เขาตัดสินใจว่าอีกประเดี๋ยวก็จะไม่ยอมให้เจ้าเด็กนี่เข้าไปในตำหนักโอสถ เมื่อถึงตอนนั้นก็ดูกันว่าเขาจะไปเก็บสมุนไพรวิญญาณได้อย่างไร!

ในตอนนี้เองเฟิงอวิ๋นซิวได้เดินเข้ามาแล้วกล่าว “ปรมาจารย์จาง ที่จริงแล้วก็ไม่ต้องให้มันยุ่งยากเช่นนั้น! ข้าจำได้ว่าท่านมีป้ายคำสั่งที่ท่านเจ้าตำหนักมอบให้ เมื่อถือป้ายคำสั่งนั้นเอาไว้ปรมาจารย์จางก็สามารถที่จะไปนำเอาสมุนไพรวิญญาณใดของตำหนักตงจี๋มาก็ได้มิใช่หรือ?”

“เจ้า…เจ้าต้องการให้ข้าเอาป้ายคำสั่งให้เจ้าเด็กนี่”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เมื่อปรมาจารย์จางแพ้แล้วก็ต้องยอมรับ! ส่งมอบออกมาเสียเถอะ!”

“รึว่าพวกเจ้าต้องการที่จะแย่งชิงไปหรือไร?”

“ข้าแค่เพียงต้องการสิ่งที่ข้าควรได้มาเพราะชนะ ปรมาจารย์จางจะไม่ให้หรือ? หากไม่ให้ละก็ ข้าจะไปเชิญท่านผู้อาวุโสสูงสุดมาเพื่อมอบความเป็นธรรม”

เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดได้ลอยมา “ไอ้เจ้าเด็กเฒ่านี่คิดที่จะเบี้ยวสินะ! เขายังมีหน้าอีก ลองกล้าเบี้ยวดูสิ!”

มู่เฉียนซีช่วยให้เขาได้สมบัติมีค่าไปเป็นจำนวนไม่น้อย ในตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นอยู่ข้างเดียวกับมู่เฉียนซีอย่างแน่นอน

ปรมาจารย์จางขบฟันไว้แน่น นายน้อยอวิ๋นซิวและผู้อาวุโสสูงสุดล้วนแต่ปกป้องเขา แต่ทว่าท่านเจ้าตำหนัก…

เขาได้รับรองกับเจ้าตำหนักเอาไว้ว่าในวันนี้เขาจะชนะแน่ เจ้าตำหนักเองก็มิได้มีความสนใจที่จะมาที่แห่งนี้เลยสักนิด มาตอนนี้จึงไม่มีผู้ใดคอยให้ท้ายเขา

ดังนั้นแล้วเขาจึงจนปัญญาและต้องมอบป้ายคำสั่งที่ล้ำค่านั้นของเขาให้แก่มู่เฉียนซีไป

“สิ่งที่ข้าพูดไปนั้น แน่นอนว่าจะไม่คืนคำ”

มู่เฉียนซีกล่าวตอบ “เช่นนั้นก็ขอบคุณปรมาจารย์จางยิ่งนัก”

ปรมาจารย์จางยิ้มเยาะ เขาจะไม่ให้เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ได้เข้าไปในสวนโอสถ คลังโอสถ หรือห้องโอสถเป็นอันขาด ถึงจะมีป้ายคำสั่งนี้ก็จงอย่าได้หวังว่าจะได้สมุนไพรวิญญาณไปแม้แต่น้อย

หลังจากการประลองในครั้งนี้จบลง มู่เฉียนซีก็ได้เลื่องชื่อลือชาอีกครั้งหนึ่งในตำหนักตงจี๋

แม้ว่าการสกัดยาของนางจะไม่ได้เก่งกาจเท่ากับหัวหน้านักปรุงยาแห่งตำหนักตงจี๋ แต่หากว่าเป็นความสามารถในการรักษาแล้ว นางกลับเก่งกาจเสียยิ่งกว่าปรมาจารย์จางเสียอีก

มีคนจำนวนไม่น้อยที่เมื่อป่วยก็ไปหาปรมาจารย์มู่หรง ส่วนปรมาจารย์จางนั้นกลับถูกปล่อยให้อยู่อย่างเงียบเหงาที่อีกด้านหนึ่ง

อย่างไรเสียเมื่อครั้งก่อนหน้านี้เขาได้ใช้ยาอย่างมั่วซั่ว จึงทำให้ผู้คนมีความจดจำที่ไม่ดีนักต่อเขา

ปรมาจารย์จางคอยเฝ้าระวังมู่เฉียนซีอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันมิให้นางไปเอาสมุนไพรวิญญาณของเขา ตำหนักโอสถในตอนนี้มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดยิ่งนัก

แต่เขาเองก็นึกไม่ถึงเลยว่าช่วงหลายวันมานี้ที่มู่เฉียนซีอยู่ในตำหนักตงจี๋จะเอาแต่รักษาอาการเจ็บป่วยให้ผู้คน อีกทั้งยังฝึกบำเพ็ญอยู่ด้วยตัวคนเดียวและบางทีก็ไปดื่มชาพูดคุยกับนายน้อยอวิ๋นซิว

เขาได้รับป้ายคำสั่งที่สำคัญเช่นนั้นมาแต่กลับไม่ได้มีท่าทีที่จะใช้มันเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าเด็กนี้จะต้องรู้เป็นแน่ว่ามันคงจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เช่นนั้นแล้วจึงได้ไม่กล้ามาเพื่อจะได้ไม้ต้องเสียหน้า” ปรมาจารย์จางพึมพำขึ้นมา

สิ่งของที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มา แล้วเหตุใดมู่เฉียนซีจึงจะไม่ไปเอาเล่า! ปล่อยให้เจ้าเฒ่านั่นเริ่มหละหลวมเสียก่อน จากนั้นจึงจะเอามาได้มากขึ้นกระมัง!

แน่นอนว่ามันก็คงจะไม่ราบรื่นจนเกินไป

มู่เฉียนซีได้เตรียมการเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว นางกล่าวกับเฟิงอวิ๋นซิว “อวิ๋นซิว เอาซวนอีให้ข้ายืมหน่อยเถอะ!”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวตอบ “ได้สิ!”

เฟิงอวิ๋นซิวมิได้ถามว่ามู่เฉียนซีต้องการที่จะทำอะไรก็ได้ขายซวนอีออกไปเสียแล้ว

สีหน้าของซวนอีมืดครึ้มไปในทันทีและมองหน้ามู่เฉียนซีพร้อมถามขึ้น “ไอ้หนู เจ้าจะเอาข้าไปทำอะไร?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ซวนอี ตอนนี้ข้าเป็นนักปรุงยาที่มีความนิยมสูงที่สุดในตำหนักตงจี๋ ขอให้เจ้าจงเรียกข้าว่าปรมาจารย์มู่หรง”

ซวนอีกล่าว “เป็นไปไม่ได้!”

“ข้าจะไม่ถือสามากความอะไรกับเจ้าแล้ว เจ้าจงรีบเรียกเหล่าน้อง ๆ ของเจ้ามา แล้วตามข้าไปที่ตำหนักโอสถสักหนเถอะ!”

“ไปตำหนักโอสถ เจ้าจะไปทำอะไรที่ตำหนักโอสถ?”

มู่เฉียนซีได้หยิบป้ายคำสั่งนั้นของนางออกมาแล้วกล่าว “จะไปทำอะไรได้? แน่นอนว่าไปปล้นล้างสมุนไพรวิญญาณชั้นยอดชนิดต่าง ๆ ของตำหนักโอสถน่ะสิ!”

“เจ้า…เจ้าไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมารึ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “ผู้เป็นนายของเจ้าก็ได้พูดแล้ว ในวันนี้เจ้าต้องฟังข้า ข้าบอกให้ลุยที่ไหนก็ลุยที่นั่น ข้าบอกให้ยกย้ายตรงไหนก็ยกย้ายตรงนั้น! ถึงให้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเจ้าก็ทำได้แต่เพียงต้องยอมรับมัน”

ด้วยเพราะเป็นคำสั่งของผู้เป็นนาย ซวนอีจึงจำต้องปฏิบัติตาม

เป็นถึงองครักษ์ข้างกายของนายน้อยแห่งตำหนักตงจี้ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะได้กลายเป็นโจรอันดับหนึ่งแห่งตำหนักตงจี๋เสียแล้ว

มู่เฉียนซีย่างเข้าไปในตำหนักโอสถและไปที่สวนโอสถในทันที ในตอนที่นางกำลังจะเข้าไปในสวนโอสถนี่เองก็ได้มีคนเข้ามาเพื่อขวางกั้น

“ปรมาจารย์มู่หรง ในช่วงเวลานี้สวนโอสถมิได้เปิดอยู่ ขอเชิญกลับไปเสียเถอะ!”