หลิ่งหนาน ถิ่นของตระกูลตู๋กู แต่ในครั้งนี้กลับอัดแน่ไปด้วยคนจากสี่ตระกูลใหญ่แห่งโลกบู๊โบราณ
ท้องฟ้าหนึ่งเส้น(เจ้านี้ปกติใช้เรียกช่องผาแคบๆ ชั้นๆ นะ คือเราไปอยู่ในช่องนั่นเวลาแหงนหน้ามองจะเห็นท้องฟ้าเป็นเดียวอะนะก็เลยเรียกกันยังงี้) เป็นสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของหลิ่งหนาน แต่ก็เป็นเส้นทางที่ต้องผjานของหลิ่งซาน
ตอนนี้ ท้องฟ้าหนึ่งเส้นถูกคนของตระกูลตู๋กูใช้อำนาจปิดล้อมไว้หมดแล้ว ไม่ให้ใครเข้ามาเที่ยวชม
บนยอดเขาของท้องฟ้าหนึ่งเส้น ตู๋กูอู๋ซวงกับผู้นำตระกูลกงซุนและผู้นำตระกูลอีกสองคนยืนอยู่บนนั้นและกำลังจ้องมองลงมาด้านล่าง
ตู๋กูอู๋ซวงพูดพร้อมรอบยิ้มว่า “ทุกท่าน พวกคุณคิดว่าแบบนี้เป็นยังไง?”
ผู้นำตระกูลกงซุนแสดงความเห็นด้วยออกมาเสียงดัง “เยี่ยม เยี่ยมมาก ถ้าเฉินไต้ซือมาจริงๆต่อให้มีปีกก็ยากจะหนีได้!”
ผู้นำตระกูบฉางก็พูดด้วยรอยยิ้มเหมือนกันว่า “พี่ตู๋กูนี่ช่างหลักแหลมเหลือเกิน ที่หาสถานที่มรณะแบบนี้ได้ ลำพังแค่ท้องฟ้าหนึ่งเส้น บวกกับค่ายกลห้าธาตุ ต่อให้เฉินไต้ซือนั่นมีความสามารถที่ล้นฟ้าก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้!”
ผู้นำตระกูลจ้างก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่ชื่นชมว่า “ถูกต้อง เฉินไต้ซือต้องตายอยู่ที่นี่แน่!”
ตู๋กูอู๋ซวงทำหน้าพอใจ สำหรับสถานที่อย่างท้องฟ้าหนึ่งเส้นนั้น เขานึกถึงนานแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าลงมือกับเฉินไต้ซืออย่างใจร้อนแบบนี้
ตอนนี้ได้การสนับสนุนจากอีกสามตระกูลใหญ่ ทำให้ความมั่นใจของตู๋กูอู๋ซวงยิ่งสูงไปอีก
หลังเฉินโม่ได้รับข่าวจากเฉินตงซุ่น ก็มุ่งหน้าที่หลิ่งหนานทันที ต่อที่สองก็มาถึงเขตของหลิ่งหนานแล้ว
ตู๋กูอู๋ซวงได้รับการรายงานจากสายสืบทันทีว่า เฉินไต้ซือมาแล้ว
ในห้องรับรองของตระกูลตู๋กู จ้องมองผู้นำตระกูลคนอื่นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แล้วพูดไปว่า “ทุกท่าน เฉินไต้ซือมาตรงเวลาจริงๆตอนนี้มาถึงหลิ่งหนานแล้ว เราไปรอที่ท้องฟ้าหนึ่งเส้นกันดีกว่า
ผู้นำตระกูลกงซุนพยักหน้า “ได้!”
ท้องฟ้าหนึ่งเส้น ถ้ามองจากด้านล่าง ก็เหมือนภูเขาที่ถูกคนยักษ์ใช้กระบี่ฟันจนแยกออกจากกันในทีเดียวถ้ามีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งประจำการอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นทหารนับพันก็ยากจะผ่านไปได้
เฉินโม่ยืนอยู่หน้าท้องฟ้าหนึ่งเส้น จ้องมองตู๋กูอู๋ซวงและพวกที่เดินออกมาจากท้องฟ้าหนึ่งเส้นอย่างช้าๆ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เฉินโม่ได้คุ้นหน้า มีเพียงลูกชายคนโตของตู๋กูอู๋ซวง ตู๋กูเยว่ที่เฉินโม่รู้จัก
“ปู่ผมอยู่ไหน?” เฉินโม่สีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเคร่งขรึมยิ่งกว่า
ตู๋กูอู๋ซวงพูดด้วยรอยยิ้ม “ใจเย็นๆ ถ้าผ่าน ท้องฟ้าหนึ่งเส้นไปได้ ผมก็จะพาปู่ของคุณมาเอง!”
เฉินโม่มองไปที่ท้องฟ้าหนึ่งเส้น เขาสามารถสัมผัสถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากท้องฟ้าหนึ่งเส้นได้ ดูท่าพวกนั้นคงเตรียมการไว้นานแล้ว
แต่เฉินโม่มีอะไรต้องกลัว?
“มีดีอะไรพวกคุณก็งัดออกมาเลย แต่ถ้าพวกคุณกล้าทำอะไรคุณปู่แม้แต่นิดเดียว ผมจะทำลายตระกูลของพวกคุณซะ!” น้ำเสียงของเฉินโม่ทำให้ทุกคนถึงกับขนลุก ตู๋กูอู๋ซวงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ตู๋กูอู๋ซวงพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “เฉินไต้ซือ คำพูดพวกนี้รอคุณผ่านท้องฟ้าหนึ่งเส้นให้ได้ก่อนค่อยพูดดีกว่า!”
“ไป!” ตู๋กูอู๋ซวงไปที่ผู้นำตระกูลทั้งสาม แล้วคำรามออกมา แล้วเดินจากไป
ตู๋กูเยว่ยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ให้เฉินโม่ เหมือนกำลังรอดูอะไรตลกๆ จากเฉินโม่
เดิมทีเฉินโม่สามารถขวางคนพวกนี้ได้ แต่ด้วยความที่เฉินกั๋วเหลียงกับเฉินเยว่อยู่ในมือพวกนั้นอยากตีหนูแต่ก็กลัวข้าวของโดยรอบเสียหาย เลยไม่กล้าลงมือ
ตู๋กูอู๋ซวงและคนอื่นเดินเข้าไปในท้องฟ้าหนึ่งเส้น แล้วหันมาพูดกับเฉินโม่ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจว่า “เฉินไต้ซือ ผมได้เตรียมการไว้อย่างไม่มีช่องโหว่แล้ว ถ้าอยากช่วยปู่ของคุณ ก็เข้ามาได้เลย!”
เฉินโม่จ้องมองเขา แสดงสายตาที่อาฆาตออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ได้!”
พูดจบ เฉินโม่ก็ก้าวมาข้างหน้าทันที แต่ย่างก้าวของเฉินโม่ค่อนข้างช้า เหมือนต้องการให้พวกตู๋กูอู๋ซวงมีเวลาเพียงพอในการเตรียมการ
“หึ เจ้าหนูนี่ ช่างยโสซะเหลือเกิน!” ผู้นำตระกูลกงซุนขำอย่างไม่ชอบใจ แล้วหันไปพูดกับตู๋กูอู๋ซวงว่า “น้องตู๋กู เจ้าหนูนั่นมันไม่เห็นหัวเรา ช่างน่าหมั่นไส้เหลือเกิน เปิดใช้งานค่ายกลห้าธาตุตอนนี้เลย ให้มันมาแล้วไม่มีกลับ!”