บทที่ 882 ไปช่วยคน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 882 ไปช่วยคน

“พวกเจ้ารีบกินอาหารเถอะ”

หลินเป่ยเฉินพยายามเปลี่ยนเรื่อง

กานเซียวซวงรับประทานเต็มปาก พูดเสียงอู้อี้เพราะยังเคี้ยวไม่หมดว่า “สรุปว่าพี่กู่จะมาร่วมชุมนุมกับเราด้วยใช่ไหมเจ้าคะ?”

เอ่อ…

ทำไมไม่กินให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดนะ?

หลินเป่ยเฉินอยากจะสั่งสอนมารยาทขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในโลกนี้จะมีใครบ้างไปร่วมขบวนที่ต้องการขับไล่ตนเอง?

แต่สายตาของหลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกกำลังจ้องมองมาด้วยความคาดหวัง

หากตัดสินใจผิดพลาด ทุกอย่างที่เขาทำมาก่อนหน้านี้ก็จะพังทลายลงไปทั้งหมดใช่หรือไม่?

“ย่อมต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว”

หลินเป่ยเฉินตอบรับด้วยความหนักแน่น “คนดีๆ อย่างข้าจะปล่อยให้คนชั่วช้าเช่นนั้นลอยนวลอยู่ได้อย่างไร งานนี้ข้าสนับสนุนพวกเจ้าเต็มที่”

เหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ

หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อว่า “เมื่อถึงวันชุมนุม พวกเจ้าสามารถมาหาตัวข้าได้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้”

เฮ้อ

นี่คือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงซะแล้วสิ

แล้วเขาจะต้องตะโกนคำขวัญขับไล่หลินเป่ยเฉินด้วยหรือไม่?

สรุปว่าเขาต้องตะโกนด่าตัวเองใช่ไหม?

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกระดากใจ

แต่เมื่อคิดทบทวนดีแล้ว เขาก็มีแต่ต้องไปร่วมชุมนุมเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินต้องการให้เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้เชื่อมั่นในตัวเขา

บางทีหลังจากนี้อาจมีหนทางแก้ไขความเข้าใจผิดก็เป็นได้

หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจและพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอีกครั้ง “เมื่อสักครู่ตอนที่ข้ามา เหมือนเสี่ยวซวงกำลังพูดถึงเรื่องอื่น ไม่ทราบว่าพวกเจ้ากำลังพบเจอปัญหาใดอยู่หรือไม่?”

ทันใดนั้น กลุ่มศิษย์ที่อยู่รอบโต๊ะอาหารก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“พูดถึงเรื่องนี้”

หลี่ซิวเยวียนวางตะเกียบลงและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ศิษย์พี่กู่ ความจริงที่พวกเรามารวมตัวกันในวันนี้… ก็เพราะว่า…”

แต่เขาก็พูดไม่ออก

กานเซียวซวงจึงต้องเป็นคนบอกออกมาเองว่า “พี่กู่ พวกเราอยากขอความช่วยเหลือจากท่านอีกสักครั้ง เราอยากให้ท่านไปช่วยเหลือใครบางคน”

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ก่อนถามว่า “ไปช่วยผู้ใด? เขาทำอะไรผิด?”

เดี๋ยวก่อนนะ

หลินเป่ยเฉินไม่ควรตกปากรับคำง่ายดายขนาดนี้ไม่ใช่หรือ?

แต่ในเมื่อขอให้ช่วยกันขนาดนี้ จะปฏิเสธก็คงน่าเกลียด

ยิ่งเขามีบุญคุณกับกลุ่มแกนนำผู้ประท้วงเหล่านี้มากเท่าไหร่ ในอนาคตข้างหน้า หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งสามารถใช้ประโยชน์จากเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ได้มากเท่านั้น… เหอเหอเหอ

“เป็นอาจารย์ของพวกเราขอรับ เขามีนามว่าเยวียนเหวินจวิ้น ท่านสอนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาระดับสูงประจำนครหลวง”

หลี่ซิวเยวียนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย “อาจารย์เป็นหนึ่งในเรี่ยวแรงสำคัญที่คอยช่วยเหลือพวกเราวางแผนการประท้วง อาจารย์ท่านนี้ส่งเสริมหลักสูตรการเรียนนอกสถานที่ ทำให้พวกเราได้เห็นโลกกว้างมากมาย อีกทั้งยังเป็นผู้ชนะตำแหน่ง ‘สุภาพบุรุษแห่งนครหลวง’ ถึงสี่ปีซ้อน เขาช่วยส่งเสริมความฝันของเด็กรุ่นใหม่โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นับเป็นอาจารย์ที่หาได้ยากยิ่ง…”

เมื่อรับฟังการบรรยายสรรพคุณอาจารย์ของตนเองจากหลี่ซิวเยวียนจบลง หลินเป่ยเฉินก็นึกภาพอาจารย์หนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางคงแก่เรียน เป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาทันที

“แล้วอาจารย์เยวียนท่านนี้ เกิดเหตุอันใดขึ้นกับท่าน?”

หลินเป่ยเฉินสอบถาม

หลี่ซิวเยวียนกัดฟันกรอดและบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด “สองวันที่แล้ว รองหัวหน้าสำนักแสงตะวัน ซึ่งเป็นสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวงได้ส่งคนของพวกมันมาขอให้อาจารย์เยวียนส่งตัวบุตรชายของท่าน ซึ่งก็คือศิษย์พี่เยวียนหนงของพวกเราไปให้กับพวกมัน สำนักแสงตะวันอ้างว่าศิษย์พี่เยวียนหนงเล่นพนันจนติดหนี้พวกมันอยู่เป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งล้านเหรียญทองคำ”

“มิหนำซ้ำ เขายังเป็นผู้ต้องสงสัยในการลักพาตัวธิดาของจ้าวสำนักแสงตะวันนามว่าตู้กูอู่อิ๋งและฆ่าคนรับใช้ของนางอีกด้วย ดังนั้น อาจารย์เยวียนจึงถูกพวกมันทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่พวกมันจะพาตัวท่านไปคุมขังไว้ทรมานในคุกใต้ดินของสำนัก… พวกเราล้วนอยากช่วยเหลือท่าน แต่โชคร้ายที่ไม่มีความสามารถมากพอ”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด

“แล้วบุตรชายของอาจารย์พวกเจ้าทำจริงหรือไม่? เขาเป็นคนเสเพล ติดการพนัน ลุ่มหลงในราคะจริงไหม?” หลินเป่ยเฉินมองหน้ากลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวด้วยความสับสน “หรือว่าเขาถูกใส่ร้าย?”

หลี่ซิวเยวียนรีบตอบโดยเร็ว “เขาย่อมถูกใส่ร้ายขอรับ ศิษย์พี่เยวียนหนงเป็นมือกระบี่รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองแห่งนครหลวง เขามีนิสัยสุภาพอ่อนโยน กระตือรือร้นและใจดีมีเมตตา สายลับของจักรวรรดิจี้กวงจำนวนมากต้องตายใต้คมกระบี่ของเขา และเป็นที่รู้ดีอีกเช่นกันว่าระหว่างศิษย์พี่ตู้กูกับศิษย์พี่เยวียนหนงนั้น พวกเขามีใจต่อกัน…”

“ใช่แล้วขอรับ”

“และคนรับใช้ประจำตัวศิษย์พี่ตู้กูผู้มีนามว่าอิงเอ๋อร์ ก็มีความสนิทสนมกับศิษย์พี่ตู้กูราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ศิษย์พี่เยวียนหนงให้ความเคารพนางเป็นอย่างมาก ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนนี้เป็นไปด้วยดีมาตลอด…”

“แต่คงเป็นเพราะคนในสำนักแสงตะวันนั่นแหละขอรับ ที่ไม่เห็นด้วยกับความรักในครั้งนี้ พวกมันจึงพยายามใส่ความศิษย์พี่เยวียนหนง”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าป่านนี้ศิษย์พี่เยวียนหนงอาจจะถูกจับตัวไปแล้วเช่นกัน”

“ข้าคิดว่านี่คือการแก้แค้นของพวกมันขอรับ เพราะมีข่าวลือว่าสำนักแสงตะวันแอบทำงานร่วมอยู่กับจักรวรรดิจี้กวง ที่ผ่านมาต้องมีสายลับของพวกมันตายด้วยฝีมือของศิษย์พี่เยวียนหนงจำนวนมาก ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ อาจจะมีผู้คนของจักรวรรดิจี้กวงอยู่เบื้องหลัง…”

ยิ่งพวกของหลี่ซิวเยวียนพูดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ อารมณ์ของพวกเขาก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินมองออกว่าทุกคนให้ความเคารพและเชื่อใจอาจารย์ของตนเอง รวมไปถึงศิษย์พี่ที่มีนามว่าเยวียนหนงเป็นอย่างยิ่ง

“แต่ข้าก็ยังมีคำถามอยู่ดี”

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นสอบถามด้วยความสงสัย “เหตุไฉนพวกเจ้าถึงไม่รายงานเจ้าหน้าที่? นครหลวงเป็นที่พำนักขององค์จักรพรรดิ เป็นไปได้หรือที่สำนักยุทธ์จะทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเช่นนี้?”

“พวกเราเคยไปรายงานต่อเจ้าหน้าที่มาแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความมั่นคงแห่งนครหลวง สำนักมือปราบหลวง ไปจนถึงหน่วยองครักษ์ประจำนครหลวง ทุกฝ่ายเอาแต่บอกว่านี่เป็นเรื่องราวของพวกสำนักยุทธ์ มีแต่ต้องให้พวกสำนักยุทธ์จัดการกันเอาเองเจ้าค่ะ…”

กานเซียวซวงพูดด้วยความเจ็บใจ

“เป็นเรื่องระหว่างสำนักยุทธ์?” หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “ต้องให้สำนักยุทธ์จัดการกันเองเนี่ยนะ?”

“ใช่แล้วขอรับ” หลี่ซิวเยวียนตอบด้วยความเศร้า

“เรื่องของเรื่องก็คือ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เยวียนหนงมีความต้องการอยากจะเข้าร่วมกับกองทัพและมีกำหนดไปประจำการที่ชายแดนเหนือในเดือนหน้า ดังนั้น ศิษย์พี่ตู้กูจึงหวังที่จะหมั้นหมายกับศิษย์พี่เยวียนหนงก่อนที่เขาจะเข้าร่วมกองทัพและไปประจำการที่สนามรบอย่างเป็นทางการ”

“แต่จ้าวสำนักแสงตะวันไม่เห็นด้วย ซ้ำยังบีบบังคับให้ศิษย์พี่เยวียนหนงยอมเข้าร่วมเป็นลูกศิษย์ในสำนักแสงตะวัน ศิษย์พี่เยวียนหนงยอมทำตาม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีสถานะเป็นสมาชิกสำนักแสงตะวัน เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นมา ทางเจ้าหน้าที่จึงมองว่ามันเป็นการขัดแย้งภายในสำนักยุทธ์ สมควรที่พวกเขาจะหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเอง ทางเจ้าหน้าที่จะไม่ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงเด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว ทำให้หน้ากากที่ใส่อยู่เกือบจะหลุดออกมา

เขารีบตะปบหน้ากากกลับเข้าที่อย่างรวดเร็วและถามแก้เก้อว่า “ที่ว่าให้สำนักยุทธ์จัดการกันเองนั้นหมายความว่าอย่างไร?”

หลี่ซิวเยวียนตอบว่า “ผู้แข็งแกร่งที่สุดย่อมได้รับความเคารพ และมีแต่ต้องแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้”

“อ้อ”

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวขึ้นมาในทันใด “เพราะเหตุนี้ พวกเจ้าถึงต้องการความช่วยเหลือจากข้าสินะ”

“กราบเรียนศิษย์พี่กู่ สำนักแสงตะวันเป็นสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวง พวกมันมียอดฝีมืออยู่มากมาย บางคนมีขอบเขตพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายแล้วด้วยซ้ำ” หลี่ซิวเยวียนพูด “ข้ากับศิษย์ร่วมสำนักไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว ดังนั้นจึงคิดมาขอความช่วยเหลือจากท่าน แต่เรื่องนี้มีความเสี่ยงสูง หากท่านปฏิเสธ พวกเราก็เข้าใจ…”

หลี่ซิวเยวียนพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เกิดความละอายใจขึ้นมาอย่างชัดเจน

เหตุการณ์หน้าสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง เป็นกู่เทียนเล่อคนนี้ออกหน้าช่วยเหลือพวกเขามาแล้วครั้งหนึ่ง

บุญคุณครั้งก่อนยังไม่ทันทดแทน บัดนี้ พวกเขาก็มาขอความช่วยเหลือใหม่อีกแล้ว

หากกู่เทียนเล่อปฏิเสธไม่ช่วยเหลือ

พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งอะไรทั้งนั้น

“เจ้าพูดอะไรออกมาน่ะ?”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ตอบรับไปโดยไม่ลังเล “ข้าหลิน… เอ๊ย กู่เทียนเล่อรักในความยุติธรรมยิ่งชีวิต เมื่อสหายของข้ามีปัญหา แล้วข้าจะทนอยู่นิ่งเฉยได้อย่างไร? พวกเจ้ามาที่นี่เพราะเห็นข้าเป็นที่พึ่ง… นี่ยังไม่สายเกินไปหรอก พวกเราไปช่วยคนกันเลยดีกว่า”

กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวส่งเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ

“ศิษย์พี่กู่ ท่าน… ไม่คิดจะถามรายละเอียดสักหน่อยหรือว่าพวกเรามีแผนการอย่างไร?” หลี่ซิวเยวียนเอ่ยเตือนด้วยความละอายใจ “และท่านเพียงฟังความจากพวกข้าฝ่ายเดียวเท่านั้น ท่านต้องการเวลาสืบหารายละเอียดที่แน่นอนด้วยตนเองหรือไม่…”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างสบายใจและตอบว่า “ข้าเชื่อใจพวกเจ้า และข้าก็เชื่อใจในตัวอาจารย์และศิษย์พี่ของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”

เขาจ้องมองกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและกล่าวต่อ “ตอนที่อยู่หน้าสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง พวกเจ้าพิสูจน์ถึงความกล้าหาญของตนเองแล้ว พวกเจ้าพิสูจน์ถึงความสามารถในการวางแผน ข้าไม่มีอะไรให้สงสัยในความสามารถหรือความกล้าหาญของพวกเจ้าเลย แล้วข้ายังจะต้องไปเสียเวลาตรวจสอบข้อมูลอันใดอีก?”

หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกตัวสั่นเทาด้วยความซาบซึ้งใจ

พวกเขารู้สึกว่ากู่เทียนเล่อคนนี้มีจิตวิญญาณแห่งมือกระบี่ที่แท้จริง

ช่างแตกต่างจากเจ้าสัตว์เดรัจฉานหลินเป่ยเฉินผู้ชั่วร้ายหลายร้อยหลายพันเท่า!!!