บทที่ 883 ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 883 ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้

กู่เทียนเล่อช่างมีจิตใจกล้าหาญ

กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวแทบหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว

พวกของกานเซียวซวงจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพเทิดทูนมากขึ้น

พวกเขารีบรับประทานอาหาร สั่งห่ออาหารส่วนที่เหลือกลับบ้าน และเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม

ทุกคนเร่งรีบเดินไปตามถนน

หลินเป่ยเฉินถึงกับจ่ายเงินหนึ่งเหรียญทองคำว่าจ้างรถม้าให้นำพาพวกเขาไปส่งยังที่ทำการของสำนักแสงตะวันโดยเร็วที่สุด

ในฐานะสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวง ที่ทำการของสำนักแสงตะวันจึงตั้งอยู่โดดเด่นแตกต่างจากสำนักยุทธ์อีก 31 แห่งที่เหลือ

นับตั้งแต่มีการก่อตั้งจักรวรรดิเป่ยไห่ สำนักของพวกเขาไม่เคยล่มสลาย

เมื่อตั้งหลักได้มั่นคง สำนักแสงตะวันก็ยึดครองกิจการใต้ดินแต่เพียงผู้เดียว หลายสำนักใหญ่ทั่วจักรวรรดิมักล้มหายตายจากไปหากมีปัญหากับสำนักแสงตะวัน บ้างก็หวาดกลัวจึงต้องเข้าร่วมด้วยอย่างไม่มีทางเลือก หรือมิเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องสลายตัวเพื่อความอยู่รอด และบางครั้งสำนักแสงตะวันก็ถึงกับใช้เส้นสายของตนเองนำอำนาจทางการเมืองมากวาดล้างสำนักคู่อริ

สำนักยุทธ์ที่เป็นศัตรูกับสำนักแสงตะวันจึงถูกกวาดล้างหมดสิ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกแห่งวรยุทธ์ ซึ่งนับถือผู้แข็งแกร่งเป็นที่หนึ่ง

ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา สำนักยุทธ์ที่ครองอำนาจในยุทธภพล้วนเปลี่ยนมือกันตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีสำนักใดที่จะขยายอำนาจอยู่ในแสงสว่างและบงการความชั่วร้ายอยู่ในความมืดได้ยาวนานอย่างสำนักแสงตะวันมาก่อน

และตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ในขณะที่อำนาจของทางราชวงศ์เสื่อมถอย สำนักแสงตะวันก็เพิ่มฐานอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้คนในวังหลวงบางส่วนถึงกับยอมทำงานรับใช้สำนักแสงตะวันด้วยซ้ำ

หลี่ซิวเยวียนเล่าให้ฟังว่าสำนักแสงตะวันครองความยิ่งใหญ่ในนครหลวงกว่า 15 ปีแล้ว

พวกมันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ปกครองแห่งความมืด

อิทธิพลของสำนักแสงตะวันในนครหลวงยิ่งนานวันยิ่งน่ากลัว

ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงได้รับการขนานนามให้เป็นสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งนครหลวง

รถม้านำพาพวกเขาไปยังที่ทำการของสำนักแสงตะวันบนถนนเซี่ยเฟยสาย 16 ซึ่งตั้งอยู่ทางเขตตะวันออกของนครหลวง

ที่นี่เป็นฐานบัญชาการของสำนักแสงตะวัน

สิ่งปลูกสร้างที่อยู่หลังรั้วไม่ใช่คฤหาสน์ แต่พวกมันมีลักษณะเหมือนป้อมปราการมากกว่า

บัดนี้ พื้นที่โดยรอบจุดโคมไฟสว่างไสว

สำนักแสงตะวันสว่างไสว

เวรยามรักษาความปลอดภัยสวมใส่ชุดเกราะเดินถือตะเกียงอาคมลาดตระเวนทั่วป้อมปราการ

ประตูทางเข้าสำนักแสงตะวันมีขนาดใหญ่โตเกินคาดคิด มันใหญ่เสียจนเพียงพอให้รถม้าสิบคันสามารถวิ่งเข้าไปได้พร้อมๆ กัน

ประตูทางเข้าก่อสร้างขึ้นมาจากหินสีดำ สูงตระหง่านเท่ากับตึกสิบชั้น แต่พวกมันกลับแบ่งเป็นเพียงสองชั้น และพื้นที่ชั้นบนก็มีเวรยามในชุดเกราะซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักแสงตะวันยืนรักษาการอย่างเข้มงวด

หลังบานประตูเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าไกลออกไปจากนั้นจะมีอะไรอยู่อีกบ้าง

มีผู้คนเข้าออกจากป้อมปราการตลอดเวลา

บางคนใบหน้าแดงก่ำ สามารถเข้าออกได้เพราะมีป้ายประจำตัวของศิษย์สำนักแสงตะวัน

แม้แต่ยามราตรี สำนักแสงตะวันก็มีคนพลุกพล่านไม่ต่างไปจากตอนกลางวัน

หลินเป่ยเฉินลงจากรถม้าและจ้องมองไปที่ประตูหน้าด้วยสายตาคมกริบ

หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉินด้วยความตึงเครียดและคาดหวัง

พวกเขาดึงดูดความสนใจจากเวรยามหน้าประตูได้ทันที

“พวกเจ้ามาที่นี่ทำไมอีก?”

กุ้ยลี่ชุน ศิษย์ระดับสามของสำนักแสงตะวันผู้เฝ้ายามอยู่หน้าประตูขมวดคิ้ว เดินจับด้ามกระบี่เข้ามาขยิบตาให้กลุ่มผู้มาเยือน “อย่าได้กลับมาที่นี่อีกเลย นี่คือเรื่องของเยวียนเหวินจวิ้นไม่ใช่เรื่องพวกเจ้า ต่อให้พวกเจ้าจะกลับมาที่นี่อีกสักกี่ครั้งมันก็ไม่มีประโยชน์”

แน่นอนว่าพวกของหลี่ซิวเยวียนมาที่นี่บ่อยมากเกินไป จนเวรยามหน้าประตูสำนักแสงตะวันจดจำพวกเขาได้หมดแล้ว

หลินเป่ยเฉินถึงกับประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

น้ำเสียงนั้นไม่ได้เป็นเชิงข่มขู่เสียทีเดียว

ออกจะเป็นการพูดคุยด้วยความสุภาพเสียด้วยซ้ำ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ?

“พวกเราอยากเจอท่านประมุขตู้กู่”

หลี่ซิวเยวียนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

กุ้ยลี่ชุนหัวเราะในลำคอ มือยังคงกุมอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ขณะกล่าวว่า “คุณชายหลี่ ข้ารู้ว่าเจ้ามีสถานะไม่ต่ำต้อยและมีอิทธิพลมากในสมาคมกลุ่มศิษย์สถานศึกษาประจำนครหลวง แต่ที่นี่คือสำนักแสงตะวัน ไม่ใช่สํานักศึกษาของพวกเจ้า ที่นี่ เจ้าหาได้มีสถานะอันใดไม่… เหอเหอเหอ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นพ่อค้าวาณิชผู้ร่ำรวยหรือขุนนางจากในวังหลวง ก็ยังไม่สามารถเข้าพบท่านประมุขได้ตามใจชอบ เพราะฉะนั้น พวกเจ้าจงกลับไปร่ำเรียนหนังสือตามเดิมเสียเถิด”

หลี่ซิวเยวียนสวนกลับไปว่า “คืนนี้พวกเราจะต้องเจอท่านประมุขตู้กู่ให้ได้”

“เจ้า…”

กุ้ยลี่ชุนชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย “หัดรู้ถูกรู้ผิดบ้าง หากพวกเจ้ายังก่อปัญหาเช่นนี้ต่อไป พวกเจ้าก็จะต้อง…”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย

“หัวหน้ากุ้ย มีอะไรกันหรือ?”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ห่างไกล

เมื่อหันไปมองทางประตูป้อมปราการ บุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีม่วงเข้มกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมา

บางคนมีจี้หยกรูปทรงกระบี่ประดับอยู่บนหน้าผาก บางคนแขวนไว้ที่เอว บางคนแขวนไว้ที่ฝักดาบ ล้วนแล้วแต่เป็นจี้ที่บ่งบอกถึงสถานะอันสูงส่งกว่าเหล่าศิษย์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูหลายเท่า

และผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนั้นคือชายหนุ่มอายุประมาณ 25 – 26 ปี ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วโก่ง กลิ่นกายได้กลิ่นสุรา และกำลังเดินตรงมาหาพวกเขาด้วยลักษณะเมามาย

กุ้ยลี่ชุนชะงักกึก รีบโบกมือไล่ให้พวกของหลี่ซิวเยวียนหลบหนีไป ก่อนตนเองจะวิ่งเข้าไปประจบบุรุษหนุ่มกลุ่มนั้น “คุณชายเจิ้ง ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ไม่มีอะไร… แหะแหะ ก็แค่กลุ่มเด็กผู้โง่เขลาไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำกลุ่มหนึ่งเท่านั้น พวกมันอยากจะเข้าพบท่านประมุข แต่ข้าก็ไล่กลับไปแล้ว…”

“เจ้าเด็กกลุ่มนี้เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ไม่มีอะไรทำนอกจากเดินขบวนไปทั่วเมืองหรืออย่างไร?”

บุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเจิ้งมีนามว่าเจิ้งโต้วข่าย เป็นศิษย์ระดับที่เจ็ดของสำนักแสงตะวัน สถานะไม่ต่ำต้อย นับเป็นบุรุษหนุ่มที่มีทั้งฝีมือและอำนาจมากมายในสำนัก เมื่อเทียบกับกุ้ยลี่ชุนผู้เป็นศิษย์ระดับที่สามแล้ว ไม่รู้เลยว่าสถานะยังห่างชั้นกันอยู่อีกมากมายเท่าไหร่

เจิ้งโต้วข่ายยกมือผลักกุ้ยลี่ชุนกระเด็นออกไปด้วยความมึนเมา ก่อนจะหัวเราะเยาะ และเดินตรงเข้าไปหาพวกของหลี่ซิวเยวียน

ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มของเขากวาดมองใบหน้าของกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาว ก่อนที่สายตาจะสะดุดหยุดลงตรงใบหน้าของหลิวเหวินฮุย เจิ้งโต้วข่ายยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้ารู้จักเจ้า เจ้ามีนามว่าหลิวเหวินฮุยใช่หรือไม่? มีข่าวลือว่าเจ้าถูกจับตัวไปทำอะไรต่อมิอะไรในสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงถึงสองวันสองคืน…”

สีหน้าของหลี่ซิวเยวียนเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา

สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือการมีคนพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าหลิวเหวินฮุยนี่แหละ

และยังเป็นการพูดถึงด้วยความหยาบคายอีกด้วย

หลี่ซิวเยวียนย่อมทนไม่ได้เด็ดขาด

“เจ้ากำลังพูดไร้สาระอันใด? รีบขอโทษออกมาเดี๋ยวนี้”

หลี่ซิวเยวียนเดินออกไปข้างหน้า ดวงตาร้อนผ่าวดั่งไฟลุก จ้องมองเจิ้งโต้วข่ายเขม็งและคำรามเสียงดังลั่น

เจิ้งโต้วข่ายถึงกับสะดุ้งโหยง

ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา

“ขอโทษอย่างนั้นหรือ…”

เจิ้งโต้วข่ายเสแสร้งแกล้งทำเป็นจะประสานมือขอโทษ แต่แล้วกลับพลิกฝ่ามือด้วยความเร็วไว สะบัดฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ใบหน้าของหลี่ซิวเยวียน “เจ้าเด็กเมื่อวานซืน คิดว่าข้าเป็นเพื่อนเล่นของเจ้าหรืออย่างไร…”

หลี่ซิวเยวียนยกมือขึ้นปัดป้องโดยสัญชาตญาณ

แต่ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็พร่าพราย

หลินเป่ยเฉินพลันมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าและยกมือขึ้นตะปบข้อมือของเจิ้งโต้วข่ายได้อย่างทันท่วงที

“เอาละ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย “พวกข้าอุตส่าห์พูดจาดีๆ ด้วยแล้วนะ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่หัดรับฟังผู้อื่นเสียบ้าง”

เจิ้งโต้วข่ายรู้สึกเหมือนข้อมือของตนเองถูกบีบรัดด้วยห่วงเหล็ก แม้จะพยายามสะบัดอยู่หลายหน แต่ก็ไม่สามารถสะบัดหลุด

“เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรถึงมาแตะต้องตัวข้าเช่นนี้…”

เจิ้งโต้วข่ายแผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินฟาดหลังมือตบหน้าเจิ้งโต้วข่าย

เสียงคำรามจึงหยุดลงอย่างกะทันหัน

ฟันสิบกว่าซี่พุ่งออกมาจากปากเจิ้งโต้วข่าย

ใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งบิดเบี้ยวผิดรูป

“มีปากแต่ไม่รู้จักกล่าววาจาดีๆ ออกมา ก็อย่ามีเลยเถอะนะ”

หลินเป่ยเฉินวาดเท้าเตะใส่หัวเข่าของเจิ้งโต้วข่าย ส่งผลให้อีกฝ่ายล้มลงคุกเข่าบนพื้นดิน

“อ๊าก…”

บุรุษหนุ่มผู้เป็นศิษย์ระดับสูงของสำนักแสงตะวันส่งเสียงร้องโหยหวนราวหมูถูกเชือด

ผู้ติดตามที่สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีม่วงอีกหลายคน ต่างก็แสดงสีหน้าโกรธแค้นออกมาเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนชักกระบี่และโถมกายเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน

“เฮอะ”

หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอ

แล้วพลังกดดันมหาศาลก็พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา ส่งผลให้กลุ่มผู้โจมตีรู้สึกเหมือนถูกภูเขาทับลงบนสองไหล่ และต้องทรุดกายลงคุกเข่าบนพื้นดินโดยไม่รู้ตัว

พื้นดินบริเวณที่รองรับน้ำหนักหัวเข่าของพวกเขาเกิดรอยแตกร้าวและมีเลือดไหลซึมแดงฉาน

บริเวณหน้าประตูสำนักแสงตะวันเกิดความวุ่นวายขึ้นมาในทันใด

พวกของหลี่ซิวเยวียนได้แต่เบิกตาโตอย่างตกตะลึง

พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่ากู่เทียนเล่อจะลงมือด้วยความรุนแรงถึงขนาดนี้

บัดนี้ กลุ่มศิษย์ของสำนักแสงตะวันล้วนแตกตื่น

ท่ามกลางเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เหล่าผู้พิทักษ์หมู่ตึกและศิษย์ระดับสูง รวมถึงผู้พิทักษ์กฎประจำสำนักต่างก็รีบรุดออกมาปรากฏตัว

มุมปากหลินเป่ยเฉินบิดตัวเป็นรอยยิ้ม

เขาตะโกนเสียงดังจากหน้าประตูใหญ่ว่า “เรียนเชิญประมุขตู้กู่ หากท่านยังไม่ตาย จงรีบไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”

เสียงของเด็กหนุ่มดังกังวานปานฟ้าผ่ายามราตรี

กลุ่มศิษย์ของสำนักแสงตะวันสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงที่กระทบใบหน้าของพวกเขา ส่งผลให้แข้งขารู้สึกอ่อนแรงและต้องคุกเข่าลงไปบนพื้นดินโดยไม่รู้ตัว บางคนโชคร้ายต้านทานแรงปะทะจากคลื่นเสียงไม่ไหว ตัวคนก็ลอยกระเด็นออกไปกระแทกเข้ากับประตูป้อมด้านใน ทำข้าวของตกกระจายเกลื่อนกลาด…

เสียงตะโกนของหลินเป่ยเฉินได้ยินไปไกลในรัศมีหลายลี้

นี่คือเสียงที่ทำลายค่ำคืนอันเงียบสงบในเดือนธันวาคมปี 8888 ของจักรวรรดิเป่ยไห่ลงอย่างไม่เหลือชิ้นดี