ชายหนุ่มใบหน้ามืดมนมั่นใจเป็นอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่ากำลังจะกำราบดาบตรงหน้าได้แล้ว
ร่างของเขาท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อ การปะทะที่สูสีกับดาบทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดออกไปถึงจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
ดาบเล่มนี้เหมาะสมกับเขายิ่งนัก!
เขาคำรามและระเบิดพลังออกมาเพื่อที่จะสยบดาบอสูรนิรันดร์ให้ราบคาบ
ตอนนี้ออร่าของดาบอสูรนิรันดร์ลดลงไปมากจนราวกดับว่าไม่อาจต่อต้านได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อพยายามคว้าดาบอสูรนิรันดร์ แต่พริบตานั้นอำนาจอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจากตัวดาบ ‘ตูม’ ร่างของเขาลอยกระเด็มล้มลงกับพื้นทันที
อะไรกัน!
ชายคนนั้นอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ นี่เขาทำไม่สำเร็จรึไง เหตุใดดาบถึงได้ปลดปล่อยอำนาจสะท้อนกลับมาได้?
หลังจากที่สะท้อนร่างของชายหนุ่มกลับไป ดาบอสูรนิรันดร์ก็ลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายและแสงสว่างเจิดจ้าอันไร้ที่สิ้นสุด
ดาบค่อยๆลอยเข้าหาชายหนุ่มราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นคอยชี้นำ
นี่มัน… ดาบกำลังยอมรับเขา?
การที่ชายหนุ่มถูกดาบอสูรนิรันดร์กระแทกจนลอยกระเด็นทำให้เขารับรู้ว่าดาบอสูรนิรันดร์นั้นล้ำค่าเกินกว่าที่เขาคาดไว้ และตอนนี้ดาบที่ว่าได้ตอบรับเจตจำนงดาบของเขาแล้ว?
ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะยอมรับเขาเป็นเจ้านายได้อย่างไร?
เขาตื่นเต้นมากและยื่นเมื่อออกไปเพื่อพยายามจับดาบ
เมื่อมือของเขาสัมผัสกับด้ามดาบ ดาบอสูรนิรันดร์ก็หมุนกลางอากาศสร้างรอยแผลเอาไว้บนมือของเขาก่อนที่จะสั่นสะท้านและลอยกลับไปหยุดอยู่ข้างๆศีรษะหลิงฮัน
ตัวดาบส่องประกายเจิดจ้าราวกับอำนาจของมันจะคงอยู่ชั่วกัลปาวสาน
ชายหนุ่มชะงักก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
ในฐานะนักดาบที่มีฉายาคลั่งดาบ เขาจะไม่เข้าใจงั้นรึ? ดาบเล่มนั้นเพียงแค่หยอกล้อเขาเล่นเท่านั้น
ตัวดาบมีจิตวิญญาณของมันเอง!
เขารู้ดีว่าเป็นเรื่องยากขนาดไหนที่จะทำให้ดาบที่มีความนึกคิดยอมรับใครสักคนเป็นเจ้านาย หากหลิงฮันไม่ตายเขาก็ไม่มีทางได้ครอบครองมัน
ดาบที่มีจิตวิญญาณจะภักดีต่อเจ้าของที่สุด
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังดาบอสูรนิรันดร์ด้วยความอิจฉาก่อนจะกล่าว “เป็นดาบที่ดี”
“ข้ารู้” หลิงฮันพยักหน้า
“จงดีกับนาง อย่าให้นางมีฝุ่นเกาะเด็ดขาด” ชายหนุ่มเค้นเสียง สายตาที่เขาทองไปยังดาบอสูรนิรันดร์นั้นราวกับว่าไม่ได้มองไปที่ดาบแต่เป็นลูกสาวที่สุดรักที่ต้องแต่งงานออกจากตระกูลไป
หลิงฮันขนลุก นี่สมองเจ้ายังปกติดีรึเปล่า
ชายหนุ่มถอนหายใจและเดินจากไปอย่างเงียบๆ แม้แต่ชื่อเขาก็ไม่เอ่ยทิ้งไว้
หลิงฮันส่ายหัวและมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งสุดท้ายของถ้ำจ้าวสมุนไพรชั้นแรก มันคือตำแหน่งที่มีทางเข้าชั้นสองตั้งอยู่
เพื่อที่จะผ่านเข้าไปยังชั้นที่สอง ทุกคนต้องผ่านการทดสอบแรกในวิหารชั้นหนึ่งเสียก่อน การทดสอบนั้นคล้ายคลึงกับการแข่งขันของตำหนักเป่าหลิงซึ่งมีทั้ง จำแนกรูปลักษณ์สมุนไพร ประกอบสมุนไพรเข้าด้วยกันใหม่ แยกแยะสมุนไพรและหลอมเม็ดยาหรือทดสอบอื่นๆ
เม็ดยาที่ล้ำค่าที่สุดของชั้นหนึ่งก็อยู่ที่วิหารเช่นกัน แต่เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่มีใครสามารถนำสมุนไพรล้ำค่าที่ว่ามาครอบครอง
จอมยุทธระดับดาราสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูปหลิงฮันก็ร่อนลงจากท้องฟ้า ด้านหน้าเขาปรากฏวิหารขนาดใหญ่ที่ประตูทางเข้าเขียนอักษรเอาไว้สามตัวว่า ‘วิหารแสงอรุณสันติ’ (泰阳宫)
คำสามคำนี้ไม่ได้งดงามอะไรนัก แต่อักษรแต่ละตัวนั้นปลดปล่อยอำนาจอันล้นทะลักออกมาราวกับคลื่นมหาสมุทรจนหลิงฮันต้องหยุดยืนจ้องมอง
ตอนนี้คนของตระกูลทั้งสี่มาถึงวิหารแล้ว แต่ละคนถยอยเข้าไปยังวิหารเพื่อทำการทดสอบ
ที่ชั้นแรกนั้นไม่มีเวลากำหนดว่าจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ แต่เมื่อใดที่เข้าไปในวิหารเพื่อทำการทดสอบ เหนือศีรษะของแต่ละคนจะปรากฏนาฬิกาทรายขึ้นมา หากเวลาในนาฬิกาทรายหมดแล้วยังทดสอบไม่ผ่าน คนคนนั้นก็จะถูกขับไล่ออกมาจากวิหาร
แต่หากทดสอบผ่าน นาฬิกาทรายก็จะยังคงลอยอยู่เหนือศีรษะเพื่อเป็นตัวบ่งบอกว่าคนคนนั้นจะอยู่ในชั้นสองในนานเท่าใด หมายความว่ายิ่งผ่านการทดสอบไวเวลาที่จะได้อยู่ชั้นสองก็จะยาวนานขึ้น
แล้วถ้าหากเวลาใกล้หมดล่ะ?
เมื่อถึงตอนนั้นก็ต้องไปวิหารของชั้นสองเพื่อทดสอบรับเวลาไปยังชั้นสาม
ดังนั้นแล้วยิ่งทำเวลาในแต่ละชั้นได้ดีแค่ไหน ก็จะมีเวลาเก็บเกี่ยวสมุนไพรในแต่ละชั้นมากขึ้น เหตุผลที่ทำไมจนถึงตอนนี้ไม่มีใครขึ้นไปยังชั้นเก้าได้นั้นเป็นเพราะไม่มีใครเหลือเวลามากพอที่จะไปยังวิหารในชั้นแปด
ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ทดสอบ แล้วพวกเขาจะไปชั้นที่เก้าได้อย่างไร?
หลิงฮันไม่เร่งรีบทดสอบเนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีเวลาจำกัด เขายืนมองอักษรสามตัวที่เขียนว่า ‘วิหารแสงอรุณสันติ’ ก่อนที่จู่ๆปราณก่อเกิดในร่างของเขาจะเริ่มปั่นป่วนราวกับรู้แจ้งอะไรบางอย่าง
ดวงดาราในตันเถียนเพียงดวงเดียวของเขาหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว ขนาดของดวงดาราเริ่มขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับอักษรทั้งสามที่ค่อยๆส่องแสงสลัว
การเปลี่ยนแปลงของอักษรทั้งสามนั้นเบาบางมาก แม้แต่จอมยุทธระดับดาราหากไม่สังเกตให้ดีก็ไม่สามารถรับรู้ได้
ฝูงชนเดินเข้ามาที่วิหารไม่ขาดสาย ไม่มีใครเลยที่หยุดยืนมองอักษรเช่นหลิงฮัน พวกเขาคิดแต่จะเข้าทดสอบของชั้นแรกและขึ้นไปยังชั้นที่สองเพื่อเก็บเกี่ยวสมุนไพร ยิ่งกว่านั้นหากทำผลลัพธ์ได้ดีในการทดสอบก็จะได้รางวัลเป็นเม็ดยาด้วย
ตุบ!
หลิงฮันที่กำลังอยู่ในห้วงจิตจู่ๆก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน เขาถูกใครบางคนกระแทกเข้าใส่จนสติหลุดจากสภาวะรู้แจ้ง
เขาขมวดคิ้วและแสดงสีหน้าไม่พอใจ
หลังจากที่เขาจ้องมองอักษรวิหารแสงอรุณสันติ เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งด้านธูปเท่านั้น แต่พลังบ่มเพาะของเขากลับยกระดับขึ้นอย่างมาก!
ถ้าเทียบการยกระดับพลังบ่มเพาะจากระดับดาราขั้นต้นชั้นต้นไปยังขั้นต้นชั้นกลางเป็นการก้าวเดินร้อยก้าวล่ะก็ ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปเมื่อครู่เขาก้าวเดินไปได้แล้วห้าสิบก้าว
แม้หลิงฮันจะหลุดออกจากสภาวะรู้แจ้ง แต่พลังอำนาจที่ถูกชี้นำออกมาจากอักษรทั้งสามนั้นยังไม่หยุดปลดปล่อยออกมา
สำหรับหลิงฮัน หากปล่อยโอกาสนี้ไปคงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่
ดังนั้นเขาจึงคร้านที่จะสนใจคนที่ชนเขาและจ้องมองอักษรทั้งสามต่อ
“ฮึ่ม เจ้าชนข้าแล้วแต่ยังคิดจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?” ด้านหลังหลิงฮัน รุ่นเยาว์คนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส ใบหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความอับอาย
เขาเป็นคนที่ชนหลิงฮันเมื่อครู่
ก่อนหน้านี้ เขาเห็นหลิงฮันยืนนิ่งอยู่กับที่ ด้วยนิสัยอันโอหังของเขาจึงไม่คิดจะเดินหลบและชนหลิงฮันไปทั้งแบบนั้น
ในความคิดของเขา หากมีคนขวางทางอยู่ก็ต้องเป็นอีกฝ่ายที่หลบทางให้เขา
แต่ก่อนหน้านี้หลิงฮันได้อยู่ในสภาวะรู้แจ้งจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่สังเกตเห็นอีกฝ่าย เมื่อเห็นหลิงฮันแน่นิ่ง รุ่นเยาว์ผู้นี้เลยไม่ลังเลที่จะเดินชนกระแทกใส่หลิงฮัน แต่ที่เขาไม่คาดคิดก็คือเมื่อชนเข้าใส่หลิงฮัน เขากลับรู้สึกราวกับกระแทกเข้าใส่แท่งเหล็ก
ผลลัพธ์ก็คือร่างของเขาถูกผลักสะท้อนกลับจนล้มลงที่พื้นด้านหลังหลิงฮัน ช่วยความอัปยศนี้จะไม่ให้เข้าโมโหได้อย่างไร?