ตอนที่ 1101 หอเทียนจี
หิมะยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง
ฟู่เสี่ยวกวนจัดระเบียบบริการอยู่ในห้องทรงพระอักษรหนึ่งวันเต็ม จากนั้นก็ได้พาหลิวจิ่นและจ้าวโฮ่วเดินทางไปยังกวนหยุนถาย
หอเทียนจีตั้งอยู่ข้าง ๆ กวนหยุนถาย มันเป็นอาคารสูงแปดชั้นหนึ่งหลัง ประตูของที่นี่เหมือนจะมิเคยถูกเปิดมาก่อน และมิเคยเห็นผู้ใดเดินเข้าออกมาก่อน จนถึงวันนี้แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยังมิเคยเข้าไป
จี้หยุนกุยรอเขาอยู่ที่ด้านล่างของหอเทียนจี
วันนี้ประตูของหอเทียนจีได้เปิดออกแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งหลิวจิ่นและจ้าวโฮ่วไว้ด้านล่าง เขาขึ้นไปข้างบนกับจี้หยุนกุย ด้านในหอเทียนจีมืดมากยิ่งนัก วันนี้คบไฟในหอก็ได้ถูกจุดขึ้นมาอีกครา
“ตามข้อบังคับของหอเทียนจี สำนักงานสายลับแห่งหอเทียนจีมิได้ตั้งอยู่ที่นี่”
ในฐานะองค์จักรพรรดิแห่งประเทศต้าเซี่ย คาดมิถึงว่าเขาจะมิทราบว่าสำนักงานของหอเทียนจีตั้งอยู่ที่ใด ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ทว่าคำตอบของจี้หยุนกุยก็ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเป็นอย่างมาก “อยู่ด้านล่างทะเลหมอกพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านล่างทะเลหมอก กวนหยุนถายเป็นสถานที่ชมทะเลหมอก เยี่ยงนั้นก็อยู่ในเหวน่ะสิ
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางจี้หยุนกุย “ด้านล่างมีสำนักงานอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นเรือนสี่ประสานหนึ่งหลัง ที่นั่นเป็นสำนักงานอย่างเป็นทางการของหอเทียนจีพ่ะย่ะค่ะ”
ลึกลับอย่างที่คิดเอาไว้ คาดมิถึงว่าจะซ่อนอยู่ด้านล่างโดยที่จักรพรรดิเยี่ยงเขามิเคยทราบมาก่อนเลย แน่นอนว่า เขาเองก็มิเคยเอ่ยถามมาก่อน
“กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้ดูแลหอเทียนจี หอเทียนจีนี้มีระเบียบการ กระหม่อมเองก็เพิ่งจะทราบว่าเดิมทีที่นี่คือสถานที่หวงห้าม ฐานทัพใหญ่ที่แท้จริงของหอเทียนจีอยู่ด้านล่างทะเลหมอกนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ที่นี่คือเขตหวงห้าม “เหตุใดที่นี่ถึงเป็นเขตหวงห้าม ? ”
“ตามรายงานลับของหอเทียนจี สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับเก็บความลับของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ในอดีต… ในเมื่อเป็นความลับของจักรพรรดิแต่ละพระองค์ในอดีต จึงมิสามารถให้คนนอกรับรู้ได้ ดังนั้นจึงถูกกำหนดให้เป็นเขตหวงห้ามพ่ะย่ะค่ะ”
“มิมีผู้ใดคอยเฝ้า หากมีผู้มีฝีมือระดับสูงบุกรุกเข้ามา พวกเขาจะมิสามารถทำลายประตูแล้วเข้าไปได้อย่างง่ายดายหรอกหรือ ? ”
“ความลับมิได้อยู่บนหอเทียนจีแห่งนี้ มันอยู่ที่ด้านล่าง หากมิมีราชลัญจกรแล้วใช้กำลังบังคับให้เปิดออก ก็จะเป็นการกระตุ้นกลไกให้ทำงาน มันจะสะเทือนไปถึงทะเลหมอกด้านล่าง”
ทั้งสองได้ขึ้นมาถึงห้องใต้หลังคา ที่นี่มีโต๊ะน้ำชาหนึ่งโต๊ะ มีเบาะหนังอยู่สองตัว ด้านข้างมีโต๊ะอักษรอยู่หนึ่งตัว ทั้งหมดนี้ต่างก็เต็มไปด้วยฝุ่น ดูเหมือนว่าจะมิมีผู้ใดมาทำความสะอาดเนิ่นนานแล้ว
“ความละเอียดของแบบร่างหอเทียนจีนี้ยากที่จะจินตนาการได้ กระหม่อมได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทจึงได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับมันเป็นจำนวนมาก สิ่งเดียวที่กระหม่อมทราบก็คือ…ประวัติการคงอยู่ของมัน ยาวนานยิ่งกว่าเมืองกวนหยุนเสียอีก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปชั่วครู่ จี้หยุนกุยหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยสำทับขึ้นมาอีกว่า “ตามเอกสารที่ได้บันทึกไว้ น่าจะเป็นเพราะที่นี่มีหอเทียนจี ถึงได้สร้างเมืองกวนหยุนขึ้นมาในภายหลัง”
เพราะหอเทียนจีแห่งนี้ ถึงได้สร้างเมืองแห่งหนึ่งขึ้นมา !
หอเทียนจี…แท้จริงแล้วมีความเป็นมาเยี่ยงไรกันแน่ ?
“บันทึกประวัติศาสตร์ เมื่อหนึ่งพันสามร้อยปีก่อน จักรพรรดิแห่งต้าหลี…ในยามนั้นยังมิมีราชวงศ์ต้าหลี หยูหยิงเค่อบุตรชายของหัวหน้าเผ่าคนหนึ่ง เขามาที่นี่โดยมิทราบสาเหตุ จึงมีบันทึกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเป็นคนแรกที่ได้เข้าหอเทียนจีพ่ะย่ะค่ะ”
“หลังจากนั้นเขาใช้เวลาสิบปีในการพิชิตทางใต้และทางเหนือ สร้างจักรวรรดิต้าหลีขึ้นมา ตั้งเมืองกวนหยุนเป็นเมืองหลวง… เมืองกวนหยุนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตามคำสั่งของเขา”
“เสียเวลาไปสามสิบกว่าปี ในวันที่หยูหยิงเค่อสิ้นพระชนม์ เมืองกวนหยุนเพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น ซึ่งเล็กกว่าปัจจุบันมากโข”
“หยูหยิงเค่อสิ้นพระชนม์ สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ให้กับองค์รัชทายาทหยูหัวก็คือราชลัญจกรนี้ ในระยะเวลาหนึ่งพันปีให้หลัง ราชวงศ์ได้เปลี่ยนไปถึงห้าชั่วอายุคนแล้ว เมืองกวนหยุนได้ขยายออกจนมีรูปลักษณ์เฉกเช่นปัจจุบัน วัตถุโบราณทางวัฒนธรรมจำนวนมากได้หายไปกับกระแสของเวลา มีเพียงราชลัญจกรนี้เท่านั้นที่ยังอยู่จนถึงบัดนี้”
“ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ มิว่าจะเป็นราชวงศ์ใด ต่างก็มิมีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับด้านในหอเทียนจีแห่งนี้ ดังนั้น…กระหม่อมจึงค้นหาสิ่งที่เป็นแก่นแท้มิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ มีเพียงหนทางเดียว ก็คือใช้ราชลัญจกรนี้เปิดประตูด้านล่างของหอเทียนจี”
“ทว่ากระหม่อมมิแนะนำให้ฝ่าบาททรงทำเยี่ยงนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เพราะเหตุใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“เพราะสิ่งที่มิรู้จัก จะเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดิแต่ละยุคในอดีตต่างก็มิเคยเปิด เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขามิกล้าเปิดกัน กระหม่อมคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ดังนั้นฝ่าบาททรงอย่านึกสงสัยเลยพ่ะย่ะค่ะ”
หาได้เป็นอย่างที่จี้หยุนกุยเอ่ยเสมอไป เพราะสวี่หยุนชิงเคยเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า…เกรงว่าจักรพรรดิเหวินจะนำบทกวีอำลาเคมบริดจ์ฉบับนั้นเก็บไว้บนชั้นสิบแปดของหอเทียนจี
หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เช่นนั้นก็อธิบายได้อย่างชัดเจนแล้วว่าอย่างน้อยจักรพรรดิเหวินก็เคยมาที่นี่
หลังจากนั้นจักรพรรดิเหวินก็ยังปกครองบ้านเมืองต่อไปอีกหลายสิบปี เขายังอยู่ดีมีสุข เยี่ยงนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าด้านล่างนั้นมิมีอันตรายใหญ่หลวงอันใด
เพียงแค่ยามนั้นสวี่หยุนชิงมิได้อยู่ข้างกายเขา นางจึงมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง จึงยากที่จะตัดสินได้ว่าจักรพรรดิเหวินเคยมาที่ชั้นสิบแปดจริงหรือไม่
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไปลูบโต๊ะน้ำชา รอยของฝุ่นปรากฎบนโต๊ะน้ำชาจนเห็นได้ชัด
“ไปเถิด…ไปดูที่ชั้นหนึ่งกัน”
เขาและจี้หยุนกุยเดินลงมายังชั้นหนึ่ง นี่คือห้องโถงที่ค่อนข้างกว้างขวาง ด้านหน้ามีศิลาตั้งอยู่หนึ่งแผ่น บนศิลาเขียนเอาไว้ว่า ‘มิสามารถล่วงรู้กฎของสวรรค์ได้ ! ’
นี่มันค่อนข้างจะเพ้อฝันไปสักหน่อย ฟู่เสี่ยวกวนมิเชื่อในเรื่องกฎของสวรรค์อยู่แล้ว
ด้านหน้าของศิลานั้นมีหินหยกสี่เหลี่ยมที่สวยงามตั้งอยู่ ตรงกลางของหินหยกทรุดตัวเป็นร่องสี่เหลี่ยมอยู่หนึ่งร่อง ดูเหมือนว่าจะสามารถวางราชลัญจกรนี้ได้พอดิบพอดี… หรืออาจจะเอ่ยได้ว่าราชลัญจกรนี้ถูกตัดออกมาจากหินหยกนี้เช่นกัน แล้วคนในยุคโบราณทำมันออกมาได้เยี่ยงไรกัน
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองของสิ่งนั้นอยู่เนิ่นนาน ทั้งยังยื่นมือออกไปลูบไล้ ผนังทั้งสี่ด้านสะอาดสะอ้าน มันถูกเกลาจนเรียบเนียน ฝีมือช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก !
เขายื่นมือไปสัมผัสราชลัญจกรที่อยู่ในกระเป๋าอกเสื้อ ในใจค่อนข้างสั่นไหว ทว่าสุดท้ายก็กลั้นความสงสัยเอาไว้มิอยู่ คงต้องให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน ต้องทำให้ประเทศต้าเซี่ยก้าวสูงขึ้นไปอีกขั้น
เขาผ่อนแรงบีบราชลัญจกรในมือ จากนั้นก็เดินออกจากหอเทียนจีไปพร้อมกับจี้หยุนกุย
ไฟบนชั้นสิบแปดของหอเทียนจีดับลงอีกครา มีเพียงโต๊ะน้ำชาเท่านั้น ที่ยังมีรอยสัมผัสของฟู่เสี่ยวกวนทิ้งไว้อยู่
“เตรียมรายงานที่เกี่ยวข้องกับหอเทียนจีทั้งหมดมาให้ข้าหนึ่งฉบับ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ประเทศต้าเซี่ยเติบใหญ่ขึ้นทุกวัน จงคัดเลือกสายลับของหอเทียนจีให้ดี นอกจากนี้ให้ฝึกนกส่งสาสน์ขึ้นมาจำนวนหนึ่ง มิเช่นนั้นการส่งสาสน์จะเป็นไปอย่างล่าช้า”
“พ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท จะลงไปนั่งด้านล่างสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“…คงยังมิไปช่วงนี้ เจ้าไปเถิด ข้าจะนั่งอยู่ที่นี่”
จี้หยุนกุยเดินออกไปจากกวนหยุนถายแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาใต้ต้นสนโบราณ และนั่งลงข้าง ๆ โต๊ะหมากรุก
เขาลูบโต๊ะหมากรุกไปมา ทันใดนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมา ไม้ของโต๊ะหมากรุกนี้เหมือนกับโต๊ะน้ำชาที่ห้องใต้หลังคาของหอเทียนจี !
เอ่ยได้ว่า โต๊ะหมากรุกรวมไปถึงเก้าอี้เหล่านี้ ต่างก็เป็นของที่อยู่มานานกว่าหนึ่งพันปีเยี่ยงนั้นหรือ !
เยี่ยงนั้นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านั้น ในยามที่สถานที่แห่งนี้ยังเป็นเพียงที่รกร้าง สุดท้ายแล้วเป็นผู้ใดที่สร้างหอเทียนจีขึ้นมากัน ?
ความลับอยู่ใต้หอเทียนจี ประตูทำมาจากหินที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มิทราบว่าด้านล่างนั้นมีอยู่กี่ชั้นกันแน่ คนผู้นั้นขุดลงไปด้านล่างได้เยี่ยงไรกัน ?
มิต้องเอ่ยย้อนไปถึงหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้หรอก เพียงแค่ตอนนี้หากคิดอยากจะขุดลงไปด้านล่างสามฉื่อยังยากที่จะทำได้เลย
คิดไปก็เปล่าประโยชน์ มีเพียงแค่ต้องเปิดแล้วลงไปดูเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้มชาหนึ่งกา จ้องมองไปยังทะเลหมอกที่อยู่ท่ามกลางหิมะ
คนในอดีตผู้นั้น ไม่สิ ! อย่างน้อยก็สองคน หลังจากที่พวกเขาสร้างหอเทียนจีขึ้นมา ก็ได้นั่งอยู่ที่ตรงนี้เฉกเช่นข้าใช่หรือไม่ ต้มชา วางหมากรุก หรือไม่ก็จ้องมองทะเลหมอกอย่างเบื่อหน่ายใช่หรือไม่ ?