บทที่ 84 สุสาน
ซูเฉินพึงใจมากที่สามารถจับเผ่าวิญญาณตัวเป็น ๆ ได้
เขาส่งเผ่าวิญญาณให้คนอื่น ๆ จากนั้นมอบหน้าที่สอบปากคำให้เหล่าศิษย์ไป
การสอบปากคำเป็นไปอย่างราบรื่น
เผ่าวิญญาณไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่หัวแข็งสักเท่าไหร่ พวกเขาชั่วร้าย ดุร้าย เจ้าเล่ห์ แต่ไม่ใช่พวกแข็งแกร่ง
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตเลือดเย็นที่อยู่ลำพัง มีช่วงชีวิตยาวนาน ไร้ความอารีต่อเพื่อนเผ่าวิญญาณด้วยกัน
อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เผ่าวิญญาณมักใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เพราะพวกเขาไม่มีใคร มีแต่ตนเองนั่นเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าวิญญาณจึงยอมจำนนอย่างรวดเร็ว
เขามีชื่อว่าไหลข่า เป็นเผ่าวิญญาณระดับกลาง
และมาจากทั่วเหมิงข่าตัว
อาณาจักรหมองหม่นเป็นอาณาจักรที่หละหลวม ไร้โครงสร้างทางสังคม สาเหตุเพราะเผ่าวิญญาณทั้งหลายชอบร่อนเร่ไปทั่วด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีครอบครัวหรือโครงสร้างทางพลเรือนธรรมดา โดยเผ่าวิญญาณทุกตนนับเป็นทหารในตัวอยู่แล้ว
ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงไร้กองทัพ ทุกคนนับเป็นทหารอยู่แล้ว
ยามเกิดศึกใหญ่ เผ่าวิญญาณก็จะรวมกลุ่มกันชั่วคราว เผ่าวิญญาณใกล้ทั่วเหมิงข่าตัวจะมารวมตัวกันในสถานที่หนึ่ง พวกในถ้ำว่านไหลก็เป็นอีกที่หนึ่ง พวกในเมืองหวั่นผวาดก็ที่หนึ่ง และที่อื่น ๆ คำสั่งเคลื่อนพลทำการผ่านจิต และเพราะสื่อสารกันผ่านจิต การเคลื่อนไหวจึงเงียบงันไม่ว่าจะรวมกลุ่มกันมากเท่าไหร่ก็ตาม
ทั่วเหมิงข่าตัวคือหนึ่งในเมืองที่รับหน้าที่เป็นแนวหน้าต่อสู้กับอาณาจักรนกฮูก ทั้งยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่นิกายไร้ขอบเขตคิดจะทำลาย
หลังพบว่าไหลข่ามาจากทั่วเหมิงข่าตัว ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจึงรู้ว่าแผนการดักซุ่มโจมตียามค่ำคืนถูกเปิดเผยเสียแล้ว เผ่าวิญญาณสามารถติดต่อสื่อสารระยะไกลกันได้ โดยเฉพาะเมื่อรวมตัวกันในสถานที่หนึ่งแล้ว ยิ่งถ้ามีค่ายกลต้นกำเนิด ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะสื่อสารกันต่อหน้าศิษย์นิกายไร้ขอบเขต โดยที่เหล่าศิษย์ไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ
หรือก็คือเผ่าวิญญาณเองก็นับว่าได้ข้อมูลจากนิกายไร้ขอบเขต แม้จะเป็นฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตที่กำลังเค้นคอเผ่าวิญญาณอยู่ก็ตามที
ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเผ่าวิญญาณเลย
มองในภาพรวมแล้ว เผ่าวิญญาณเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ไม่มีใครเอ่ยแต่ก็เป็นเรื่องจริง
หลังจากรู้สถานการณ์แล้ว จวินโม่เสียที่รับผิดชอบการสอบปากคำจึงรายงานเรื่องต่อซูเฉิน ขอคำแนะนำว่าควรจะโจมตีทั่วเหมิงข่าตัวในยามค่ำต่อไปดีหรือไม่
คิดอยู่ครู่หนึ่งซูเฉินจึงตอบ “เราจะทำการโจมตีอย่างที่วางแผนไว้ ไม่ว่าพวกมันจะเตรียมตัวไว้หรือไม่ ทางเลือกเดียวที่เรามีคือการบุกฝ่าเข้าไป แต่ในเมื่อพวกมันรู้แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องรีบ หยุดพักรอเวลาเหมาะ ๆ ถึงที่หมายแล้วจะได้เตรียมสู้ได้ทันที”
“รับทราบ !” จวินโม่เสียจึงนำคำสั่งไปบอกต่อ
ทุกคนจึงลดความเร็วลงตามคำสั่งของซูเฉิน
ประมาณชั่วยามผ่านไป ทั่วเหมิงข่าตัวก็เผยกายให้เห็นอยู่ไกล ๆ
เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยเผ่าวิญญาณ มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์มาก
มันไม่เหมือนกับเมืองของมนุษย์ ที่มีกำแพงขนาดใหญ่ล้อมรอบ ทั้งยังเต็มไปด้วยค่ายกลป้องกัน และมีทหารคอยเฝ้ากำแพงเมือง แต่เมืองของเผ่าวิญญาณนั้นสะท้อนความเชื่อพื้นฐานของพวกเขาออกมาได้ดี ไร้ความเป็นหนึ่งเดียว มีบ้านเผ่าวิญญาณหลังน้อยกระจายไปทั่ว หากไม่ใช่ว่าถูกสั่งเอาไว้ พวกเขาก็คงเลือกอาศัยอยู่ห่างกันมากกว่านี้ไปแล้ว
บ้านเรือนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยหินหม่น ซึ่งจะเผยกลิ่นอายชั่วร้ายที่สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายเผ่าวิญญาณออกมาได้ หากพื้นที่ห่างกันมากเกินไป ผลที่ได้ก็จะลดลง ดังนั้นบ้านเรือนของพวกเขาจึงมักมีขนาดเล็ก และอยู่กระจัดกระจายกันออกไป
เผ่าวิญญาณไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการใช้ชีวิต ไม่จำเป็นต้องดื่มกิน นอกจากบ้านหลังน้อยเหล่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรมาก
พื้นที่รกร้างห่างไกล ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา พลังงานชั่วร้ายล่องลอยอยู่ทั่ว บ้านเรือนทรงคล้ายโลงศพทำให้ทั้งเมืองดูราวกับเป็นสุสานก็ไม่มีผิด
เผ่าวิญญาณจึงยิ่งดูเหมือนผีมากขึ้นไปอีก
ความแตกต่างเดียวที่พวกเขามีต่างจากเผ่าอมตะคือพวกนั้นพึ่งพาจำนวน ส่วนเผ่าวิญญาณพึ่งพาคุณภาพ
ก่อนที่กองทัพนิกายไร้ขอบเขตจะมาถึง พลังงานไร้รูปร่างก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสุสานแล้ว
ไม่นาน เผ่าวิญญาณก็เริ่มลอยออกมาจากบ้านหลังเล็ก
พวกเขาลอยตัวมารวมกันเหนือท้องฟ้าเมืองทั่วเหมิงข่าตัวอย่างเงียบเชียบดังเคย
เผ่าวิญญาณที่เรืองแสงแปลกประหลาดเป็นคนแรกที่พูดขึ้น “ พวกมนุษย์กำลังโจมตีเรา พากองกำลังมานับหมื่น ส่วนข้อมูลอย่างอื่นไม่ชัดเจน”
หากมองจากภายนอกแล้วจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าเผ่าวิญญาณมีความแข็งแกร่งแค่ไหน บอกได้เพียงอย่างเดียวคือร่างกายของพวกเขาจะเปล่งแสงสว่างเมื่อพลังเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง แต่ก็ดูได้เฉพาะเผ่าวิญญาณระดับสูงเท่านั้น ไม่สามารถใช้สังเกตระดับกลางและระดับต่ำได้ มีเพียงซูเฉินที่มีพลังจิตสูงส่งถึงจะสามารถมองความแตกต่างออก
เผ่าวิญญาณที่ร่างกำลังส่องสว่างอยู่นี้นับว่าเป็นระดับสูง
เขามีชื่อว่าถ่าฉีเท่อ เป็นหัวหน้าเผ่าวิญญาณในเมืองทั่วเหมิงข่าตัว และเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของวงสังคมเผ่าวิญญาณด้วย
สิ้นคำถ่าฉีเท่อ ทั่วทั้งสุสานยังคงเงียบสงัด แต่ในระดับจิตนั้น เผ่าวิญญาณทั้งหลายกลับส่งเสียงโห่ร้องขึ้นเสียงดัง
เกิดเสียงพูดคุยโต้แย้งกันไม่หยุด
“พวกมนุษย์จะผยองเกินไปแล้ว”
“พวกเราขาดตัววิจัยพอดี”
“ข้าอยากได้ทาสกลุ่มใหญ่สักหน่อย”
“ฆ่าพวกมันให้หมด !”
ถ่าฉีเท่อจึงต้องระงับ ‘ความโกลาหล’ เอาไว้แล้วเอ่ยว่า “มนุษย์กลุ่มนี้ไม่เหมือนกลุ่มอื่น ไหลข่าถูกพวกเขาจับตัวไป แจ้งข่าวมาว่าพวกมนุษย์มีวิชาบางอย่างที่สามารถต่อต้านวิชาบงการจิตทาสได้ หากพวกเราใช้ อีกฝ่ายก็จะตกอยู่ในสภาวะไร้สติแทน”
“นึกภาพออกได้ยากนัก เช่นนั้นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ ?”
“ไม่เชิง หากวิชาบงการจิตทาสเป็นเพียงการโจมตีจิตธรรมดาสำหรับพวกนั้นไปแล้ว พวกเราก็จะไม่สามารถใช้โจมตีสร้างความวุ่นวายได้อีก”
“ถ้าหากสร้างความวุ่นวายไม่ได้ ก็สู้กันตัวต่อตัวลำบาก คงจะใช้วิชาบงการจิตทาสสังหารอย่างเดียวไม่ได้กระมัง ?”
“วิชาบงการจิตทาสใช้พลังเยอะเกินไป และหากใช้ไม่ได้ผลก็อย่าใช้จะดีกว่า”
“ไม่ว่าจะมองมุมไหน หากไม่สามารถใช้วิชาบงการจิตทาสได้นับเป็นปัญหาใหญ่ เช่นนั้นเราก็จะประจันหน้ากับพวกนั้นไม่ได้”
“ซึ่งพวกเราก็ไม่เคยทำอยู่แล้ว การต่อสู้ประจันหน้าไม่ใช่เรื่องถนัดของเผ่าวิญญาณ”
“แต่ครั้งนี้แตกต่าง ถ้าหากเราควบคุมอีกฝ่ายไม่ได้ วิชาต่อสู้ทั้งหลายของเราก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน”
“แต่ก็เป็นแค่บางส่วนใช่หรือไม่ ? เรายังมีวิชาอีกตั้งหลายอย่าง ถ้าพวกนั้นคิดว่าเราใช้วิชาบงการจิตทาสไม่ได้แล้วจะแพ้ก็คิดผิดแล้ว”
“นี่เป็นศึกที่เลี่ยงไม่ได้”
“ใช่ อย่างไรก็ต้องสู้ ไม่ใช่เพื่อทั่วเหมิงข่าตัว แต่เพราะพวกนั้นค้นพบวิชาต่อต้านพลังเราขึ้นมา เราต้องสืบหาเรื่องนี้จนถึงที่สุด”
“ใช่ !”
อย่างน้อยเผ่าวิญญาณทั้งหลายก็เห็นพ้องต้องกันว่าต้องทำการต่อสู้
วิชาบงการจิตทาสเป็นรากฐานที่เผ่าวิญญาณใช้สร้างอาณาจักร ดังนั้นจึงต้องรู้ให้ได้ว่าพวกมนุษย์ทำอย่างไรถึงได้ต่อต้านวิชาบงการจิตทาสนี้ได้
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ไม่มีใครลังเลอีก เริ่มแยกย้ายกันออกไป เกิดเสียงโหยหวนน่ากลัวดังไปทั่วบริเวณ
ท่ามกลางเสียงร้องเหล่านั้น สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายหุ่นเชิดเดินออกมาจากบ้านของเผ่าวิญญาณ บ้างเป็นมนุษย์ บ้างเป็นปักษา บ้างเป็นคนเถื่อน และบางส่วนยังเป็นสัตว์อสูรอีกด้วย
แต่ไม่ว่าจะมีเผ่าพันธุ์เดิมเป็นอย่างไร ต่างก็มีสีคล้ำจนแทบเป็นสีดำ การเคลื่อนไหวแข็งจนผิดปกติ
นี่ย่อมเป็นหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณ
หุ่นเชิดเผ่าวิญญาณเหล่านี้ไม่เหมือนกับหุ่นเชิดก่อนหน้า เมื่อถูกควบคุมแล้ว ก็ยังสามารถรักษาคุณสมบัติหลักของตนเองไว้ได้
แต่หลังจากตามเผ่าวิญญาณกลับมายังอาณาจักรหมองหม่น ถูกพลังงานชั่วร้ายอยู่ตลอด ร่างกายจึงเริ่มแข็งกระด้าง สติปัญญาลดลง สุดท้ายก็เป็นเหมือนศพเดินได้เท่านั้น
เช่นนั้นแล้วจะเอาหุ่นเชิดกลับมาทำไมกัน ไม่โยนทิ้งไปเสียเลยเล่า ?
เรื่องนี้เกี่ยวกับกลไกของวิชาบงการจิตทาส
พลังจิตของเผ่าวิญญาณยามใช้วิชานี้เป็นหนึ่งในวิชาคุมจิตที่ใช้ง่ายที่สุดวิชาหนึ่ง
ใช้ระยะไกลได้ ทั้งยังตรวจจับไม่ได้ ผลวิชาคงอยู่ตลอดกาล อีกทั้งยังสามารถคุมจิตได้ไม่จำกัดจำนวน
แต่ใต้หล้านี้ไม่มีวิชาใดที่ไร้เทียมทาน
กระทั่งวิชาจิตที่แกร่งกล้าก็ยังมีข้อเสีย
ประการแรกสุด พลังจิตของเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดว่าจะใช้วิชาได้สำเร็จหรือไม่ ในขณะที่วิชาลวงจิตส่วนมากจะไร้ผลเมื่อเป้าหมายมีพลังจิตสูงถึงหนึ่งร้อยหน่วย แต่วิชาบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณต้องใช้พลังจิตมากถึงห้าร้อยหน่วย กระนั้นก็ยังต่อต้านได้
ประการสองคือทุกครั้งที่ใช้วิชาบงการจิตทาส พลังจิตจะลดลง
โดยจะลดลงเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงขีดจำกัด
หรือก็คือ พื้นฐานการบ่มเพาะพลังของเผ่าวิญญาณจะลดลงทุกครั้งที่บงการจิตผู้อื่น
ดังนั้นเผ่าวิญญาณที่ต้องการบ่มเพาะพลังให้สูงจึงไม่นิยมใช้วิชานี้
หากเผ่าวิญญาณชอบควบคุมผู้อื่น ก็จะกลายเป็นเผ่าวิญญาณระดับต่ำไปตลอดชีวิต ทั้งยังควบคุมได้แต่สิ่งมีชีวิตระดับต่ำเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เผ่าวิญญาณทั้งหลาย เมื่อได้ทาสจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็จะไม่ใช้วิชาอีก จะทำการขนทาสกลับมาด้วย แม้พลังชั่วร้ายจะทำให้พวกทาสหมดสติปัญญา แต่ก็ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ร่างกายแกร่งขึ้นมาก
เหตุผลที่เผ่าวิญญาณสามารถต่อสู้แบบบุกประจัญบานได้ก็เป็นเพราะหุ่นเชิดเหล่านี้นั่นเอง
เมืองทั่วเหมิงข่าตัวมีเผ่าวิญญาณอยู่ราวห้าร้อยตน มีหุ่นเชิดอยู่ราวสามพันตัว นับว่าเป็นจำนวนไม่สูงมาก แต่ก็มีความแข็งแกร่งอยู่พอสมควร
สิ้นเสียงร้องโหยหวน พลังงานชั่วร้ายที่เข้มข้นกว่าเก่าก็ลอยคลุ้งเมือง ปกคลุมทั้งเมืองไปด้วยหมอกหนาน่าขนลุก พร้อมกันนั้น เผ่าวิญญาณทั้งหลายก็พากันเลือนหายไป
เมื่อนิกายไร้ขอบเขตมาถึง ในเมืองจึงมีแต่ความว่างเปล่า
“เป็นปราณมืด” หลินเฉ่าเซวียนที่นำทัพมาเอ่ยขึ้น
เผ่ามนุษย์และเผ่าวิญญาณต่อสู้กันมานาน คุ้นเคยกับอุบายแต่ละฝ่ายดี พลังชั่วร้ายของเผ่าวิญญาณนั้น มนุษย์รู้จักเป็นปราณมืด หรือก็คือปราณมืดนี้เมื่อมองในบางมุม ก็นับว่าเป็นทรัพยากรมีค่าได้เช่นกัน
“ศัตรูเตรียมตัวมาดี ระวังตัวด้วย ! อย่าเข้าไปใกล้อาณาเขตของปราณมืด” หลินเฉ่าเซวียนร้องบอก “แยกย้ายกระจายตัวกันไปให้ทั่ว ล้อมรอบทั่วเหมิงข่าตัวก่อน อย่าปล่อยให้เผ่าวิญญาณหลุดรอดไปได้ !”
ทหารด้านหน้าจึงแยกออกเป็นสองฝั่ง แต่เคลื่อนกายแล้วกลับได้ยินเสียงหัวเราะดังมา
“คิดหรือว่าหากไม่เข้ามาแล้วจะไม่เป็นไร ? หากไม่เข้ามา เช่นนั้นพวกข้าจะออกไปเอง !!!”
เสียงขู่กรรโชกดังขึ้น พลังชั่วร้ายพลันขยายตัวออกราวกับระลอกหมอก พุ่งออกมาล้อมรอบคนจากนิกายไร้ขอบเขตไว้ด้านในทันที
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตพลันรู้สึกว่าตนเองเข้ามาสู่ดินแดนประหลาดอย่างฉับพลัน