ภาคที่ 6 บทที่ 85 อาณาจักรสันโดษ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 85 อาณาจักรสันโดษ

หวังซินเฉาเป็นหนึ่งในหัวหน้ากลุ่มศิษย์นิกายไร้ขอบเขตที่นำกลุ่มเข้ามา คุมผู้เชี่ยวชาญพลังอีกเก้าคนที่ระดับเหมือนกัน คือด่านสู่พิสดาร โดยมีเขาพื้นฐานพลังสูงสุด มีแท่นบงกชห้าชั้นเต็ม

เหตุผลที่สามารถขึ้นสู่ด่านสู่พิสดารไปมีแท่นบงกชห้าชั้นเต็มได้ภายในช่วงเวลาเพียงเจ็ดปี เป็นเพราะเขาเป็นนักสู้ผู้กล้าหาญ ทำความดีความชอบมากมายให้นิกาย จึงได้รับรางวัลตอบแทนอย่างเหมาะสม

ในอดีต เขาเองก็เข้าร่วมการออกล่าอสูรทะเล เป็นแนวหน้าต่อสู้กับราชันจักรพรรดิอสูร รับหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับอาณาจักรหลงซาง

แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่ได้ต่อสู้กับเผ่าวิญญาณ จึงไม่คิดว่าสถานการณ์จะออกมาเป็นเช่นนี้

จังหวะที่เขาพุ่งเข้าสู่สนามต่อสู้ กลับปรากฏภาพหลากสีชวนน่าเวียนหัวขึ้นในพลัน

เขาควรจะถูกหมอกชั่วร้ายสีเทาล้อมรอบกาย แต่หลังจากที่หมอกเริ่มแผ่ออกมา เขากลับพบว่าตนเองอยู่ในแดนสีสันน่าประหลาด มันเกิดจ้ามากเสียจนเริ่มมึนงง

ราวกับว่าตรงหน้ามีฟองสบู่สีรุ้งนับไม่ถ้วนลอยอยู่ก็ไม่ปาน

และแต่ละฟองก็โอบล้อมโลกทั้งใบเอาไว้

ในฟองเหล่านั้น หวังซินเฉาเห็นภาพฉากมากมายกำลังดำเนิน มีภาพเมืองต่างๆเต็มไปด้วยผู้คนกำลังเดินขวักไขว่ไปมา เห็นภาพภูเขาสูง ดินแดนเยือกแข็ง มหาสมุทรกว้างใหญ่ และป่าลึกลับทั้งหลาย…

เกิดอะไรขึ้นกัน ?

เขากับทหารทั้งหมดพยายามจับทิศทาง ฟองน้ำหนึ่งกลับเริ่มขยายแล้วลอยเข้ามาหา

พริบตาต่อมา หวังซินเฉากับกลุ่มทหารก็มาปรากฏอยู่ท่ามกลางป่าลึกลับและมืดครึ้ม

“ยินดีต้อนรับเข้าสู่อาณาจักรสันโดษของข้า !”

เสียงหัวเราะลึกลับดังก้อง ไม่รู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน เพราะมันดังมาจากทั่วทิศทาง ทำให้ไม่สามารถจับต้นเสียงได้เลย

“หึ ก็แค่อุบายกระจอกของพวกต้มตุ๋น” หวังซินเฉาเอ่ยเสียงเย็นชา

“ระวังด้วย นี่เป็นแดนมายา” ทหารผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับเผ่าวิญญาณดีเอ่ยเตือน

เผ่าวิญญาณอย่างไรก็มีความสามารถอยู่แล้วไม่ว่าจะมีพลังจิตและพลังต้นกำเนิดเท่าไหร่ก็ตาม ในหมู่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมด ในเรื่องของความสามารถนับว่าสูงกว่าเผ่าอื่น ทำให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย

เมื่อนำความสามารถทั้งสองอย่างควบรวมกันแล้ว เผ่าวิญญาณจึงมีวิธีการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือการใช้แดนมายาต่อสู้

เผ่าวิญญาณเกือบทุกตนสามารถใช้แดนมายาได้อย่างเต็มความสามารถ อาศัยพลังจิตอันทรงพลังและความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิด ก็สามารถสร้างแดนมายาขนาดใหญ่ ที่ปกปิดร่องรอยตนเองได้ ทั้งยังสามารถใช้ต่อสู้กับศัตรูได้อีกด้วย

เผ่าวิญญาณไม่ชำนาญการต่อสู้แบบบุกรบ พวกเขามีร่างกายบอบบาง มีจำนวนน้อย ทำให้เหมาะกับการลอบสังหารมากกว่า พวกเขาทั้งไม่ใช่ และไม่เคยเป็นนักรบดุดัน

แต่หากมีใครกล้าต่อสู้กับเผ่าวิญญาณในถิ่นพวกเขา ก็จะพบว่าต้องรับมือกับศัตรูตัวฉกาจทีเดียว

อันซื่อหยวนที่เคยอยู่ด่านสู่พิสดาร ไม่แม้แต่จะสามารถรับมือกับเผ่าวิญญาณระดับต่ำได้ก็เพราะเหตุนี้

ทันทีที่กองทหารเข้าสู่แดนมายา ก็ถูกตัดขาดจากคนที่เหลือทันที สิ่งเดียวที่สามารถสัมผัสได้รอบตัวคือบรรยากาศในแดนมายา แม้คนอื่นจะอยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้เลย

ที่น่ากลัวไปกว่านั้น ทั่วทั้งเมืองทั่วเหมิงข่าตัวยังมีแดนมายากระจายอยู่ทั่ว

เผ่าวิญญาณทั้งห้าร้อยตนที่อาศัยอยู่ที่นี่สามารถสร้างแดนมายาที่แตกต่างกันขึ้นมาได้ห้าร้อยแห่ง และแม้พวกมันจะอยู่ใกล้กันเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกันแม้สักนิด เป็นอีกหนึ่งความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในเผ่าวิญญาณเท่านั้น

เมื่อกองกำลังแนวหน้านิกายไร้ขอบเขตบุกเข้ามาในสุสาน ก็หลุดเข้าไปในแดนมายาที่มีอยู่กว่าห้าร้อยแห่งทันที ตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ความได้เปรียบด้านจำนวนคนพลันหาย ได้แต่ใช้กำลังตนเพื่อต่อสู้เท่านั้น

เมื่อต่อสู้กับเผ่าวิญญาณก็มักจะต้องเป็นเช่นนั้น

หากเอาชนะโดยตรงไม่ได้ เช่นนั้นก็จับมาสู้กันตัวต่อตัว จากนั้นก็ใช้ประสบการณ์ที่โชกโชนกว่าเอาชนะให้ได้ !

กองพลของหวังซินเฉาเข้าแดนมายาไปแล้ว

พวกเขาถูกขังอยู่ในป่าหนาครึ้มที่ไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิตใด

หวังซินเฉาเอ่ยเสียงระวัง “ทุกคนระวังด้วย เผ่าวิญญาณคงอยู่ในแดนมายาแน่ เขาซ่อนตัวอยู่ หากหาพบและสังหารทิ้งเสียก็จะออกจากที่นี่ได้”

“แต่จะหาอย่างไร ? รู้สึกว่าทุกมุมในป่านี่จะมีอันตรายอยู่ทุกย่างก้าวอย่างไรก็ไม่รู้”

“ไม่ต้องกังวล ของในแดนมายาดูเหมือนจริง แต่ไม่ใช่ของจริง ศัตรูเพียงใช้พลังต้นกำเนิดหลอกประสาทสัมผัสเราเท่านั้น แม้ที่นี่จะมีหญ้ามีต้นไม้มากมาย ก็ยังมองออกได้หากสังเกตดี ๆ หญ้าแต่ละเส้น ต้นไม้แต่ละต้นเหมือนกันไม่มีผิด ก็เพราะเป็นเพียงภาพมายา และในเมื่อเป็นมายา ผู้สร้างแดนมายาก็คงสร้างมันขึ้นมาเองแน่ เช่นนี้ใช้พลังจิตสูงเกินไป ดังนั้นคงไม่เหลือพลังจิตเหลือ จำต้องใช้ทางลัด เช่นการทำให้หญ้าให้ต้นไม้เหมือนกันเช่นนี้ ใช้น้ำหยดหนึ่งทำให้กลายเป็นมหาสมุทร” คนหนุ่มคนหนึ่งอธิบาย เขาชื่อว่าเหวินไห่ มีประสบการณ์ด้านค่ายกลสูง

“เป็นเช่นนี้เอง แล้วจะแยกระหว่างโลกมายากับโลกจริงอย่างไรหรือ ?” คนหนึ่งถาม

“ไม่ยาก ของมายาไม่ใช่ของจริง ของจริงไม่ใช่มายา เราอยู่ในโลกที่สร้างขึ้น ของในโลกจึงไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแดนมายา ดังนั้นหากสังเกตรอบกายให้ดี ก็จะค้นพบร่องรอยที่นำไปสู่ความเป็นจริงได้ มีสามอย่างที่สามารถใช้เพื่อทำลายแดนมายาได้ อย่างแรกคือใช้ความรู้และประสบการณ์ อย่างที่สองคือใช้กำลังเข้าสู้ อาจเป็นพลังต้นกำเนิดหรือพลังจิตก็ได้ อย่างที่สามคือสิ่งที่ข้ากำลังทำให้ดูอยู่ตอนนี้ นั่นคือการสังเกตรอบกายโดยละเอียด มองหาจุดบกพร่องของแดนมายาให้ออก” เหวินไห่เอ่ยอย่างมั่นใจ

เป็นเช่นนี้เอง ทุกคนจึงเข้าใจ

“ฮี่ ๆ พูดได้ดี” เผ่าวิญญาณบทพูดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “แต่สิ่งที่เจ้าควรจะถามตนเองคือ ‘ข้าจะมีโอกาสปลดค่ายกลได้หรือไม่’ ”

เหวินไห่ตอบเสียงมั่น “ข้าปลดมันไปแล้ว”

“ว่าไงนะ ?” ทุกคนตรงนั้นอึ้งตะลึงไป

เหวินไห่ชี้ไปด้านหน้า “ดูต้นไม้ตรงนั้น ลำต้นมันหนาผิดปกติ แตกต่างจากต้นอื่นอย่างเห็นได้ชัด มีคนหลบซ่อนอยู่หลังลำต้นมันเป็นแน่ !”

ได้ยินดังนั้น ทั้งหมดก็ซัดท่าโจมตีออกไปโดยไม่ยั้งคิด

ฟ้าว ฟ้าว ฟ้าว !

พลังโจมตีทั้งหลายพุ่งเข้าใส่ต้นไม้ต้นนั้น

แต่กระนั้นก็ไม่เกิดสิ่งใด

ทุกคนกำลังตกตะลึง แต่หวังซินเฉากลับเปล่งเสียงคำรามจากลำคอ ฟาดค้อนเข้าใส่หนึ่งในสหายร่วมรบ

อีกฝ่ายตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน เมื่อเห็นการโจมตีกะทันหันของหวังซินเฉา เขาก็สร้างเกราะแล้ววิ่งเข้าใส่หวังซินเฉาทันใด

แต่กลับช้าไปเสียแล้ว

ตูม !

ฝ่ามือสีแดงจัดกระแทกเข้าที่หลังเหวินไห่ เหวินไห่คำรามเสียงเจ็บปวด ร่างกระเด็นไป ถูกเปลวเพลิงซัดโหมทั่วทั้งกาย

คนที่เหลือเห็นเงาร่างสีแดงจัดที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเหวินไห่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ไม่เห็นหน้า เห็นเพียงมือสีแดงที่กำลังหดกลับมา แต่สัมผัสได้ถึงไอสังหารเข้มข้นที่แผ่ออกจากร่าง

“ระวังด้วย ! นั่นเป็นทาสเผ่าวิญญาณ !” คนหนึ่งร้องขึ้น

เงาร่างที่เพิ่งโจมตีเหวินไห่คือหุ่นเชิดที่ถูกควบคุมโดยเผ่าวิญญาณ ในอดีตมันมีวิชาฝ่ามือทรงพลัง ดังนั้นจึงสามารถทำให้ด่านสู่พิสดารบาดเจ็บได้ไม่ยาก

ทหารที่เหลือกระโจนใส่ทาสเผ่าวิญญาณ ในเมื่อทาสเผ่าวิญญาณเผยกายออกมาแล้ว ก็ไม่สามารถกลับไปซ่อนตัวอยู่ใน แดนมายาได้อีก กระนั้นมันก็ไม่กลัวตาย พุ่งเข้าใส่ศัตรูโดยพลัน

ความเร็วมันไม่สูง แต่เมื่อได้ปราณมืด ร่างกายก็แข็งดั่งเหล็ก แม้ศิษย์นิกายจะอยู่ด่านสู่พิสดาร แต่ก็รู้สึกราวกับซัดพลังใส่หินแข็ง โจมตีใส่ก็เกิดประกายไฟกระจายออกทั่วทิศ

ทว่าด่านสู่พิสดารก็ทำลายทั้งหินและเหล็กกล้าได้ไม่ยาก

“ดัชนีเจาะเหล็ก !”

“หมัดทลายหยก !”

“ฝ่ามือห่าหิมะ !”

“ลูกเตะลาวา !”

“ค้อนขังปีศาจ !”

คนทั้งหมดซัดวิชาโจมตีใส่ทาสเผ่าวิญญาณ

“ไอ้หยา ทรงพลังไม่ใช่น้อย แต่แล้วอย่างไรเล่า ค่อย ๆ สังหารไปทีละคนก็ได้ !” น้ำเสียงชั่วร้ายของเผ่าวิญญาณยังคงดังมาให้ได้ยินคละเคล้ากับเสียงหัวเราะ

ว่าแล้ว ทาสเผ่าวิญญาณอีกสิบร่างก็ก้าวออกมาจากในป่า พุ่งเข้าใส่คนทั้งหลาย

ในตอนที่ทุกคนกำลังตั้งท่าปัดป้อง เหวินไห่ก็ร้องบอก แม้จะยังเจ็บปวดอยู่ก็ตาม “อย่าหลงกลมัน ! พวกมันเป็นแค่ภาพมายา”

แต่เหล่าทหารทั้งหลายซัดพลังออกไปแล้ว

เงาร่างที่ออกมาใหม่พลันแตกสลายหายไป เป็นแค่มายาจริง ๆ ด้วย

แต่จังหวะเดียวกันนั้น ทาสเผ่าวิญญาณก็ผุดขึ้นมาจากพื้น ใช้อาวุธเสียบเท้าศิษย์ทั้งหลายก่อนจะปล่อยแรงระเบิด เหล่าศิษย์เกือบหมดสติจากความเจ็บปวดสาหัส

แม้ทาสเผ่าวิญญาณจะถูกซัดพลังทำลายล้างไปทันที แต่ตอนนี้ศิษย์สองคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว

ทันใดนั้น คลื่นพลังเยือกแข็งระลอกใหญ่ก็แผ่กระจาย โอบล้อมป่าครึ้มไปด้วยชั้นหมอกสีขาว ลมเย็นพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า ทำให้การเคลื่อนไหวช้าลง

ทาสเผ่าวิญญาณอีกระลอกพุ่งออกมาจากในป่าอีกครั้ง

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตคิดว่าเป็นมายา แต่เมื่อคิดจะเมิน คมดาบจากพวกมันกลับแทงอกศิษย์คนหนึ่งเข้า

คนที่เหลือจึงโต้ตอบ พบว่าทาสเผ่าวิญญาณระลอกนี้เป็นของจริงบ้าง เป็นมายาบ้าง

ใช้มายาเช่นนี้แล้ว เผ่าวิญญาณก็ยังปล่อยทาสออกมาโจมตีศัตรูเรื่อย ๆ แม้จะถูกสังหารทันทีที่เผยกาย แต่ศิษย์นิกายก็ถูกโจมตีจนเจ็บสาหัส วิชาโจมตีเหล่านี้ยังไม่เหมือนปกติ หลังถูกโจมตีแล้ว ปราณมืดก็จะไหลเวียนอยู่ใกล้บาดแผล หากปราณมืดไม่ถูกขจัดออก แผลก็จะไม่สามารถฟื้นฟูได้

พริบตาเดียว ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งหลายก็สิ้นฤทธิ์ หุ่นเชิดในจำนวนเท่ากันถูกทำลายลง

สุดท้ายก็มีเพียงหวังซินเฉาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก กระนั้นก็หายใจแรงด้วยเหนื่อย ทรงตัวลำบาก บนร่างยังมีบาดแผลเล็กน้อยอยู่เต็มไปหมด

“ฮ่า ๆ ! มีด่านสู่พิสดารมากันหลายคนแล้วมันอย่างไรกันเล่า ? เมื่อไหร่ที่ย่างเท้าเข้าอาณาจักรสันโดษของข้า ก็มีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ อ้อ ข้าลืมไปเลย ถ้าหากบาดแผลไม่ฟื้นฟู ก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป และหากปล่อยไว้นานมากกว่านั้น ปราณมืดก็จะชอนไชเข้าร่าง สุดท้ายเจ้าก็จะตาย !”

เผ่าวิญญาณหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

หวังซินเฉาเหลือบมองบาดแผลเล็กน้อยบนร่าง ถูกปราณมืดเช่นนี้ แขนขาจึงเริ่มรู้สึกหนักหน่วงขึ้น ค้อนยักษ์ยิ่งซัดการโจมตีช้าลงเรื่อย ๆ

ฟุ่บ !

ทาสเผ่าวิญญาณกระโจนออกมาอีกครั้ง

แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงมายา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีตัวจริงปะปนมาด้วยหรือไม่ ดังนั้นอย่างไรก็ต้องออกท่าโจมตี

ในจังหวะเดียวกันกับที่เขาโจมตีภาพมายาจนสลาย น้ำเสียงลึกลับก็ดังขึ้นด้านหลัง

“เหมันต์ลึกลับ !”

เปรี๊ยะ

น้ำแข็งเริ่มกระจายไปทั่วร่างหวังซินเฉาจนกระทั่งปกคลุมไปทั้งร่าง

เขาก้มหน้าลง เห็นว่าที่กลางลำตัวมีมือโปร่งแสงทะลวงเข้ามา

เผ่าวิญญาณ !

สุดท้ายก็เผยตัวตนสักที

ทันทีที่ออกท่าโจมตี เผ่าวิญญาณก็ลอยออกไปก่อนที่หวังซินเฉาจะทันตอบสนอง

เขาระวังตนไม่น้อย ระหว่างที่ลอยออกไปก็หัวเราะขึ้น “พวกมนุษย์เจ้าอยู่ ๆ ก็เข้ามา แม้จะมีด่านพลังสูง แต่กลับมีกำลังน้อยอย่างน่าเหลือเชื่อ ไร้ประสบการณ์การต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด มีสิบคนแล้วอย่างไร ? สุดท้ายก็ต้องตายด้วยฝีมือข้าอยู่ดี”

ในตอนนี้ กองทัพคนสิบคนได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถทำอะไรได้อีก

หวังซินเฉาส่งสายตาเย็นชา “ในที่สุดก็ตัดสินใจเผยตัวแล้วสินะ”

น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเด็ดเดี่ยว

หือ ?

เผ่าวิญญาณชะงัก

หวังซินเฉาหยิบขวดยาขึ้นมาช้า ๆ รูปทรงมันดูเหมือนขวดเหล้าอยู่ในที

เขาโยนขวดทิ้งไป น้ำแข็งที่เกาะอยู่ทั่วร่างเริ่มหดตัวลงด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แท้จริงแล้วกระทั่งพลังชั่วร้ายรอบบาดแผลก็ยังเริ่มสลายไปแล้วด้วย

ทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกคนหนึ่งก็ดื่ม ‘เหล้า’ นี่ลงไปทันทีเช่นกัน ปราณมืดที่เกาะกลุ่มอยู่รอบบาดแผลเริ่มสลายไปทันที

“อะไรกัน ? เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”

หวังซินเฉาเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเจ้านิกายพัฒนาของหลายอย่างมาเพื่อรับมือกับพวกเจ้าเผ่าวิญญาณโดยเฉพาะ ต่อต้านวิชาบงการจิตทาสก็เรื่องหนึ่ง แต่ความสามารถในการยั้งปราณมืดนับเป็นอีกเรื่อง เจ้าว่าแต่คิดหรือว่าจะทำให้เราบาดเจ็บได้ง่าย ๆ ?”

แม้จะไร้ยาช่วย แต่คนทั้งสิบก็ยังสามารถเอาชนะเผ่าวิญญาณตนเดียวได้อย่างง่ายดาย แต่ก็คงต้องลงแรงไปไม่ใช่น้อย ทว่าเมื่อมียาช่วย หวังซินเฉาและพวกจึงสามารถหลอกเผ่าวิญญาณออกมาในที่แจ้งได้ ทำให้การต่อสู้เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น

ยามปราณมืดสลาย บาดแผลของคนทั้งหลายก็เริ่มฟื้นฟู จากนั้นพวกเขาก็ปิดล้อมเผ่าวิญญาณผู้นั้นไว้

หวังซินเฉายกค้อนขึ้นสูง

“ค้อนขังปีศาจ !”