เมื่อเห็นหลินหรูซวนหยิบม้วนยันต์เคลื่อนหยกขึ้นมา กงเจี้ยนฟานก็รู้ได้ทันทีว่าพวกมันคือภาพวาดเจ้าปัญหา
สาเหตุที่กงจิ๋นพ่ายแพ้ก็เพราะภาพวาดเหล่านี้ แถมการจะช่วยให้กงจิ๋นหลุดจากอำนาจของภาพวาดได้เขาเองต้องใช้พลังเต็ม 10 ส่วนถึงจะสามารถทำลายมันได้ แล้วตอนนี้หลินหรูซวนกลับคิดจะใช้พวกมันอีกแล้ว แบบนี้คนของเขาโอกาสชนะจะเหลือเท่าไหร่?
แต่เนื่องจากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีกฎใด ๆ ถูกกำหนด ดังนั้นการใช้ภาพวาดเหล่านี้จึงไม่ถือว่าผิดกฎและถ้าเขาให้คนของเขาใช้อาวุธวิเศษของเขาก็คงไม่ผิดด้วยจริงไหม?
กงเจี้ยนฟานคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาหยิบอาวุธวิเศษระดับนักบุญของเขายื่นให้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่เขาเลือกมาและพูดว่า “เอามันไปสู้กับนาง และคืนมันมาให้ข้าหลังจากจบการประลอง!”
ถึงแม้กงเจี้ยนฟานจะรู้ดีว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราไม่สามารถใช้อาวุธระดับนักบุญได้ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังให้คนของเขาใช้มันโจมตี เขาแค่มอบอาวุธของเขาให้ไปเพื่อให้ใช้มันในการป้องกันอำนาจของภาพวาดเท่านั้น
แต่แล้วเมื่อหลินหงเหวินเห็นเช่นนี้ เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยความโมโหทันที “ไอ้แก่กง นี่เจ้าไม่อายฟ้าดินเลยรึไง!?”
กงเจี้ยนฟานหัวเราะเยาะเย้ย “ถ้าเจ้าคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเจ้าก็เอาอาวุธของเจ้าให้หลานเจ้าใช้ซะสิ!”
ผู้เชี่ยวชาญของตระกูลกงเมื่อได้รับอาวุธจากผู้นำตระกูลของเขามา กำลังใจของเขาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ส่วนทางด้านของหลินหงเหวินเองก็โยนอาวุธระดับนักบุญของเขาให้กับหลินหรูซวนเช่นกัน และพูดว่า “ซวน เจ้าจงเอาอาวุธชิ้นนี้ของปู่ไปปกป้องตัวเอง มันใช้ว่าพวกเราตระกูลหลินไม่มีอาวุธระดับนักบุญซะเมื่อไหร่!”
“ขอบคุณท่านปู่!” หลินหรูซวนหัวเราะ
ด้วยการปกป้องของอาวุธของปู่นาง นางยิ่งไม่กลัวการประลองครั้งนี้มากขึ้น
เมื่อเห็นว่าคู่ประลองของนางก้าวเข้ามาในพื้นที่การประลอง หลินหรูซวนก็เปิดใช้งานภาพวาดกักขังทันที แต่น่าเสียที่ฝั่งตรงข้ามของนางมีอาวุธระดับนักบุญคอยปกป้องอยู่ ฝั่งตรงข้ามจึงไม่ถูกตรึงเหมือนกงจิ๋น
เมื่อเห็นว่าภาพแรกใช้ไม่ได้ หลินหรูซวนจึงพูดขึ้นว่า “ต่อไปข้าจะใช้ภาพวาดที่มีอำนาจสังหาร ดังนั้นหากเจ้าตายไปเจ้าก็อย่าได้มาโทษข้าที่ข้าไม่เตือนเจ้า!”
จากนั้นนางหยิบภาพวาดกระบี่บินขึ้นและเปิดใช้งานมัน ส่งผลให้จู่ ๆ รอบกายของนางกลายเป็นมีแต่กระบี่บินลอยอยู่เต็มไปหมด!
หลินหรูซวนจำได้ถึงวิธีการควบคุมพวกมันที่หลิงตู้ฉิงเคยสอนนาง ดังนั้นนางจึงควบคุมพวกมันได้อย่างง่ายและทำให้พวกมันหลอมรวมกันเป็นกระบี่บินยักษ์ จากนั้นนางก็บังคับให้กระบี่บินยักษ์พุ่งเข้าไปฟาดฟันใส่คู่ประลองของนาง!
แต่ด้วยการปกป้องของอาวุธวิเศษระดับนักบุญ ผู้เชี่ยวชาญฝั่งตระกูลกงจึงไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เนื่องจากม่านพลังที่อาวุธวิเศษระดับนักบุญปล่อยออกมามันคงแข็งแกร่งเกินกว่าที่กระบี่บินยักษ์จะเจาะทะลวงได้
“กระบี่บินยักษ์นั่นแข็งแกร่งถึงระดับเหนือล้ำเลยงั้นเหรอ?” หลิงหงเหวินพึมพำกับตัวเอง “อู๋หมิง ผู้นี้เป็นใครกันแน่? ภาพวาดพวกนี้เขาเป็นคนวาดเองหรือว่ามีใครมอบพวกมันให้เขามาอีกที?”
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือภาพวาดพวกนี้หลิงตู้ฉิงวาดมันขึ้นมาแบบลวก ๆ และตั้งใจให้มันมีระดับพลังแค่นี้ เพราะเขากลัวว่าถ้าหากทำให้มันแข็งแกร่งเกินไปคนเหล่านี้จะไม่สามารถรับกับเรื่องราวที่เจอได้ไหว
และอีกอย่างภาพวาดกระบี่ที่หลินหรูซวนใช้อยู่นี้นางกำลังใช้มันผิดวิธี จริง ๆ แล้วหากเป็นหลิงตู้ฉิงใช้เองเขาจะใช้มันก่อรูปเป็นค่ายกลกระบี่ และจากนั้นถึงจะสั่งให้มันโจมตี ซึ่งถ้าทำแบบนั้นอำนาจของมันจะสูงยิ่งกว่าผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญซะอีก
หลินหรูซวนฟันอย่างเมามันอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อนางเห็นว่าฟันยังไงม่านพลังที่ปกป้องฝั่งตรงข้ามอยู่ก็ไม่แตกออกสักที นางจึงเปลี่ยนวิธีใหม่โดยการหยิบภาพวาดอีกอันขึ้นมาและจากนั้นก็โยนมันออกไป
ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญตระกูลกงที่กลัวจนเกือบจะฉี่ราดอยู่แล้วเมื่อเผชิญกับการโจมตีของกระบี่บินยักษ์ แต่แล้วตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าหลินหรูซวนกลับหยิบภาพวาดขึ้นมาอีกอัน ดวงตาของเขาก็แทบจะถลนออกมาจากเบ้าเพราะความตกตะลึง
ในทันทีที่ภาพวาดอันที่สองถูกเปิดใช้งาน เมฆสายฟ้าดำทมิฬก็ปรากฏขึ้นทันทีเหนือเกาะหนานชาน
ภาพเหตุการณ์ที่เมฆเหล่านี้ปรากฏขึ้นนั้นมันไม่ต่างอะไรกับปรากฏการณ์ทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะเกิด!
หลินหรูซวนมองดูก้อนเมฆสีดำทมิฬที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางชี้ไปที่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลกงและตะโกนว่า “ผ่าเขา!”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของนาง ก้อนเมฆสีดำทมิฬก็ส่งสายฟ้าสีแดงฉานสองสายลงมาฟาดใส่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลกงทันที ซึ่งแน่นอนว่าด้วยอาวุธวิเศษระดับนักบุญที่คอยปกป้องเขาอยู่ อาวุธวิเศษระดับนักบุญจึงเป็นด่านแรกที่ต้องรับเคราะห์ก่อน..
กงเจี้ยนฟานรู้สึกปวดใจทันที เมื่อเห็นว่าอาวุธวิเศษของเขาถูกกระหน่ำด้วยสายฟ้าเส้นโตสองสายเต็ม ๆ
ถึงแม้ว่าอาวุธวิเศษระดับนักบุญของเขาจะมีอำนาจป้องกันอยู่ในระดับนักบุญ แต่สายฟ้าเมื่อครู่ก็มีความรุนแรงอยู่ในระดับนักบุญเหมือนกัน ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าอาวุธของเขาจะทานทนได้นานจนถึงอำนาจของภาพวาดจะหมดไปหรือเปล่า?
แต่แล้วหลังจากสายฟ้าสองสายแรกกระหน่ำลงมา แค่เพียงอึดใจถัดมาเมฆสายฟ้าก็ปล่อยสายฟ้าลงมาอีกสองเส้นต่อเนื่อง ส่งผลให้อาวุธวิเศษระดับนักบุญของกงเจี้ยนฟานเริ่มออกอาการสั่นสะท้าน
กงเจี้ยนฟาน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงกัดฟันและตะโกนขึ้นว่า “ก็ได้ข้ายอมแพ้!”
จากที่เขาคำนวณดูแล้วหากเป็นแบบนี้ต่อไปอาวุธของเขาคงต้องพังแน่นอน
และอีกอย่างที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาเห็นว่าหลินหรูซวนหยิบภาพวาดอันที่สามขึ้นมาในมือ และเตรียมพร้อมจะใช้มันแล้ว!
เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ หัวใจของเขาก็หล่นลงไปที่ตาตุ่มทันทีและเขารู้ว่าเขาจำเป็นต้องยอมแพ้ให้เร็วที่สุดก่อนที่อาวุธวิเศษของเขาจะพังลงต่อหน้าต่อตา
หากเขาไม่มีอาวุธวิเศษระดับนักบุญของเขา มันจะหมายความว่าความแข็งแกร่งของเขาถูกลดทอนไปถึงครึ่งหนึ่งและอีกอย่างอาวุธวิเศษระดับนักบุญชิ้นนี้เขาใช้เวลาถึง 1,000 ปีในการสร้างมันขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้!
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์แบบนี้มันก็ทำให้เขาปวดใจเป็นอย่างมากเพราะนับจากนี้ไปเขาจะไม่สามารถแก้ไขเรื่องหลานสาวของเขาได้อีกแล้ว และอนาคตของตระกูลของเขาจะเป็นอย่างไรต่อเขาก็ไม่รู้!
ในเวลาเดียวกัน หลินหงเหวินรีบตะโกนขึ้น “ซวน รีบกลับมาได้แล้ว!”
หลินหรูซวนเก็บภาพวาดที่สี่ที่นางเตรียมพร้อมจะใช้งานกลับไปในแหวนมิติ จากนั้นนางก็รีบกลับมาหาปู่ของนางด้วยรอยยิ้มร่าเริง
จากนั้นเมื่อนางคืนอาวุธของปู่นางให้กับปู่ของนางแล้ว นางจึงรีบเดินเข้าไปหาหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “บรร…อะแฮ่ม! พี่อู๋ ภาพวาดของท่านนี่เยี่ยมยอดที่สุดเลย!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “หากมันไม่ยอดเยี่ยมบรรดาปรมาจารย์จิตรกรจะมีชื่อเสียงได้ยังไง?”
หลินเหวินปิงเดินเข้ามาถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ภาพวาดพวกนั้นเจ้าเป็นคนวาดเองงั้นเหรอหลานอู๋?”
หลิงตู้ฉิงเหล่มองไปที่หลินเหวินปิง และพูดว่า “อีกไม่นานเจ้าจะต้องตบปากตัวเอง!”
หลินหงเหวินมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นเขาเบนสายตาไปมองกงเจี้ยนฟาน และพูดว่า “สหายกง ตามที่พวกเราตกลงกันไว้นับจากนี้เจ้าจะไม่สามารถเอาเรื่องของหลานพวกเราทั้งสองมาเป็นความผิดที่ต้องลงโทษพวกเขาทั้งคู่ได้อีกแล้ว อันที่จริงพวกเราตระกูลหลินอยากจะให้พวกเขาแต่งงานกันให้ถูกต้องด้วยซ้ำไป แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวทุกอย่างมันกลับบานปลายมาจนถึงจุดนี้”
กงเจี้ยนฟานตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเจ้าเป็นผู้ชนะ พวกเจ้าจะพูดอะไรก็ได้! ส่วนเรื่องหลานสาวสารเลวของข้าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ในเมื่อข้าสาบานกับเจ้าไว้แล้ว ดังนั้นข้าไม่กล้าผิดต่อคำสาบานหรอก! แต่ว่าให้ข้าบอกพวกเจ้าเอาไว้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปตระกูลกงของข้าจะมองตระกูลหลินเป็นศัตรูตลอดกาล!”
“มันจำเป็นต้องเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?” หลินหงเหวินถามกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
กงเจี้ยนฟานตวาดกลับด้วยสีหน้าเดือดดาล “เจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกข้าเสียอะไรไปบ้าง ดังนั้นหุบปากไปซะ!”
หลังจากพูดจบ กงเจี้ยนฟานก็หันหลังกลับไปและเตรียมจะพาคนของเขาไปจากที่นี่โดยที่เขาไม่คิดจะชายสายตามองหลานสาวของเขาแม้แต่น้อย
แต่ก่อนที่บรรดาคนของตระกูลกงจะได้กลับไป หลิงตู้ฉิงกลับก้าวออกไปและพูดว่า “รอก่อน!”
แต่ถึงแม้จะได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง กงเจี้ยนฟานก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย เขายังคงไม่หันกลับมาและเตรียมจะบินจากไป
“นี่เหรอคือมารยาทของพวกคนสำนักเที่ยงธรรม?” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าทำไมเจ้าถึงโกรธและข้าก็รู้ด้วยว่าที่เจ้าทำลงไปทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะอะไร แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าเอาไว้ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจอยู่ในตอนนี้มันไร้สาระ! แถมมันยังเป็นความเข้าใจที่สวนทางกับวิถีของมหาปราชญ์!”
กงเจี้ยนฟานหันกลับมาทันที และจ้องหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาอาฆาต “เจ้าพูดว่ายังไงนะ!?”
“ข้าพูดว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจอยู่ในตอนนี้มันคือเรื่องไร้สาระ!” หลิงตู้ฉิงพ่นลมหายใจ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าครูผู้ชี้แนะของตระกูลเจ้าคือใคร แต่ถ้าเขารู้ว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ข้ามั่นใจว่าเขาคงจะรีบมาที่นี่เพื่อลบตระกูลของเจ้าให้หายไปจากโลกนี้แน่นอน”
“เจ้าเป็นใครกัน!?” กงเจี้ยนฟานยิ่งโมโหมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรต่อ เขาก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นสิ่งที่หลิงตู้ฉิงแสดงให้เขาดู!