อันที่จริงหลินหงเหวินรู้อยู่แล้วว่าถังจุนเหรินจะขออะไร
เขารู้สึกลังเลเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องราวหลายอย่างมันค่อนข้างซับซ้อน
แต่ถ้าหากฝั่งของเขาแพ้ หลานชายของเขาจะต้องถูกฆ่า ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากเขายอมให้ถังจุนเหรินแต่งงานกับหลานสาวของเขามันก็ไม่ใช่เรื่องดีต่ออนาคตของตระกูลเพราะเขาไม่ไว้ใจสองพ่อลูกแซ่ถังเลย!
ในระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี หลินเหรินเจี๋ยกลับตะโกนขึ้นแทรก “ท่านปู่ให้ข้าประลองเอง การประลองครั้งนี้มันเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของข้า ดังนั้นข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสินชะตาของตัวเองด้วยว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ท่านปู่โปรดอนุญาตด้วย!”
หลินหงเหวินจ้องตาหลินเหรินเจี๋ยอยู่สักพัก และเมื่อเขาแน่ใจว่าแล้วว่าหลานชายของเขามีความมุ่งมั่นไม่แพ้หลินเหวินปิง เขาจึงถอนหายใจและพูดขึ้น “งั้นเจ้าลงไปประลองเถอะ”
กงหลิงมองไปที่หลินเหรินเจี๋ยด้วยสายตาเป็นกังวลอย่างรุนแรง จากนั้นนางอดไม่ได้ที่จะตะโกนไปหากงเจี้ยนฟานว่า “ท่านปู่ หากวันนี้สามีของข้าตาย ข้าจะฆ่าตัวตายให้ท่านดู!”
กงเจี้ยนฟานแสดงสีหน้าเย็นชา “งั้นเหรอ? ถ้างั้นเจ้าก็ทำมันซะตอนนี้เลยจะดีกว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาพวกข้า! กงจิ๋น เจ้าจงฆ่าไอ้สารเลวตระกูลหลินให้ได้เพื่อให้มันชดใช้ที่ทำให้ตระกูลของเราต้องอับอาย!”
กงหลิงน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นว่าปู่ของนางไม่สนใจกับความรู้สึกของนางเลย…
หลินหรูซวนรีบปลอบนางทันที “พี่สะใภ้ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ท่านเชื่อข้าเถอะว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่เป็นอะไรหรอก เขาจะต้องชนะแน่นอน!”
ถึงแม้ได้ยินเช่นนี้ กงหลิงก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย!
นางรู้ดีว่าหากสามีของนางแพ้ในรอบนี้ทุกอย่างคือจบกัน! สามีของนางจะต้องตายส่วนนางเองก็คงถูกจับตัวกลับไปที่ตระกูลกง และถูกประหารก่อนที่ลูกของนางจะได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก!
ในเวลาเดียวกัน บรรดาฝูงชนที่ดูสถานการณ์อยู่ต่างก็ขมวดคิ้วมองไปที่ตระกูลกง เนื่องจากพวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมตระกูลกงถึงไร้หัวใจได้ขนาดนี้?
ทางด้านของหลินเหรินเจี๋ย ในเวลานี้เขาได้ก้าวมาในเขตประลองแล้วและประสานมือคำนับต่อกงจิ๋น และพูดว่า “พี่กง อันที่จริงพวกเราควรจะนั่งร่ำสุรากันมากกว่าที่จะต้องมาสู้กันแบบนี้ แต่เพื่อความอยู่รอดของลูกเมียข้า ข้าก็จำเป็นจะต้องล่วงเกินท่าน!”
กงจิ๋นตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่ใช่แค่เจ้าทำร้ายตัวเองแต่เจ้ายังทำให้น้องสาวของข้าต้องลำบากไปด้วย! ในเมื่อเป็นเช่นนี้วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน แต่ไม่ต้องห่วงเพื่อเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ข้าเคยมีต่อเจ้า ข้าจะทำให้เจ้าตายแบบไม่ทรมาน!”
เมื่อพูดจบ กงจิ๋นก็พุ่งตัวเข้าไปหาหลินเหรินเจี๋ยทันที
หลินเหรินเจี๋ยนั้นอ่อนกว่าทั้งด้านอายุ ประสบการณ์และระดับการบ่มเพาะ ดังนั้นอันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกงจิ๋นเลยแม้แต่น้อย เขาจึงตกเป็นฝั่งเสียเปรียบทันทีตั้งแต่แรกปะทะ
ส่วนภาพวาดที่เขาได้มาจากน้องสาวของเขานั้น ในตอนนี้เขายังคงไม่คิดจะใช้มันเพราะเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับมันมากมาย นอกซะจากเขาหมดทางเลือกแล้วจริง ๆ เขาถึงจะลองใช้มันดู
“นี่เจ้าเอาภาพวาดของข้าให้กับพี่ของเจ้ารึยัง?” หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วถามหลินหรูซวน
“ท่านบรรพบุรุษข้าให้เขาไปแล้วนะ แถมข้าให้ไปตั้ง 3 ภาพ สองภาพเป็นภาพสังหาร ส่วนอีกภาพคือภาพกักขัง!” หลินหรูซวนตอบกลับด้วยสีหน้าเป็นกังวล “แต่ข้าไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เขาไม่ใช้พวกมันสักที!”
“ไอ้เด็กโง่เอ้ย นี่ข้ามีลูกหลานที่กำลังจะตายเพราะความโง่ของตัวเองงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงสบถเพราะเขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ถ้าหากว่าหลินเหรินเจี๋ยจะตายเพราะความโง่ของตัวเองจริง ๆ เขาก็จะปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เนื่องจากหลินเหรินเจี๋ยก็เป็นแค่ผู้ที่มีสายเลือดของเขาคนหนึ่ง หากตายไปสักคนมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ คนที่สืบสายเลือดของเขายังมีอยู่ตั้งมากมายเต็มเกาะหนานชานไปหมด
ในเวลาเดียวกัน หลินเหรินเจี๋ยรู้ตัวแล้วว่าต่อให้เขาทุ่มสุดตัวก็คงสู้กับกงจิ๋นไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงนึกภาพวาด 3 ภาพที่น้องสาวของเขามอบให้ และฝากความหวังไว้ที่พวกมัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาหยิบยันต์เคลือบหยกทั้ง 3 แผ่นขึ้นมาและวางแผนจะใช้ภาพวาดกักขังก่อน จากนั้นเขาจะใช้ภาพวาดสังหารเพื่อเกื้อหนุน ซึ่งเขาคิดว่ามันน่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขาเอาชนะกงจิ๋นได้
แต่แล้วแค่เขาใช้ภาพวาดกักขังแค่อันเดียวเท่านั้น จู่ ๆ ทั่วบริเวณพื้นที่ประลองกลับกลายเป็นมีม่านพลังปกคลุมทั่วพื้นที่ราวกับว่าเป็นกรงขัง แถมยังทำให้คนที่อยู่ด้านในไม่สามารถขยับกายได้ด้วย
ในตอนนี้กงจิ๋นนั้นไม่สามารถขยับกายได้แม้แต่น้อย ซึ่งมันรวมไปถึงหลินเหรินเจี๋ยก็ขยับกายไม่ได้เหมือนกัน
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยความเหนื่อยใจและส่งโทรจิตไปบอกกับหลินหรูซวนว่า “ในอนาคตเวลาเจ้าใช้งานมันเจ้าต้องฉลาดกว่าพี่ชายของเจ้าเข้าใจไหม! พี่ชายของเจ้านี่ทำให้ข้าเสียหน้าหลายรอบเกินไปแล้ว เขาเป็นคนใช้งานภาพวาดแท้ ๆ หากเขาแค่คิดว่าเขาร่างกายของเขาจะต้องขยับได้มันก็ขยับได้แล้วแต่นี่กลับไม่ทำบ้าอะไรเลย ปล่อยให้ตัวเองแข็งค้างไปกับศัตรูซะอย่างนั้น!”
หลินหรูซวนมองไปที่เหตุการณ์ในพื้นที่ประลองด้วยสายตาตกตะลึง
ภาพวาดของจิตรกรนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
สำหรับม่านพลังที่ปกคลุมพื้นที่การประลองอยู่ตอนนี้ จะมีก็แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญขึ้นไปเท่านั้นที่สามารถเห็นว่ามันมีม่านพลังปกคลุมอยู่ ซึ่งที่ด้านในทุกอย่างถูกตรึงให้หยุดนิ่ง
แตกต่างจากผู้เชี่ยวชาญระดับต่ำลงมา ซึ่งพวกเขาเห็นแค่ภาพของกงจิ๋นและหลินเหรินเจี๋ยที่แข็งค้างอยู่ไม่สามารถขยับไปไหนได้
บรรดาคนอื่น ๆ ที่เห็นภาพเช่นนี้ก็ตกตะลึงเหมือนกัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าหลินเหรินเจี๋ยใช้อะไรมันถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
ส่วนทางด้านของหลินหงเหวินก็ได้แต่สงสัยในใจว่านี่คือผลงานของภาพวาดของหลิงตู้ฉิงรึเปล่า?
ในเวลาเดียวกันกับที่คนอื่น ๆ กำลังคิดไปต่าง ๆ นานา กงจิ๋นและหลินเหรินเจี๋ยต่างก็คิดว่าจะทำยังไงให้ตัวเองหลุดจากการตรึงนี้ไปได้..
กงจิ๋นนั้นไม่สามารถขยับร่างได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็แข็งค้างอยู่แบบนั้น
ในทางกลับกันทางด้านของหลินเหรินเจี๋ย เมื่อเขาคิดว่าเขาอยากหลุดพ้นจากการตรึงจู่ ๆ อำนาจของม่านพลังที่ตรึงร่างเขาอยู่ก็คลายออก ทำให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าตัวเองขยับได้แล้ว คำแรกที่เขาเอ่ยขึ้นก็คือ “ข้าชนะ!”
กงเจี้ยนฟานพ่นลมหายใจอย่างรุนแรง “ไอ้หนู ข้าถือว่าแกโชคดีจริง ๆ เอาล่ะปล่อยกงจิ๋นกลับมาได้แล้ว! ตอนนี้พวกเราเสมอกัน การประลองคู่ต่อไปถือว่าเป็นคู่ตัดสิน!”
“เอ่อ…ข้า…ไม่รู้ว่าจะปล่อยเขายังไง…” หลินเหรินเจี๋ยตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าภาพวาดมีอำนาจขนาดไหน ซึ่งมันทำให้เขานึกถึงภาพวาดสังหารอีก 2 อันที่เขายังไม่ได้ใช้ หากเขาใช้ออกไปมันจะเป็นยังไงกันนะ?
กงเจี้ยนฟานพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิด จากนั้นเขาใช้พลังระดับนักบุญเต็ม 10 ส่วนเพื่อทำลายม่านพลังของภาพวาด และจากนั้นเขาถึงนำตัวกงจิ๋นกลับมาออกมาได้
เมื่อช่วยคนของฝั่งตัวเองเสร็จ กงเจี้ยนฟานมองไปที่หลินหงเหวินด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “ข้าไม่นึกเลยว่าตระกูลหลินของเจ้าจะมีสมบัติดี ๆ แบบนี้อยู่ แต่ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีพวกมันเหลือใช้อยู่อีกรึเปล่า! เอาล่ะจงเลือกคนของเจ้าออกมาสู้กับคนของข้าเป็นคู่สุดท้ายได้แล้ว!”
หลินหงเหวินหัวเราะอย่างขมขื่นและคิดในใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลของข้ามีสมบัติแบบนี้!”
แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังคิดว่าจะส่งใครออกไป หลินหรูซวนก็ตะโกนขึ้น “ในเมื่อพี่ชายของข้ากำลังมีภัย ข้าผู้เป้นน้องสาวจะนิ่งดูดายได้ยังไง? ท่านปู่การประลองคู่สุดท้ายปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง!”
เมื่อหลินหงเหวินเห็นว่าหลินหรูซวนขออาสา เขาก็ส่ายหัวทันทีและพูดว่า “การประลองครั้งนี้อันตรายเกินไป ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าร่วม!”
ในตอนนี้หลินหรูซวนนั้นสำคัญกับตระกูลมากเกินไป เนื่องจากนางสามารถควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์ได้ ดังนั้นเขาจะปล่อยให้นางเข้าร่วมการประลองได้ยังไง?
หลินหรูซวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านปู่ ข้ามั่นใจจริง ๆ ว่าข้าจะต้องชนะแน่นอน!”
“หืม?” หลินหงเหวินมองไปที่หลินหรูซวนด้วยสายตาสับสน เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่าหลานสาวของเขาเอาความมั่นใจมากจากไหน
แต่แล้วหลินหรูซวนโทรจิตบอกกับเขาเพิ่มว่า “ท่านปู่ ข้าเองที่เป็นคนมอบภาพวาดนั่นให้กับพี่ใหญ่! ตอนนี้ท่านยังคิดว่าข้าจะมีอันตรายอยู่อีกงั้นเหรอ?”
“นี่เจ้าไปเอาพวกมันมาจากไหน?” หลินหงเหวินเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
“เรื่องนั้นเอาไว้ว่ากันทีหลังเถอะท่านปู่ ตอนนี้ท่านควรจะให้ข้าออกไปสู้ก่อน!” หลินหรูซวนตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินหงเหวินก็ได้แต่พูดว่า “อืม งั้นเจ้าก็ไปเถอะ!”
ด้วยภาพวาดเหล่านั้น หลินหงเหวินมั่นใจว่าหลินหรูซวนจะไม่เป็นอะไรแน่นอน
แต่จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยแววตาสงสัยพลางคิดในใจ จิตรกรผู้นี้ต้องการอะไรกันแน่?
ในเวลาเดียวกัน หลินหรูซวนก็ก้าวไปในพื้นที่การประลอง จากนั้นนางหยิบยันต์เคลือบหยก ซึ่งด้านในมีภาพที่ถูกวาดขึ้นโดยหลิงตู้ฉิงขึ้นมาแสดงและถามขึ้นเสียงดังว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าคนไหนจะเข้ามาประลองกับข้า?”