เหล่าผู้ทรงอิทธิพลชื่อดังที่ไม่รู้ความจริง เชื่อคำพูดของหลินเจิ้นหนาน พวกเขาคิดว่าตระกูลเฉินทำเพื่อแก้แค้นตระกูลโม่ ดังนั้นพวกเขาจึงใส่ร้ายหลินฮ่าวหราน แล้วทำร้ายเขาจนได้รับบาดเจ็บ

สมาชิกทุกคนของตระกูลเฉินรู้สึกโกรธมาก เห็นได้ชัดว่าหลินฮ่าวหรานเป็นคนวางยาเฉินเข่อเอ๋อร์ เฉินโม่ถึงได้ลงมือทำร้ายเขา ตอนนี้หลินเจิ้นหนานกลับบอกว่าคนของตระกูลเฉินแก้แค้นพวกเขาเพราะความโกรธแค้น

ไร้เหตุผลสิ้นดี!

“ไปเรียกเฉินเข่อเอ๋อร์มา แล้วให้เธอบอกว่าวันนั้นใครเป็นคนผิด! มาดูกันว่าตระกูลเฉินแก้แค้นเพราะความโกรธแค้น หรือว่าหลินเจิ้นหนานลูกชายของคุณเลวทรามต่ำช้าและไร้ยางอาย!” เฉินกั๋วต้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตอนที่เขาพูดนั้นร่างกายสั่นสะท้าน

คนรุ่นใหม่ของตระกูลเฉินเดินออกไปเรียกเฉินเข่อเอ๋อร์

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของหลินเจิ้นหนานสงบมาก ราวกับว่าเขามีแผนการอยู่ในใจ

เฉาจื่อหมิงมองหลินเจิ้นหนานอย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นใบหน้าที่สงบของหลินเจิ้นหนานแล้ว เขาก็รู้สึกวางใจ

เซี่ยโหวปาข่มอารมณ์ได้ดีกว่าเฉาจื่อหมิง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อย และไม่พูดอะไรสักคำ

รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินกั๋วจงหายไป เขาประสานมือทั้งสองข้างเป็นคำนับให้ผู้ทรงอิทธิพลชื่อดังเหล่านั้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทุกคนไม่สามารถฟังคำพูดฝ่ายเดียวของผู้นำตระกูลหลินได้ มาฟังว่าคู่กรณีของตระกูลเฉินพูดอย่างไร”

“มันแน่นอนอยู่แล้ว หากตระกูลเฉินสามารถแสดงหลักฐานได้ ผมเชื่อว่าทุกคนจะตัดสินเรื่องนี้อย่างยุติธรรม” เฉิงเซี่ยว ผู้ทรงอิทธิพลของเมืองฝูกล่าว

สถานะของเฉิงเซี่ยวนั้นสูงกว่าเฉินกั๋วเหลียงเล็กน้อย แม้ว่าจะสู้ตระกูลโม่ไม่ได้ แต่สามตระกูลใหญ่ที่อยู่ภายใต้ตระกูลโม่ ก็ไม่กล้าล่วงเกินเขา

ดังนั้น เฉิงเซี่ยวจึงกล้าที่จะพูดคำพูดที่ยุติธรรม

เฉินกั๋วเหลียงโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณ คุณเฉิง ที่พูดเพื่อความเป็นธรรม ตระกูลเฉินต้องแสดงหลักฐานออกมาแน่นอน เพื่อทำให้ทุกคนเชื่อ และจะได้รู้ธาตุแท้ของคนบางคนด้วย!”

“ฮึ่ม! แค่กลัวว่าตระกูลเฉินจะไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ เมื่อถึงเวลานั้น แล้วยังมาเถียงข้าง ๆ คู ๆอีก” เฉาจื่อหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เฉินกั๋วต้งตอบกลับทันที “คนแซ่เฉา อย่าคิดว่าตระกูลเฉินจะเลวทรามต่ำช้าและไร้ยางอายเหมือนพวกคุณ ที่กลับผิดเป็นถูก หากพวกเราไม่มีหลักฐาน พวกคุณสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ!”

“น้องสาม!” เฉินกั๋วจงรีบหยุดทันที เพราะภายใต้อารมณ์ที่ร้อนของเฉินกั๋วต้ง ทำให้เขาพูดจามั่นใจเกินไป หากตระกูลหลินเตรียมการไว้ล่วงหน้าจริง ๆ การหาคนมาเป็นพยาน คงเป็นเรื่องที่ยากมาก

เมื่อถึงเวลาแล้ว แต่หาหลักฐานไม่ได้ คำพูดของเฉินกั๋วต้ง จะกลายเป็นจุดอ่อนให้สามตระกูลใหญ่ข่มขู่และบีบบังคับตระกูลเฉิน

เฉินกั๋วต้งก็ตระหนักว่าตนเองพูดจามั่นใจเกินไป แต่เสียใจตอนนี้ มันก็สายเกินไปแล้ว

เฉาจื่อหมิงกล่าวเสียงดังทันที “เอาล่ะ เฉินกั๋วต้ง คุณเป็นคนพูดประโยคนี้เองน่ะ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เมื่อถึงเวลาแล้ว คุณอย่าบิดพลิ้วก็แล้วกัน!”

เฉินกั๋วต้งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วางใจเถอะ ตระกูลเฉินไม่เหมือนพวกคุณหรอก ถ้าผมเป็นฝ่ายแพ้ ผมทำตามสัญญาอย่างแน่นอน”

ผ่านไปสักครู่ เฉินเข่อเอ๋อร์ก็มาถึงแล้ว

ทันทีที่เธอเดินเข้ามาในห้องโถง เฉินเข่อเอ๋อร์รู้สึกตกใจกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นหลินฮ่าวหรานที่ถูกทำร้ายจนหน้าบวมเหมือนหัวหมู เฉินเข่อเอ๋อร์ก็เข้าใจทันที

สาวน้อยคิดอยู่ในใจว่า “ดูเหมือนว่าหลินฮ่าวหรานจะเรียกคนมาช่วยแล้ว”

เฉินกั๋วต้งเห็นเฉินเข่อเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว แล้วรีบตะโกนว่า “เข่อเอ๋อร์ มานี่!”

“คุณปู่ เรียกหนูมามีเรื่องอะไรคะ?” เฉินเข่อเอ๋อร์เดินไปอยู่ข้างเฉินกั๋วต้ง แล้วถามด้วยความนอบน้อม

เฉินกั๋วต้งกล่าวว่า “เข่อเอ๋อร์ หนูบอกต่อหน้าผู้อาวุโสทุกท่านว่าวันนั้นเกิดเรื่องอะไร?”

เฉินเข่อเอ๋อร์เหลือบมองหลินฮ่าวหรานแวบหนึ่ง หน้าของหลินฮ่าวหรานบวมเหมือนหัวหมู มองไม่เห็นการแสดงออกใด ๆ แต่จากดวงตาที่อาฆาตแค้นของเขา สามารถมองเห็นความลำพองใจได้เล็กน้อย

“คุณปู่ วันนั้นหลินฮ่าวหรานเป็นคนให้หนูดื่มเหล้า แล้วใส่ยาลงไปในแก้วเหล้า ต้องขอบคุณพี่เฉินโม่ มิเช่นนั้น หนูก็ไม่รู้ว่าจะมีหน้ากลับมาพบพวกคุณอีกไหม!” เมื่อเฉินเข่อเอ๋อร์นึกถึงสถานการณ์วันนั้น เธอยังคงมีความหวาดกลัว