การกระทำของกงเจี้ยนฟานที่กำลังเดินเข้าไปหากงหลิง ทำให้ผู้คนของตระกูลหลินรู้สึกเป็นกังวล แม้แต่หลินหงเหวินยังต้องรีบเดินไปตีคู่กงเจี้ยนฟานเพื่อป้องกันไม่ให้กงเจี้ยนฟานทำอะไรบ้า ๆ กับหลานสะใภ้ของเขา
แต่ทางด้านของกงเจี้ยนฟานนั้นไม่ได้แสดงสีหน้าอาฆาตเหมือนอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว เขาเดินเข้าไปหากงหลิงด้วยสีหน้าที่สงบมาก
กงหลิงมองไปที่กงเจี้ยนฟานที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาหวาดกลัว “ท่านปู่…”
กงเจี้ยนฟาน เมื่อเดินไปถึงหลานสาวของเขา เขาก้มหน้าลงและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ก่อนหน้านี้ปู่ผิดไปแล้ว ปู่ไม่น่าที่จะทำอะไรแบบนั้นกับเจ้าเลยจริง ๆ ตอนนี้ปู่เข้าใจทุกอย่างแล้วปู่ขอโทษ…นับจากนี้ปู่จะทำทุกอย่างให้มันถูกต้อง ปู่จะให้ตระกูลหลินมาสู่ขอเจ้าตามธรรมเนียมเพื่อที่ปู่จะได้อวยพรให้เจ้าได้อย่างสมบูรณ์!”
“ท่านปู่ ท่านไม่โกรธข้าแล้วงั้นเหรอ?” กงหลิงถามกลับทั้งน้ำตา
กงเจี้ยนฟานยิ้ม “เป็นปู่เองที่เป็นคนผิด ปู่จะโกรธเจ้าได้ยังไง?”
หลังจากกงเจี้ยนฟานเช็ดน้ำตาของกงหลิง เขาก็หันไปจ้องที่หลินเหรินเจี๋ย และตบหน้าหลินเหรินเจี๋ยไป 1 ทีจนหน้าแดงเป็นรอยฝ่ามือ
“สหายกง…” หลินหงเหวินรู้สึกตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
แต่เมื่อเขาเห็นว่ากงเจี้ยนฟานไม่ได้ใช้พลังของระดับการบ่มเพาะในตบนี้ เขาจึงไม่พูดอะไรต่อเพราะเขารู้ว่าตบนี้คือตบสั่งสอนหลานชายของเขาที่ทำผิดต่อทั้งสองตระกูล
ทางด้านหลินเหรินเจี๋ยที่โดนตบก็มองกลับไปที่กงเจี้ยนฟานด้วยสีหน้าตกตะลึง
กงเจี้ยนฟานจ้องไปที่หน้าหลินเหรินเจี๋ยที่ยังคงตกตะลึงอยู่ และถามว่า “ในฐานะที่ข้าเป็นปู่ของเสี่ยวหลิง เจ้ามีปัญหาไหมที่ข้าตบสั่งสอนเจ้า?”
หลินเหรินเจี๋ยรีบโค้งตัวตอบกลับทันที “ท่านเป็นปู่ของน้องหลิง ดังนั้นนับได้ว่าท่านเองก็เป็นปู่ของข้าด้วยเช่นกัน ปู่ตบสั่งสอนหลานที่ทำความผิดนั้นนับเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว!”
“รู้แบบนี้ก็ดี!” กงเจี้ยนฟานพูดขึ้น “อย่างน้อยก็นับได้ว่าเจ้ายังมีความคิดที่ดี แต่หลังจากนี้ข้าจะมาที่นี่ใหม่เพื่อพาหลานสาวของเจ้ากลับไปอยู่ที่ตระกูลก่อน เพื่อรอจนกว่าเจ้าจะมาสู่ขอนางให้ถูกต้อง เจ้าจงเตรียมสินสอดเอาไว้เยอะ ๆ ก็แล้วกัน!”
แต่แล้วในระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกัน จู่ ๆ เสียงหัวเราะเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ชายชราผู้หนึ่งค่อย ๆ บินเข้ามาหาพวกเขาและพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้ช่างเป็นวันที่น่าอัศจรรย์อะไรแบบนี้! ข้าได้เห็นทั้งเหตุการณ์ประหลาดจนคาดไม่ถึงพร้อม ๆ กับได้เห็นสองตระกูลที่ขัดแย้งกัน จู่ ๆ ก็ปรองดองกันจนเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ อ๋อ ขออภัยด้วยจริง ๆ ที่ตาแก่ผู้นี้มาที่นี่โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าก่อน”
หลังจากเห็นชายชราผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น กงเจี้ยนฟานและหลินหงเหวินต่างก็ขมวดคิ้วมองหน้ากัน จากนั้นหลินหงเหวินถามกลับไปว่า “มิกล้ามิกล้า! นับว่าเป็นเกียรติของตระกูลข้าต่างหากที่ท่านเจ้าเมืองอุตส่าห์มาเยือนบ้านข้าถึงที่นี่!”
“เขาคือเจ้าเมืองหนานหัว เผิงติงเทียน!” หลินหรูซวนรีบกระซิบบอกหลิงตู้ฉิง “แถมเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของอาณาเขตหนานหัว ระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้น!”
“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบรับ
หลิงตู้ฉิงเองก็เห็นระดับการบ่มเพาะของเผิงติงเทียน ซึ่งระดับการบ่มเพาะแค่นี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาพอ ๆ กับตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งอาณาเขตเล็กจ้อยแห่งนี้
“บรรพบุรุษ เผิงติงเทียน คนนี้ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์อะไรกับพวกเรามาก่อนเลย ดังนั้นข้าคิดว่าการมาของเขาครั้งนี้น่าจะต้องมีเหตุผลอื่นแอบแฝงอยู่แน่นอน” หลินหรูซวนโทรจิตบอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “อันที่จริงเขาแอบดูอยู่ตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่ยอมปรากฏตัวเท่านั้นเอง และตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองตระกูลปรองดองกันได้เขาถึงค่อยปรากฏตัวขึ้น แต่ก็ช่างเถอะไม่ต้องไปสนใจให้ค่าอะไรเขามากมาย ในเมื่อตอนนี้ปัญหาทุกอย่างถูกแก้ไขแล้วพวกเรากลับไปพักผ่อนกันดีกว่า”
หลินหรูซวนพยักหน้า “บรรพบุรุษ งั้นข้าจะไปส่งท่านเอง”
ในตอนนี้เมื่อนางได้เห็นแล้วว่าหลิงตู้ฉิงแข็งแกร่งถึงขนาดที่ใช้แค่เพียงคำพูดก็ทำให้ผู้นำตระกูลกงยอมคุกเข่าให้ นางจึงอยากจะเอาใจหลิงตู้ฉิงให้มากกว่าเดิมเพื่ออย่างน้อย ๆ หลิงตู้ฉิงอาจจะพอใจและให้ภาพวาดเหล่านั้นกับนางเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
แต่คนอื่น ๆ ที่ไม่รู้เรื่องราวในสิ่งที่คนทั้งคู่คุยกัน เมื่อพวกเขาเห็นว่าหลินหรูซวนเดินจากไปพร้อมกับหลิงตู้ฉิง พวกเขาจึงเดากันไปอีกแบบถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่
หลินเหวินปิงแอบส่ายหัวพลางคิดในใจ ‘คนมากมายขนาดนี้ทำไมลูกสาวของข้าถึงไม่เก็บอาการบ้างเลย?’
หลินหงเหวินและคนอื่น ๆ เองก็รู้สึกสงสัยในตัวตนของหลิงตู้ฉิง แต่พวกเขารู้ดีว่าเวลานี้ไม่เหมาะที่พวกเขาจะรั้งตัวหลิงตู้ฉิงเพื่อถามถึงเรื่องต่าง ๆ ที่พวกเขาสงสัย โดยเฉพาะที่ในเวลานี้เผิงติงเทียนยังคงยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ส่วนคู่พ่อลูกตระกูลถังก็มองไปที่หลินหรูซวนและหลิงตู้ฉิงด้วยความเดือดดาลในใจ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวว่าแผนของพวกเขาเองจะพังไปมากกว่าเดิม
แต่แล้วก่อนที่หลิงตู้ฉิงและหลินหรูซวนจะทันได้เดินจากไป เผิงติงเทียนกลับเอ่ยขึ้น
“สหายน้อย โปรดรอสักครู่! เมื่อครู่ข้าได้เห็นความมหัศจรรย์ของสหายน้อยที่สามารถใช้คำพูดทำให้สหายกงยอมศิโรราบได้ ข้ารู้สึกนับถือสหายน้อยจริง ๆ ดังนั้นจะรังเกียจไหมที่ข้าขอรบกวนเวลาสหายน้อยสักหน่อยเพื่อคุยกัน? อ๋อ และข้ายังรู้มาอีกว่าสหายน้อยเป็นปรมาจารย์จิตรกรอีกด้วยใช่ไหม?” เผิงติงเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าเผิงติงเทียนเอ่ยชวนแบบนี้ หลินหงเหวินก็ทำได้แต่คล้อยตามว่า “คุณชายอู๋ โปรดมาคุยกันก่อนเถอะ…”
หลิงตู้ฉิงหันกลับมามองพวกเขา จากนั้นเขายิ้มและส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “เอางั้นก็ได้!”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ควงแขนหลินหรูซวนเดินตามคนอื่น ๆ ไปยังห้องโถงรับรองของคฤหาสน์ตระกูลหลิน
ถึงแม้ว่าหลินหรูซวนจะถูกหลิงตู้ฉิงควงแขน ซึ่งนางเองก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยในใจ แต่ความรู้สึกดีของนางนั้นเป็นแบบเด็กที่ชื่นชมผู้ใหญ่ไม่ใช่เป็นแบบชู้สาวแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ในสายตาของคนอื่น ๆ มันย่อมไม่เป็นแบบที่นางคิด
เมื่อทุกคนเข้าไปด้านในห้องโถงรับรองและนั่งลง เผิงติงเทียนก็หยิบสมบัติระดับเหนือล้ำขึ้นมา และยื่นมันไปให้กับหลินหงเหวิน และพูดว่า “วันนี้เป็นวันดีที่ตระกูลหลินของท่านกับตระกูลกงตกลงปรองดองกันได้ ดังนั้นข้าขอมอบสมบัติชิ้นนี้ให้เป็นของขวัญแด่ความสำเร็จของพวกท่าน และขออวยพรให้พวกท่านทั้งสองตระกูลปรองดองกันตลอดไป!”
“อ๋อน้องหลิน บังเอิญว่าข้าได้ยินข่าวมาว่าหอคอยเสียงสวรรค์ของท่านเพิ่งเปล่งอำนาจได้ตามตำนานแล้วถูกต้องไหม? จะว่าอะไรไหมหากข้าจะขอสัมผัสอำนาจของมันเพื่อช่วยให้ข้าเข้าใจพลังแห่งกฎมากขึ้น? หากน้องหลินยอมตกลง ข้ารับประกันว่าข้าจะตอบแทนให้อย่างงาม!”