เมื่อได้ยินคำพูดของเผิงติงเทียนที่รู้เรื่องของหอคอยเสียงสวรรค์ได้เร็วขนาดนี้ หลินหงเหวินก็รู้สึกตกตะลึงและรู้ได้ทันทีว่าในตระกูลของเขามีหนอน!
ถึงแม้ว่าตำนานของหอคอยเสียงสวรรค์จะโด่งดังมานานหลายหมื่นปี แต่มันก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้มาก่อนว่ามันเป็นเรื่องจริงเพราะที่ผ่านมามีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาที่นี่ และไม่ได้อะไรกลับไปจนถึงขนาดที่บางคนเมื่อจากไปแล้วยังเอาตระกูลหลินไปด่าลับหลังว่ากุเรื่องตำนานหอคอยเสียงสวรรค์ขึ้นเองเพราะต้องการดึงดูดความสนใจ
แต่แล้วตอนนี้เมื่อตระกูลหลินเพิ่งพิสูจน์ได้หมาด ๆ ว่ามันเป็นเรื่องจริง แถมพวกเขายังไม่ทันได้ศึกษามันเลยด้วยซ้ำ แต่เผิงติงเทียนกลับรู้เรื่องหอคอยเสียงสวรรค์ใช้งานได้แล้ว?
ถ้าไม่มีหนอนไปบอกมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เผิงติงเทียนจะรู้เร็วขนาดนี้จริงไหม?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินหงเหวินก็ได้แต่ยอมรับและหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “พี่เผิง ช่างรู้ข่าวเร็วจริง ๆ! ถูกต้องแล้ว หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจได้ตามตำนานที่ว่าเอาไว้จริง ๆ ซึ่งคนของข้าหลายคนก็มีโอกาสได้สัมผัสมันโดยบังเอิญเช่นกัน ถ้าหากท่านอยากจะลองสัมผัสมันดู ข้าก็ยินดีให้ท่านขึ้นไปลองนั่งบนชั้นบนสุดของหอคอย แต่ว่าท่านต้องเข้าใจด้วยว่าการที่มันจะเปล่งอำนาจออกมาหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับโชคของท่านด้วย”
กงเจี้ยนฟานเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน เขารีบถามขึ้นว่า “สหายหลิน นี่หอคอยเสียงสวรรค์ของเจ้าสามารถเปล่งอำนาจได้ตามที่ตำนานว่าไว้จริง ๆ เหรอ?”
เผิงติงเทียนหัวเราะ “น้องกง ดูเหมือนว่าเจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าคุณหนูแห่งตระกูลหลิน หลินหรูซวน บังเอิญได้รับท่วงทำนองที่สามารถทำให้หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจได้ ดังนั้นขอแค่นางเล่นท่วงทำนองนั้นผ่านพิณของนาง หอคอยเสียงสวรรค์จะเปล่งอำนาจของมันทันที!”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ?” กงเจี้ยนฟานรู้สึกสนใจทันที
สามารถควบคุมหอคอยเสียงสวรรค์ให้เปล่งอำนาจได้ตามใจนึกกับทำให้เปล่งอำนาจโดยใช้ดวงนั้นเป็นเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
หลินหงเหวินรู้สึกเดือดดาลและสาปแช่งหนอนผู้นั้นอยู่ในใจ แต่สีหน้าภายนอกเขากลับยังคงยิ้มแย้มและตอบกลับว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะบอกได้ว่าเป็นเพราะสวรรค์ประทานพรให้กับตระกูลของข้า!”
กงเจี้ยนฟานพยักหน้า จากนั้นเขาหันไปหาเผิงติงเทียนด้วยสายตาจับผิดและถามว่า “เรื่องนี้แม้แต่ตระกูลของข้าก็ยังไม่รู้ ว่าแต่พี่เผิงช่วยบอกข้าสักหน่อยได้ไหมว่าท่านไปเอาข้อมูลเรื่องนี้มาจากไหน?”
เผิงติงเทียนยิ้มและตอบกลับ “ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าเมืองหนานหัว ดังนั้นมันจึงมีเรื่องน้อยมากที่ข้าไม่รู้ ว่าแต่น้องหลิน ทำไมเจ้าถึงไม่พาพวกเราไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของอำนาจหอคอยเสียงสวรรค์สักหน่อยล่ะ แต่ไม่เอาแบบต้องเสี่ยง ‘ดวง’ หรือเสี่ยง ‘โชค’ นะ ข้าอยากลองสัมผัสแบบที่หลานสาวของเจ้าเป็นคนควบคุมมันด้วยตัวเองนางเองน่ะ!”
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หลินหงเหวินจึงไร้ทางเลือกและทำได้แต่ฝืนยิ้มและพูดว่า “ในเมื่อท่านพูดขนาดนี้แล้วหากข้าปฏิเสธก็คงเสียมารยาทเกินไป ดังนั้นเชิญตามข้ามาก็แล้วกัน!”
ในเมื่อเผิงติงเทียนรู้ข้อมูลถึงขนาดนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะปกปิดมันต่อไป สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ก็มีแต่ทำให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงด้วยดีเพราะไม่อย่างนั้นตระกูลหลินจะต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่แน่นอน
ในเวลาเดียวกัน หลินหงเหวินก็แอบชำเลืองมองไปที่หลิงตู้ฉิง เพราะเขาแอบหวังลึก ๆ อยู่ในใจว่าชายหนุ่มปริศนาผู้นี้จะช่วยเขาได้อีกครั้ง
ในทางกลับกัน หลิงตู้ฉิงกลับแสดงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเขากลับส่งเสียงของเขาไปยังดวงวิญญาณของหลินหรูซวนโดยตรงว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบกลับข้าหรือแสดงสีหน้าใด ๆ ให้ผิดสังเกต เจ้าแค่ฟังข้าอย่างเดียวพอ เมื่อไปถึงหอคอยเสียงสวรรค์ เจ้าจงเล่นพิณทำนองอะไรก็ได้ที่เจ้าถนัด แต่ไม่ใช่ทำนองที่ข้าสอนและถ้าหากมีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้น เจ้าก็ไม่ต้องกลัวปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าในการแก้ไขพวกมันทั้งหมดเอง”
เนื่องจากตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญและสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์คอยจับตาดูอยู่ หลิงตู้ฉิงจึงไม่กล้าที่จะส่งโทรจิตคุยกับหลินหรูซวน เพราะมันจะถูกจับได้แน่นอน ดังนั้นหลิงตู้ฉิงจึงทำได้แค่ใช้ทักษะวิญญาณสื่อสารพูดกับนางเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าทักษะนี้หลินหรูซวนไม่รู้จักมัน ดังนั้นนางจึงไม่สามารถตอบกลับอะไรเขาได้
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง หลินหรูซวนก็เล่นไปตามบททำหน้านิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาทุกคนก็พากันเดินไปที่หอคอยเสียงสวรรค์ ซึ่งบรรดาคนของตระกูลกงก็ตามไปด้วย
เมื่อเดินขึ้นไปถึงชั้นบนสุด หลินหรูซวนจึงนั่งลงและเริ่มบรรเลงพิณเป็นท่วงทำนองอันไพเราะที่นางชอบเล่นบ่อย ๆ
เมื่อได้ยินท่วงทำนองที่หลินหรูซวนเล่น บรรดาผู้คนของตระกูลหลินต่างก็รู้ได้ทันทีว่าทำนองนี้นั้นไม่ใช่ทำนองที่นางเคยเล่นตอนที่หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะพวกเขาเดาไปว่านางคงไม่อยากให้คนนอกรู้ความลับของตระกูล
แต่ในเมื่อทำนองที่นางเล่นไม่ใช่ทำนองเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงเคยถ่ายทอดให้ หอคอยเสียงสวรรค์จึงไม่เปล่งอำนาจของมันออกมาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ เผิงติงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่นพลางคิดในใจ..
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ส่วนทางด้านของตระกูลกง เมื่อพวกเขาไม่เห็นว่าหอคอยเสียงสวรรค์ตอบสนองอะไรเลยพวกเขาก็ทำได้แต่แสดงสีหน้างุนงง
ในเวลาเดียวกัน ผู้ทรยศของตระกูลหลินที่เป็นคนส่งข่าวให้กับเผิงติงเทียนก็ไม่กล้าที่จะโทรจิตบอกกับเผิงติงเทียนว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าหากเขาส่งโทรจิตออกไปหลินหงเหวินจะต้องจับได้แน่ ๆ ว่าเป็นเขาเองที่เป็นหนอน
แต่น่าเสียดายที่เผิงติงเทียนนั้นไม่สนใจอีกแล้วว่าสายของเขาจะถูกเปิดโปง เขาส่งโทรจิตไปถามทันที “มันเกิดอะไรขึ้นบอกข้ามา? ข้าอยู่ที่นี่ตรงนี้แล้ว ดังนั้นเจ้าสามารถแฉเรื่องทุกอย่างต่อหน้าตระกูลกงได้เลย ข้ารับประกันว่าข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
เมื่อได้ยินคำยืนยันของเผิงติงเทียนเช่นนี้ หนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลหลินผู้หนึ่งจู่ ๆ ก็กระแอมออกมาและพูดว่า “ซวน ทำนองที่เจ้าเล่นตอนนี้มันไม่เหมือนกับที่เจ้าเล่นก่อนหน้าไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนหันไปจ้องหน้าผู้ที่เอ่ยขึ้นเป็นสายตาเดียวกันทันที โดยเฉพาะหลินหงเหวินที่ขมวดคิ้วแน่นและพูดขั้นด้วยน้ำเสียงอาฆาตว่า “ซือหยวน!?”
ผู้ที่พูดขึ้นไม่ใช่คนอื่นไกล แต่เป็นญาติของเขาเองที่ชื่อว่า หลินซือหยวน แถมเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูล ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับเหนือล้ำขั้นสูงสุด
แน่นอนว่าเขาไม่เคยนึกเลยว่าญาติแท้ ๆ ของเขาจะกลายเป็นคนทรยศของตระกูลแบบนี้!
หลินซือหยวยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและพูดว่า “ซวน ตอนนี้ลุงเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะทะลวงระดับขึ้นไปอยู่ที่ระดับนักบุญแล้ว ทำไมเจ้าไม่เล่นทำนองเดิมเหมือนกับเมื่อครั้งที่แล้วเพื่อที่ลุงจะได้ทะลวงระดับขึ้นไปสักที แถมปู่ของเจ้าก็จะได้เข้าใจในพลังแห่งกฎมากขึ้นด้วย?”
เผิงติงเทียนมองไปที่หลินหงเหวินด้วยสายตาเรียบเฉยและพูดว่า “น้องหลิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ให้เกียรติข้าเลยนะที่ทำแบบนี้! เห็นกันอยู่ชัด ๆ ว่าหลานสาวของเจ้าสามารถทำให้หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจได้ แต่ตอนนี้นางกลับแกล้งทำเป็นทำไม่ได้ซะอย่างนั้น! เอาล่ะนับจากนี้ข้าหวังว่านางจะเล่นได้ถูกต้องและทำให้ข้าได้เห็นสักทีว่าหอคอยเสียงสวรรค์ของตระกูลหลินนั้นวิเศษขนาดไหน!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเผิงติงเทียนที่ดูบังคับพวกเขา หลินหงเหวินจึงเริ่มแสดงสีหน้าเย็นชาพลางคิดในใจ
ไอ้สารเลวนี่มันคิดว่ามันเป็นใครถึงได้กล้ามาบังคับหลานสาวของข้าให้ทำนู่นนี่ตามที่มันต้องการในบ้านของข้าแบบนี้?
ส่วนทางด้านของหลินหรูซวนกลับไม่เถียงอะไรเลย นางพยักหน้าอย่างว่าง่ายและเริ่มเล่นต่อด้วยท่วงทำนองที่ถูกต้องเพราะนางเพิ่งได้รับคำสั่งใหม่
“ซวน เจ้าเล่นทำนองที่ข้าถ่ายทอดให้ได้เลย!” เสียงของหลิงตู้ฉิงดังก้องในดวงวิญญาณของนาง
หลังจากที่หลินหรูซวนเล่นท่วงทำนองที่ถูกต้อง หอคอยเสียงสวรรค์ก็เริ่มเปล่งเสียงระฆังที่ทรงอำนาจ ส่งผลให้เผิงติงเทียนและบรรดาผู้คนของตระกูลกงแสดงสีหน้าตื่นเต้นในทันที
แต่แล้วเมื่อทุกคนเข้าสู่สภาวะหยั่งรู้ หลิงตู้ฉิงก็พ่นลมหายใจด้วยสีหน้าเย็นชาและจากนั้นเขาชกลงไปที่หอคอยเสียงสวรรค์อย่างแรงส่งผลให้ระฆังที่อยู่ในหอคอยเสียงสวรรค์ส่งเสียงดังลั่นจนทำให้ทุกคนหมดสติไปในทันที ยกเว้นหลินหรูซวนคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร
“ท่านบรรพบุรุษ…” หลินหรูซวน เมื่อเห็นภาพที่ทุกคนหมดสติไปจนหมด นางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตื่นเต้น เนื่องจากนางได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษนางอีกครั้งแล้ว และครั้งนี้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังหมดสติลงไปด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวเท่านั้น!
หลิงตู้ฉิงโบกมือขัดนางและพูดว่า “เจ้ายังไม่ต้องพูดอะไร ให้ข้าดูก่อนว่าไอ้คนทรยศผู้นี้มันมีสายเลือดเดียวตระกูลหลินจริง ๆ รึเปล่า!”
หลิงตู้ฉิงอยากจะรู้ว่าหลินซือหยวนนั้นมีสายเลือดเดียวกับเขาหรือเปล่า เพราะผลลัพธ์ที่ออกมามันจะเป็นตัวกำหนดชะตาของหลินซือหยวนว่านับจากนี้เขาจะมีชีวิตอยู่เพื่อชดใช้กรรมหรือว่าจะตายอย่างทรมาน!