บทที่ 87 ค่อยเป็นค่อยไป
ผลึกพลังสูญเป็นวัสดุพลังสูญที่หาพบได้ยากยิ่ง และไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างเกราะหรืออาวุธอย่างโลหะดาราสูญ แต่ผลึกพลังสูญนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญของอุปกรณ์สารพัดประโยชน์อย่างแหวนกักเก็บ เครื่องมือสื่อสาร หรือแม้กระทั่งค่ายกลเคลื่อนย้าย
หนึ่งตัวอย่างในการใช้งานผลึกพลังสูญก็คือหุ่นเชิดสื่อสารที่ผ้าเท่อลั่วเค่อมีในครอบครอง ซึ่งหุ่นนี้มีผลึกพลังสูญอยู่ในแก่นของมัน
ผลึกพลังสูญเป็นวัตถุที่หาพบได้ยากยิ่งกว่า แต่โลหะดาราสูญก็เป็นวัตถุพลังจิตที่พลังสูญจะทำลายได้ยากกว่า
แต่ในเมื่อตอนนี้ซูเฉินมั่นใจแล้วว่าเผ่าวิญญาณสามารถใช้งานมันในลักษณะนี้ได้ด้วย เขาก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีอีกต่อไป ชายหนุ่มพลันออกคำสั่งให้เหล่าศิษย์นิกายไร้ขอบเขตตรงเข้าจับเป็นชาวเผ่าวิญญาณทันที
ซูเฉินบุกอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ส่งเผ่าวิญญาณเข้าไปในแดนพลังสูญและสกัดเอาผลึกพลังสูญของพวกเขาออกมาทีละคนก่อนจะจากไป
ด้วยผลึกพลังสูญที่เพิ่งได้มาเหล่านี้ ซูเฉินจึงสามารถสร้างหุ่นเชิดสื่อสารโบราณได้เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายความว่าผ้าเท่อลั่วเค่อก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งเป็นเวลานานอีกต่อไป เมื่อมีหุ่นเชิดสื่อสารโบราณเป็นของตัวเองแล้ว ซูเฉินก็สามารถสื่อสารกับใครและที่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนกายระยะไกลได้ด้วย และประโยชน์จากการที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็จะส่งผลต่อทั้งทวีปต้นกำเนิด
หากคิดเช่นนี้แล้ว เผ่าวิญญาณก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง
เดิมทีนั้นซูเฉินตั้งใจจะทำลายล้างเผ่าวิญญาณทั้งหมดให้สิ้นซาก และทำให้สิ่งมีชีวิตครึ่งผีครึ่งคนนี้สูญพันธุ์ไปเสีย แต่ตอนนี้เมื่อพบประโยชน์ที่น่าทึ่งเช่นนี้แล้ว เขาก็ต้องกลับมาคิดทบทวนถึงคุณค่าของเผ่าวิญญาณอีกครั้ง
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป ช่องแคบวายุเงียบก็ถูกสยบลงโดยสมบูรณ์ และเผ่าวิญญาณทั้งหมดก็ทั้งถูกสังหารและจับตัวไปหมดแล้ว
ซูเฉินไม่ได้ใช้พลังมากนักขณะต่อสู้กับเผ่าวิญญาณ แต่อันที่จริงแล้วเขาเริ่มจะเหนื่อยล้าจากการโยนร่างเหล่านั้นเข้าสู่แดนพลังสูญเสียแล้ว
ขณะที่ร่างของชาวเผ่าวิญญาณถูกโยนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง จำนวนของผลึกพลังสูญที่ซูเฉินมีก็เริ่มจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
เขาเรียกเจียงหานเฟิงเข้ามาและอธิบายถึงแผนการสำหรับค่ายกลเคลื่อนกาย และเมื่อซูเฉินหยิบเอาผลึกพลังสูญออกมา เจียงหานเฟิงก็รู้สึกเข่าอ่อนทันที
จากนั้นการรุกรานของชาวนิกายไร้ขอบเขตก็ดำเนินต่อไป
ถัดไปจากช่องแคบวายุเงียบนั้นเป็นที่ตั้งของที่ราบเส้นทางวงแหวน
ที่ราบเส้นทางวงแหวน ไม่ได้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ป้องกันตามธรรมชาติของอาณาจักรหมองหม่น แต่สภาพภูมิประเทศของพื้นที่บริเวณนี้ก็ค่อนข้างมีลักษณะเฉพาะตัวเช่นกัน เพราะที่ใต้ผืนดินนั้นมีสนามแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ทำให้พื้นผิวของที่นี่เปลี่ยนสภาพไปบ่อยครั้งเหลือเกิน
หรือก็คือ พื้นดินในบริเวณนี้สามารถเคลื่อนตัวไปมาได้ด้วยตัวของมันเอง
นั่นจึงทำให้ที่ราบเส้นทางวงแหวนสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวอยู่แทบตลอดทั้งปี รอยแตกและหลุมลึกปรากฏอยู่ทั่วพื้นผิวของที่ราบแห่งนี้และทำให้มันดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่สามารถอยู่รอดได้
แม้แต่จุดสำคัญและลักษณะต่าง ๆ ของมันก็ยังเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ในที่ราบเส้นทางวงแหวนนั้นมีเผ่าวิญญาณเคยอาศัยอยู่สามกลุ่มด้วยกัน ไม่มีใครเลยที่สามารถอาศัยอยู่ที่เดิมได้นานเพราะสภาพภูมิประเทศที่ผันผวน และพวกเขาก็ต้องอพยพไปยังจุดอื่น ๆ อยู่เรื่อย ๆ
ดังนั้นทางเดียวที่จะหาตัวและจัดการกับเผ่าวิญญาณทั้งสามกลุ่มนั้นได้ทันเวลาก็คือศิษย์นิกายไร้ขอบเขตจะต้องแยกกันออกตามหา
แต่นั่นก็จะเป็นการลดประสิทธิภาพของทัพนิกายไร้ขอบเขตลงด้วย
ศิษย์ระดับสูงของนิกายไร้ขอบเขตเริ่มปรึกษากันในเรื่องนี้
“ความเร็วคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เวลายังผ่านมาไม่ถึงครึ่งวันดีตั้งแต่เราเริ่มโจมตีเผ่าวิญญาณ เป็นไปได้ว่าพวกนั้นอาจยังไม่รู้ว่าเรามาที่นี่ ก็เลยยังไม่มีการรวมตัวกัน ข้าว่าเราไม่ควรเสียเวลาที่ที่ราบเส้นทางวงแหวนนี่ และมุ่งหน้าตรงไปยังถ้ำว่านไหลเลย” หลินเฉ่าเซวียน วาดเส้นตรงลงบนแผนที่โดยบ่งชี้ถึงการมุ่งหน้าผ่านจุดศูนย์กลางของที่ราบเส้นทางวงแหวน ป่าแห่งฝันร้าย สวนภูตผี หุบเขาทรุด และอารามยมทูต ก่อนที่เส้นนั้นจะสิ้นสุดลงที่ถ้ำว่านไหล
ศิษย์ส่วนมากของนิกายไร้ขอบเขตเห็นด้วยกับแผนของหลินเฉ่าเซวียน แต่ก็ยังมีหลายคนเช่นกันที่ไม่คล้อยตามกับความคิดนี้
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่เราจะกวาดล้างพวกเผ่าวิญญาณทั้งหมดได้ภายในครั้งเดียว ข้าเห็นด้วยว่านิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้เป็นทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่ามนุษย์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเผ่าวิญญาณจะไม่สามารถตอบโต้พวกเราได้ พวกนั้นมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปี เราต้องคาดหวังไว้ก่อนว่าพวกเขาอาจมีกลยุทธ์อะไรซ่อนอยู่ก็ได้ หากเราโจมตีโดยไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรเลย อาจเป็นทำอันตรายให้กับพวกเราเองเสียเปล่า ๆ ข้าคิดว่าเราบุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเตรียมการสำหรับการต่อสู้ระยะยาวน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด” ฉือไคฮวงค้าน
ชายชราผู้นี้ให้ความสำคัญกับความแน่วแน่มั่นคงเสมอ และเขาไม่เห็นด้วยกับการทำอะไรอย่างเร่งรีบ
เมื่อเทียบกันแล้ว หลินเฉ่าเซวียนที่เป็นตัวแทนของศิษย์รุ่นใหม่ จึงกลายเป็นชายหนุ่มที่ใจร้อนและเด็ดขาดกว่ามากนัก
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย… เพราะนิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้ทรงพลังและยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้วยวิชาการฝึกที่ซูเฉินได้คิดค้นและยาจำนวนมากอีกสารพัดชนิดที่เขาสร้างขึ้น จึงทำให้การโจมตีจากชาวเผ่าวิญญาณไร้ความหมาย นอกจากนั้นแล้ว จำนวนของผู้ฝึกตนระดับสูงก็ยังทำให้ทั้งนิกายดูเหมือนจะไร้เทียมทานอีกด้วย ซึ่งตราบใดที่พวกเขาไม่ได้พยายามจะโจมตีสถานที่ที่มีการตั้งป้อมปราการแน่นหนาอย่างเมืองล่องนภาแล้ว นิกายไร้ขอบเขตก็แข็งแกร่งพอที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้ตามที่ใจต้องการได้
เผ่าวิญญาณนั้นเทียบกับพวกเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ด้วยพลังมากมายที่สามารถใช้ได้อย่างไม่ต้องสงวนไว้ หลี่ฉงซานจึงเลือกที่จะจัดการภารกิจให้เสร็จสิ้นภายในครั้งเดียว
แต่กระนั้น ความคิดเห็นของฉือไคฮวงก็เป็นสิ่งที่น่าเก็บมาคิดเช่นกัน
ไม่มีใครรู้ว่าเผ่าวิญญาณจะมีกลเม็ดอะไรซ่อนอยู่บ้าง หากพวกเขาบุ่มบ่ามเข้าไปในเขตแดนของศัตรูโดยไม่รู้ถึงพลังของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็ไม่แปลกเลยที่นั่นอาจเป็นการนำหายนะเข้ามาหาตัวเองก็ได้
ดังนั้นข้อเสนอของฉือไคฮวงจึงได้รับการสนับสนุนมากพอสมควรทีเดียว
ซูเฉินครุ่นคิดก่อนจะกล่าวขึ้น “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นทำไมเราไม่ลองคิดดูก่อนล่ะว่าพวกนั้นอาจมีกลเม็ดอะไรซุกซ่อนอยู่บ้าง”
นั่นเป็นเรื่องยากนักที่จะคาดเดาได้
เจียงหานเฟิง กล่าวขึ้นทันที “อาจเป็นค่ายกลที่ทรงพลังเป็นพิเศษก็ได้”
หลี่ฉงซานก็ตั้งสมมติฐานขึ้นเช่นกัน “หรืออาจเป็นสภาพแวดล้อมแปลก ๆ ที่อันตรายเป็นพิเศษ”
ฉู่อิงหว่านก็มีความคิดบางอย่างเช่นกัน “อาจจะเป็นวิชาในตำนานบางอย่างก็ได้”
จูเซียนเหยาก็ไม่น้อยหน้า “พวกนั้นอาจมีความช่วยเหลือลึกลับ…จากพันธมิตรที่แข็งแกร่งก็ได้”
คำตอบของกู่ชิงลั่วดูจะน่าสนใจที่สุด “ในถ้ำว่านไหลนั่นอาจมีเทพอสูรบรรพกาลสักตัวหลับใหลอยู่ก็ได้”
ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง และทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ไม่มีใครรู้ว่าแผนการหรือเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่เผ่าวิญญาณอาจนำมาใช้นั้นมีอะไรบ้าง แต่ไม่ช้าชาวนิกายไร้ขอบเขตก็รู้ว่าความเป็นไปได้ละวิธีการที่ฝ่ายตรงข้ามจะพลิกสถานการณ์ได้นั้นมีมากมายเหลือเกิน
หากทัพนิกายไร้ขอบเขตไม่ระมัดระวังมากพอ พวกเขาเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องกลายเป็นเหยื่อที่ติดกับดักเสียเองในท้ายที่สุด
ซูเฉินใช้วิธีการแสนธรรมดาในการช่วยให้ทุกคนตระหนักถึงอันตรายที่อาจต้องเผชิญในเส้นทางข้างหน้า และเมื่อมีใครบางคนพูดถึงอันตรายในรูปแบบต่าง ๆ ศิษย์หลายคนที่มั่นใจเกินไปหน่อยก็รู้สึกตัวและดูจะสงบเสงี่ยมลง
เมื่อเห็นว่าทุกคนใจเย็นลงแล้ว ซูเฉินจึงกล่าวต่อไป “ดูเหมือนว่าทุกคนจะเข้าใจตรงกันแล้วนะ ยอดไปเลย แม้ว่าเราจะได้รับชัยชนะมาแล้วในการต่อสู้เบื้องต้นก่อนหน้านี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะปัจจัยหลายอย่างนั้นเข้าข้างเราด้วย ไม่ช้าถ้ำว่านไหลก็จะได้รับแจ้งว่ามีมนุษย์บุกรุกเข้ามาในเขตแดน และพวกเขาก็จะตอบสนองในทันที ตอนนี้เราจะต้องให้ความสำคัญกับการยึดดินแดนมากที่สุด แต่ก็ต้องทำให้พวกเผ่าวิญญาณไม่สามารถฟื้นกลับมาพลิกสถานการณ์ได้อีก และเก็บข้อมูลให้ได้มากที่สุด และรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเผ่าวิญญาณมีจำนวนน้อยกว่าอยู่แล้ว และทุกครั้งที่เราสังหาร ก็จะลดความอันตรายลงไปได้ทีละน้อย ในฐานะที่ต่างเผ่าพันธุ์กัน เราไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเจรจากับพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเราจะค่อย ๆ ต้อน และยึดอาณาจักรไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสามารถกำจัดพวกนั้นได้ทั้งหมด !”
ซูเฉินให้ข้อสรุปกับการถกถึงปัญหาในการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
วิธีการโจมตีของนิกายไร้ขอบเขตได้ถูกตัดสินแล้ว พวกเขาจะไม่มุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร่งรีบ แต่ชาวนิกายไร้ขอบเขตจะค่อย ๆ ต่อสู้ไปอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง และให้ความสำคัญกับการทำลายเสบียงและรากฐานของฝ่ายตรงข้ามแทน
เมื่อได้รับคำสั่งแล้ว วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับ ที่ราบเส้นทางวงแหวน ก็ชัดเจนกับทุกคน
แบ่งทัพกันและยึดดินแดนมาให้ได้ !
การยึดเขตแดนบริเวณที่ราบเส้นทางวงแหวนได้เริ่มขึ้นแล้ว…
ในอาณาจักรหมองหม่น ตอนนี้มีศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งหมดถึงหกหมื่นคนด้วยกัน สองหมื่นสามพันคนในนั้นเป็นผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดาร และสองพันคนในนั้นเป็นผู้ฝึกตนด่านผลาญจิตวิญญาณ ซึ่งก็คือกำลังสำคัญของทัพนิกายไร้ขอบเขต ในบรรดาศิษย์ที่เหลืออีกสามหมื่นห้าพันคนนั้น มีสามพันคนที่เป็นผู้ฝึกตนด่านทะลวงลมปราณ ผู้ซึ่งได้รับหน้าที่ในการจัดการกับเรื่องที่สำคัญรองลงมา รวมถึงดูแลค่ายกลและเก็บกวาดให้กับกองกำลังหลัก รวมถึงช่วยเหลือศิษย์คนอื่น ๆ ในช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังทำหน้าที่เป็นทหารให้กับทัพนี้อีกด้วย และเมื่อพวกเขาบรรลุสู่ด่านสู่พิสดารแล้ว ก็จะได้รับการเลื่อนขั้นให้ไปทำหน้าที่ในกองทัพหลักทันที
ศิษย์ที่เหลืออีกจำนวนห้าพันคนนั้นเป็นผู้ฝึกตนในระดับที่ต่ำกว่าด่านทะลวงลมปราณ คนกลุ่มนี้จะมีหน้าที่หลักในการขนส่ง เช่น บังคับทิศทางเรือ พระราชวัง รวมถึง เรือเคลื่อนเมฆา การผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างเครื่องมือต้นกำเนิด หุ่นเชิด และยา อีกทั้งยังจัดการในสิ่งที่จำเป็นสำหรับความเป็นอยู่ อย่างเช่นเรื่องอาหารการกินอีกด้วย
เมื่อแผนการโดยรวมได้ถูกวางไว้แล้ว พลรบทั้งหมดหกหมื่นชีวิตก็ถูกแบ่งออกเป็นสิบกองทัพที่ออกสำรวจไปทั่วทั้งที่ราบแห่งนั้นเพื่อค้นหาเผ่าวิญญาณทั้งสามกลุ่ม ซึ่งยิ่งพวกเขาหาพบเร็วเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้น แม้ว่าจะตัดสินดำเนินการทุกอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่นิกายไร้ขอบเขตก็หวังว่าจะใช้ความประหลาดใจให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
กองทัพทั้งสิบแยกกันออกไปทุกทิศทางเพื่อทำภารกิจค้นหา โดยแต่ละกองทัพนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นอีกหกหน่วย ซึ่งทั้งหกหน่วยนี้ก็จะประกอบไปด้วยกองทหารขนาดเล็กอีกสิบกองด้วยกัน กองทหารเหล่านี้เป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดและจะมีทหารจำนวนหนึ่งร้อยคน ซึ่งเป็นจำนวนคนที่น้อยที่สุดที่จะยังสามารถต่อกรกับเผ่าวิญญาณได้นั่นเอง
เยี่ยเฟิงหานเป็นผู้นำกองทหารที่สี่ของกองทหารขุนเขาซ่อนเร้น
เขาเป็นรองจากฉางเหอในการนำทัพนี้
ชายทั้งสองกลับมายังนิกายไร้ขอบเขตหลังจากที่จัดการเรื่องหลินจุ้ยหลิวเสร็จสิ้นได้ไม่นาน จากนั้นทั้งคู่ก็ออกรบกับหลินเฉ่าเซวียนเมื่อครั้งที่ปะทะกับอาณาจักรหลงซาน ก่อนที่จะกลับมาและร่วมรบเพื่อกำจัดเผ่าวิญญาณในครั้งนี้
ด้วยความสำเร็จที่เยี่ยเฟิงหานได้ทำมาจนถึงตอนนี้นั้น ถือว่าเขามีคุณสมบัติมากเกินพอที่จะเป็นผู้นำกองทหาร หรืออาจจะทั้งกองทัพเลยด้วยซ้ำ
ทว่าเยี่ยเฟิงหานไม่ได้มีความสนใจในการสร้างอำนาจแต่อย่างใด เขาใช้ความสำเร็จทั้งหมดที่สั่งสมมานั้นไปกับทรัพยากรในการฝึกทักษะต้นกำเนิด และอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนั้นสถานะในนิกายของตัวเขาจึงยังอยู่ในระดับเดิม แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของเยี่ยเฟิงหานก็ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ตอนนี้เขาสามารถสร้างแท่นบงกชได้ถึงเจ็ดแท่น และยังได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสมาชิกกองทัพด่านผลาญจิตวิญญาณอีกด้วย
ฉางเหอเองก็พัฒนาไปมาก เขาสร้างแท่นบงกชได้ถึงเจ็ดแท่นเช่นเดียวกัน
และแม้ว่าพลังจะเพิ่มขึ้น ฉางเหอก็ยังคงช่างพูดช่างจาอย่างที่เคยเป็น ไม่ว่าสิ่งที่พูดนั้นจะมีแก่นสารหรือไม่ก็ตาม
“นี่ เจ้ารู้หรือยังว่ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นตรงที่ที่แลกคะแนนผลงานด้วยล่ะ”
“อะไรหรือ ?”
“ก็กล่องสื่อสารที่มีขนาดประมาณฝ่ามือนั่นไง มันทำให้เจ้าสามารถสื่อสารกับใครก็ได้ที่อยู่ในระยะรัศมีไม่เกินหมื่นลี้เชียวนะ แต่ก็ยังมีข้อกำหนดบางอย่างในการครอบครองกล่องนี่ด้วย และเจ้าก็ต้องจำรหัสผ่านพิเศษของมันอีกต่างหาก ฟังดูยุ่งยากทีเดียว”
เยี่ยเฟิงหานสวนทันควัน “เจ้านี่เชื่อในรูปลักษณ์ภายนอกง่ายจริง ๆ ถึงกล่องสื่อสารนั่นจะเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นสักหน่อย ไม่มีประโยชน์เลยที่จะเอาคะแนนผลงานไปแลกของแบบนั้น”
ฉางเหอตอบกลับด้วยความไม่พอใจ “อย่าคิดอคตินักสิ นอกจากการฝึกตนแล้ว เจ้าก็ต้องมีสิ่งบันเทิงเอาไว้บ้างน่า คิดดูสิ เราจะสามารถสื่อสารกับเยี่ยเม่ยเมื่อไรก็ได้ด้วยกล่องนี้นะ”
เมื่อได้ยินชื่อของเยี่ยเม่ย เยี่ยเฟิงหานก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันที แต่กระนั้นสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งอย่างเดิม “เจ้าจะคุยกับนางทำไม”
“โธ่ เจ้านี่ไม่ได้เรื่องจริง ๆ เยี่ยเม่ยนางเป็นคนดีนะ ถึงนางจะไม่ฉลาดสักหน่อย แล้วก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ไปบ้า และ…”
ฉางเหอเหมือนจะพูดไม่ออกเมื่อรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดไปจากปกติ
หลังจากหยุดชะงักไป เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น “อันที่จริงแล้ว เจ้าเอากล่องนั่นมาโดยไม่ต้องเสียคะแนนผลงานเลยก็ได้ ข้าได้ยินว่าทหารกลุ่มแรกที่พบเผ่าวิญญาณจะได้รับรางวัลเป็นกล่องสื่อสาร… ข้าว่ามันคงเป็นของที่มีค่าอยู่เหมือนกัน เขาน่าจะให้พวกเรามาเลย… โดยที่ไม่ต้องเอาไปเป็นรางวัลแบบนั้น”
เยี่ยเฟิงหานเหลือบมองด้วยความรำคาญใจ “ของนี่จะต้องสร้างขึ้นยากมากแน่ ถ้าเขาให้พวกเราส่ง ๆ แบบที่เจ้าว่า ใครกันล่ะที่จะเป็นคนตัดสินว่าผู้ที่ได้รับควรเป็นใคร แบบนั้นก็จะเป็นเรื่องให้ต้องขัดแย้งกันอีก ที่เขาทำตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ข้าได้ยินมาด้วยว่ากล่องสื่อสารพวกนี้ทำขึ้นจากวัสดุอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณ ยิ่งเราจับเป็นพวกนั้นได้มาก เราก็จะมีกล่องสื่อสารเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการจับเป็นพวกเผ่าวิญญาณก็น่าจะทำให้ได้คะแนนผลงานมากกว่าสังหารพวกนั้น”
ฉางเหอคิดว่าคำตอบของเยี่ยเฟิงหานนั้นช่างน่าขันนัก “ฮ่า ! แม้แต่คนเย็นชาอย่างเจ้าก็ยังสนใจกล่องพวกนี้ด้วย ! ยังจะปฏิเสธอีกหรือ”
เยี่ยเฟิงหานไม่สนใจ เขากล่าวต่อว่า “ข้าก็แค่คิดว่า ด้วยกล่องนี่ เราน่าจะสามารถรายงานสิ่งที่พบได้ง่ายขึ้น”
“อย่าขวางโลกนักเลยน่า ! ข้ารู้ว่าเจ้าก็แค่อยากคุยกับเยี่ยเม่ย”
เยี่ยเฟิงหานรู้สึกว่าฉางเหอชักจะไร้สาระมากขึ้นทุกที ยิ่งในตอนนี้ที่ฉางเหอพูดในสิ่งที่เขาคิด ช่างน่ารำคาญอะไรอย่างนี้นะ !