บทที่ 88 สุดยอดค่ายกล
ที่ราบเส้นทางวงแหวน มีตำแหน่งของสถานที่ที่ซับซ้อนอันเนื่องจากมากการเคลื่อนตัวและเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิประเทศ การเดินทางจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก
ขณะที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปตามทางนั้น พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงครืนที่ดังขึ้นจากใต้ผืนดิน และรู้ทันทีว่าพื้นของที่ราบแห่งนี้กำลังเคลื่อนที่อีกครั้ง เหล่าทหารพากันเหาะขึ้นไปในอากาศ และคนที่ไม่สามารถเหาะได้ก็จะรีบเข้าไปในเรือเคลื่อนเมฆาทันที – ความมั่งคั่งของนิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้นั้นเรียกว่าไร้ขีดจำกัด ดังนั้นแม้แต่ศิษย์ในระดับล่าง ๆ ก็ยังได้รับเรือเคลื่อนเมฆาด้วยเช่นกัน
พื้นดินเริ่มแปรสภาพแทบจะในทันทีหลังจากที่ทุกคนหลบออกไป
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นดูราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังขยับตัวไปมาอยู่ข้างใต้ และมันทำให้สภาพภูมิประเทศในบริเวณใกล้เคียงเปลี่ยนแปลงไปในทันที ‘ฟันเฟือง’ ของที่ราบเส้นทางวงแหวนเริ่มจะ ‘หมุน’ และทำให้เทือกเขาทั้งหลายเริ่มกลายเป็นพื้นราบ รวมถึงบริเวณอื่น ๆ ที่มีลักษณะเปลี่ยนไปอีกมากมาย
การแปรสภาพที่แทบจะเปลี่ยนที่นี่ไปโดยสิ้นเชิงนั้นดูน่าตื่นตาตื่นใจและน่าประทับใจทีเดียว
ต้องขอบคุณยิ่งนักที่การเคลื่อนของแผ่นดินไม่ได้รุนแรง ทำให้ทุกคนไม่ได้รับอันตรายแม้แต่น้อย
ขณะที่มองดูปรากฏการณ์ประหลาดอยู่นั้น แผ่นดินขนาดใหญ่ก็พลันลอยตรงเข้ามาจากกลางอากาศ… บนแผ่นดินนั้นมีจุดดำ ๆ กระจายตัวอยู่มากมาย ซึ่งเมื่อมันเข้ามาใกล้มากขึ้นก็จะเห็นได้ว่าจุดสีดำเหล่านั้น แท้จริงแล้วเป็นบางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายโลงศพขนาดเล็ก
“สุสานเผ่าวิญญาณ ! เราพบแล้ว !” ฉางเหอร้องขึ้นด้วยความยินดี
สุสานเผ่าวิญญาณปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเขา
สุสานนั้นเคลื่อนที่มาพร้อมกันพื้นดินที่ด้านล่างและดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใด ๆ จากการเคลื่อนไหวเลย
สิ่งแรกที่เยี่ยเฟิ่งหานทำเมื่อพบสุสานนี้ก็คือรายงานให้กับผู้บังคับบัญชาของตัวเองทราบ จากนั้นจึงปักหลักรออยู่ตรงนั้นจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง
ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็พบว่ามีแผ่นดินอีกก้อนหนึ่งที่ลอยมาพร้อมกับกลุ่มเผ่าวิญญาณปรากฏขึ้นที่อีกทางหนึ่ง
“บรรลัยสิ แผ่นดินพวกนั้นเปลี่ยนทิศทางได้ด้วยหรือนี่” ฉางเหอมองดูผืนดินพุ่งตัวออกไปในหลายทิศทาง เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“อย่ามัวพูดมากเลยน่า เร็วเข้าเถอะ” เยี่ยเฟิงหานเร่ง
กำลังเสริมที่กำลังมุ่งหน้ามานั้นรู้ตำแหน่งของกองทหารนี้ พวกเขาจึงสามารถตามกองทหารไปได้ แต่กองทหารของเยี่ยเฟิงหานก็ต้องระวังไม่ให้คลาดกับเป้าหมายด้วยเช่นกัน
กองทหารจำนวนหนึ่งร้อยคนคอยติดตามดูแผ่นดินที่เคลื่อนไปมาอยู่อย่างระมัดระวังและไม่เข้าใกล้พวกมันมากจนเกินไป
ทันใดนั้นกลุ่มเผ่าวิญญาณก็หยุดเคลื่อนไหว
แผ่นดินนั้นยังคงไม่หยุดนิ่ง แต่สุสานเผ่าวิญญาณหยุดลงที่ใกล้กับหุบเขาราวกับว่าเป็นการหยุดเรือเพื่อส่งผู้โดยสาร
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเฟิงหานได้รู้ว่ากลุ่มของชนเผ่าวิญญาณนั้นสามารถหยุดเคลื่อนที่ได้ตามที่ต้องการ
หลังจากกลุ่มนั้นหยุดลง ร่างแยกหลายร้อยร่างก็ลอยขึ้นจากโลงศพและมุ่งหน้าไปยังหุบเขา
“พวกนั้นทำอะไรกัน”
ฉางเหอส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ เผ่าวิญญาณน่ะทำอะไรลับ ๆ เสมอ ใครจะไปสนว่าพวกนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ พอกำลังเสริมของเรามาถึง เราก็จะกำจัดพวกนั้นแล้ว”
เยี่ยเฟิงหานได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “เผ่าวิญญาณชอบที่จะอยู่โดยลำพังมากกว่า และพวกนั้นก็แทบไม่ไปไหนกันเป็นกลุ่มใหญ่ด้วย ปกติแล้วพวกเขามักแก้ปัญหากันด้วยตัวเอง แปลกมากที่พวกนั้นไปไหนกันเป็นกลุ่มแบบนั้น และในสถานการณ์…….”
เยี่ยเฟิงหานรู้ว่าเผ่าวิญญาณนั้นมีวิธีการสื่อสารที่แปลกประหลาด อย่างไรแล้วทั่วเหมิงข่าตัวก็ได้เตรียมการโจมตีไว้แล้วเมื่อพวกเขามาถึง
แม้ว่าช่องแคบวายุเงียบจะห่างไกลจากที่ราบเส้นทางวงแหวนค่อนข้างมาก และเผ่าวิญญาณก็ไม่น่าจะสามารถสื่อสารกันได้ผ่านระยะทางที่ไกลถึงเพียงนั้น แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพวกเจาอาจมีวิธีการมากมายที่ซ่อนไว้ก็ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรจับตามองการเคลื่อนไหวของเผ่าวิญญาณเป็นอย่างดี
และเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเยี่ยเฟิงหานจึงพูดขึ้น “เราต้องเข้าไปดู”
ฉางเหอตกใจไม่น้อย “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าตายแน่ถ้าทำแบบนั้น !”
“ถ้าพวกนั้นกำลังทำอะไรที่จะเป็นการขัดขวางการเดินทางของพวกเราล่ะ เราจะยืนดูอยู่ตรงนี้เฉย ๆ หรือไรกัน” เยี่ยเฟิงหานเถียง
ฉางเหอตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ “ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ต่อให้เราเข้าไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เจ้าคงไม่คิดว่ากองทหารเล็ก ๆ จะทำอะไรได้หรอกใช่ไหม”
“ใครจะไปรู้” เยี่ยเฟิงหานตอบพร้อมกับดิ่งกลับลงไปยังพื้นดินเบื้องล่าง
เขาไม่ได้เหาะ และไม่ได้พยายามจะปิดบังตัวเองเลย เยี่ยเฟิงหานกลับค่อย ๆ เดินเท้าไปเรื่อย ๆ แทน ซึ่งการทำเช่นนี้จะสามารถจำกัดสิ่งรบกวนรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับรู้ถึงพลังต้นกำเนิดและพลังจิตของเผ่าวิญญาณนั้นทำงานได้เป็นเลิศ และพวกเขาก็จะสังเกตเห็นถึงความผันแปรของมวลพลังที่ผิดปกติได้อย่างง่ายดาย แต่พลังต้นกำเนิดและพลังจิตที่แสนอ่อนไหวก็ยังทำให้ความสามารถในการตรวจจับโดยทั่วไปของพวกเขามีจำกัดด้วย การอาศัยอยู่ในดินแดนที่แตกต่างไปจากปกติเป็นเวลานานนั้นทำให้สภาพทางกายภาพของดวงตาแทบจะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
ดังนั้นแล้ววิธีการที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปใกล้เผ่าวิญญาณก็คือการไม่ใช่พลังต้นกำเนิดใด ๆ และเดินเข้าไปเฉย ๆ นี่คือหนึ่งในวิธีการที่มนุษย์เรียนรู้จากการต่อสู้กับเผ่าวิญญาณมานานนับล้านปี
เยี่ยเฟิงหานเดินไปอย่างระมัดระวังในทุกย่างก้าว
ตอนนี้พื้นดินที่แปรสภาพกำลังเริ่มสงบลงบ้างแล้ว
การแปรสภาพในครั้งนี้ทำให้เกิดหุบเหวขึ้นมากมาย เยี่ยเฟิงหานใช้ประโยชน์จากรอยแยกและซอกเขาเหล่านี้เพื่อซ่อนตัวขณะมุ่งหน้าไป ไม่ช้าเขาก็มาถึงยังสุสานเผ่าวิญญาณ
จากตรงนั้น ชายหนุ่มสามารถมองเห็นเผ่าวิญญาณกลุ่มใหญ่ที่มารวมตัวกันได้อย่างชัดเจน
ที่ตรงกลางนั้นมีค่ายกลต้นกำเนิดขนาดใหญ่ที่สมบูรณ์แล้วกำลังส่องประกายราวกับดวงดาวบนฟ้าในยามราตรี
เผ่าวิญญาณกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่รอบค่ายกล โดยมีชาวเผ่าวิญญาณระดับสูงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางพร้อมกับสวดบางอย่างด้วยเสียงแผ่วเบา ในขณะเดียวกันนั้นคลื่นพลังจิตก็เริ่มกระจายออกไปในทุกทิศทางด้วย
คลื่นพลังเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นได้ แต่มันแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างมากทีเดียว หากเยี่ยเฟิงหานไม่ได้ฝึกเคล็ดวิชาจิตแท้และวิชากำแพงใจ เขาเองก็คงถูกพบตัวไปแล้ว แม้จะมีความสามารถ แต่เยี่ยเฟิงหานก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้เมื่อคลื่นพลังจิตนั้นสัมผัสผ่านร่างกายของเขา
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ชายหนุ่มยังสามารถสัมผัสได้อีกด้วยว่ากระแสพลังจิตที่แปรปรวนยังถูกส่งตอบกลับมาจากที่ไกลออกไปอีกด้วย
เยี่ยเฟิงหานหยุดชะงักไปทันที
ในตอนแรกนั้น ดูเหมือนว่าจะมีสุสานเผ่าวิญญาณเท่านั้นที่เคลื่อนที่มา แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเผ่าวิญญาณอื่น ๆ ใน ที่ราบเส้นทางวงแหวน ก็เคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ด้วยเช่นกัน
เยี่ยเฟิงหานขนลุกชันไปหมด
เป้าหมายอะไรกันที่จะสามารถทำให้เผ่าวิญญาณทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในที่ราบเส้นทางวงแหวนร่วมมือกันได้เช่นนี้
นิกายไร้ขอบเขต !
ต้องเป็นนิกายไร้ขอบเขตอย่างแน่นอน !
เผ่าวิญญาณได้รับข่าวเรื่องการมาถึงของนิกายไร้ขอบเขตแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย พวกนั้นรับรู้เรื่องนี้เร็วกว่าที่ฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตคาดคิดเอาไว้มาก อีกทั้งยังได้เริ่มเตรียมรับมืออย่างมีระบบอีกด้วย
เยี่ยเฟิงหานไม่รู้ว่าเผ่าวิญญาณจะใช้ยุทธวิธีอะไรในการโต้ตอบ แต่รู้เพียงว่าเขาจะไม่มีทางปล่อยให้พวกนั้นทำมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน
เมื่อคิดดังนั้นแล้วเยี่ยเฟิงหานก็ตัดสินใจได้ในทันที
เขาค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้สุสานมากขึ้น
เมื่อฉางเหอเห็นเช่นนั้นก็ร้อนรนจนแทบเสียสติ
นี่เจ้านั่นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน คิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
แย่หน่อยที่เขาไม่สามารถร้องเรียกเยี่ยเฟิงหานได้เพราะอยู่ไกลเกินไป จึงทำได้เพียงมองดูเยี่ยเฟิงหานมุ่งหน้าเข้าไปหาสุสานเผ่าวิญญาณเท่านั้น
และเพราะเผ่าวิญญาณทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในหุบเขา ที่สุสานจึงไม่มีใคร มีเพียงหุ่นเชิดที่ไร้ซึ่งชีวิตจิตใจเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้เพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน
เยี่ยเฟิงหานระบุเส้นทางในสุสานแห่งนั้นได้อย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าไปยังสิ่งก่อสร้างรูปทรงพีระมิดที่ตรงกลางโดยไม่รอช้า
มันคือหอวิญญาณ ที่ซึ่งเผ่าวิญญาณใช้ในการจัดการเรื่องทางการทั้งหลาย เนื่องจากชาวเผ่าวิญญาณนั้นรักสันโดษ และพวกเขาก็ยังสามารถสื่อสารผ่านกระแสจิตได้ จึงไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมายนัก หอวิญญาณเพียงแห่งเดียวก็มากเกินพอแล้วสำหรับการจัดการปัญหาทางการเมืองทั้งหลาย ซึ่งเผ่าวิญญาณก็ถือว่าเหนือกว่าชาวมนุษย์ในด้านนี้
แต่เพราะเหตุนี้ หอวิญญาณจึงถือเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของพวกเขาด้วย
หากต้องการจะสร้างสถานการณ์ การพุ่งเป้าไปที่หอวิญญาณก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว
เมื่อไปถึงหอวิญญาณแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็สังเกตเห็นว่ามีเผ่าวิญญาณระดับล่างคอยเฝ้าสังเกตการณ์และคุ้มกันอยู่ที่ด้านนอก
เยี่ยเฟิงหานมั่นใจทีเดียวว่าเขาจะสามารถจัดการกับผู้คุมคนนี้ได้ แต่ก็คงจะยากหน่อยที่จะต้องทำโดยไม่ให้เผ่าวิญญาณที่รวมตัวกันอยู่ ณ หุบเขารู้ตัว
หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็หยิบเอาสิ่งของอย่างหนึ่งออกมาจากแหวนต้นกำเนิดของเขา มันคือผลึกที่มีรูปร่างเหมือนหยดน้ำ
สิ่งนี้คือ ผลึกฝันร้าย นั่นเอง มันคือผลึกชนิดพิเศษที่สามารถปล่อยคลื่นพลังจิตชนิดพิเศษได้ และเป้าหมายที่ถูกโจมตีโดยผลึกฝันร้ายก็จะสับสนไปชั่วขณะ ผลึกที่ร้ายกาจนี้สามารถบรรจุพิษชนิดพิเศษที่สามารถส่งผลโดยเฉพาะต่อร่างวิญญาณได้อีกด้วย
ยังมีสิ่งของอีกอย่างที่ซูเฉินได้คิดค้นขึ้นเพื่อใช้จัดการกับเผ่าวิญญาณ ทว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถสร้างมันขึ้นได้เป็นจำนวนมากเพราะราคาที่สูงลิ่วของมัน ศิษย์ทั้งหลายจึงต้องแลกมันมาด้วยคะแนนผลงาน
เยี่ยเฟิงหานต้องจ่ายมากพอสมควรเพื่อแลกสิ่งนี้มา เดิมทีนั้นเขาคิดจะใช้มันเพื่อช่วยชีวิตตัวเอง ตอนนี้เมื่อต้องนำออกมาใช้ในสถานการณ์อื่น เขาจึงอดไม่ได้ที่จะลังเล
เยี่ยเฟิงหานกัดฟันและโยนผลึกฝันร้ายออกไป
ฝ่ายเผ่าวิญญาณคนนั้นอ้าปากปล่อยคลื่นพลังจิตออกมาแทบจะในทันที
โชคร้ายที่เมื่อคลื่นพลังจิตกำลังเริ่มแผ่รัศมีออกไป ผลึกฝันร้ายก็ปะทะเข้ากับร่างของเขาเช่นกัน
ร่างนั้นถูกแช่แข็งทันทีที่สัมผัสกับผลึกนั้น แสดงให้เห็นว่าผลึกฝันร้ายสามารถแสงอิทธิฤทธิ์ออกมาได้ด้วยตัวของมันเอง และคลื่นพลังจิตที่ถูกส่งออกมาเมื่อครู่นี้ก็หยุดลงในทันใด
เผ่าวิญญาณที่รวมตัวกันในหุบเขาสามารถสัมผัสถึงพลังจิตที่ถูกขัดขวางนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
เผ่าวิญญาณระดับสูงที่นั่งอยู่ในค่ายกลพลันหันมาและกล่าวขึ้น “ข้าว่าเมื่อกี้นี้ข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังจิตจากหลิงเตอ”
“ข้าก็เหมือนกัน ท่านผู้เฒ่าเค่อหลู่เท่อ แต่มันไม่ได้รุนแรงนัก เขาน่าจะไม่ได้ตั้งใจ” เผ่าวิญญาณอีกคนตอบ
“อาจใช่ก็ได้ แต่นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ……” เค่อหลู่เท่อหยุดคิดก่อนจะออกคำสั่ง “อี้…เจ้าไปดูหน่อย”
เผ่าวิญญาณคนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังหอวิญญาณตามคำสั่งทันที
ในระหว่างนั้น เยี่ยเฟิงหานก็ก้าวออกมาจากหอวิญญาณ หลังจากที่ได้จัดการกับผู้คุมด้านนอกเรียบร้อยแล้ว
เดิมทีนั้นแผนการของเขาก็คือการทำลายหอวิญญาณ และสร้างสถานการณ์เพื่อดึงความสนใจของเผ่าวิญญาณในหุบเขากลับมาเพื่อให้แผนการของพวกเขาดำเนินช้าลง และเป็นการซื้อเวลาให้กับกำลังเสริมของนิกายไร้ขอบเขตที่ยังเกินทางมาไม่ถึง ทว่าทันทีที่เขาก้าวเข้าไปข้างใน เยี่ยเฟิงหานก็รู้ทันทีว่าที่นี่เต็มไปด้วยอักขระค่ายกล
ทั้งหกมุมของแต่ละค่ายกลนั้นมีเผ่าวิญญาณนั่งอยู่คนหนึ่ง ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ที่มีพลังในระดับกลางทั้งสิ้น
เมื่อเยี่ยเฟิงหานปรากฏกายขึ้น เผ่าวิญญาณทั้งหกก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว…ทุกคนต่างตกตะลึง
เยี่ยเฟิงหานก็ไม่คิดเช่นกันว่าจะมีฝ่ายตรงข้ามอยู่ในหอวิญญาณ และเขาก็ตะลึงเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายมองหน้ากันโดยพูดอะไรไม่ออก
เยี่ยเฟิงหานยิ้มแหย “ขอโทษที ข้าน่าจะมาผิดทางแล้วละ”
ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับก้าวถอยหลังออกไปจากหอวิญญาณทีละน้อย
น่าประหลาดใจยิ่งนักที่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ไล่ตามเขา……
นี่มันอะไรกัน
เยี่ยเฟิงหานคิดในใจและรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ความสงสัยใครรู้ชนะใจเขา และเยี่ยเฟิงหานก็รีบกลับไปยังที่เกิดเหตุโดยไม่รอช้า
เผ่าวิญญาณทั้งหกยังคงนั่งอยู่กลางค่ายกลต้นกำเนิด…ทั้งหมดนั่งนิ่งไม่ไหวติง เมื่อเห็นว่าเยี่ยเฟิงหานปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นตระหนกทันที
ฝ่ายเยี่ยเฟิงหานเห็นดังนั้นก็พอใจ “พวกเจ้าขยับไม่ได้สินะ”
เขาก้มหน้าลงและมองดู อักขระค่ายกลที่บนพื้นนั้นกำลังพุ่งหน้าไปยังหุบเขา
“อย่างนี้นี่เองสินะ……อันนี้กับอันนั้นก็เหมือนกันอย่างนั้นใช่ไหม เดี๋ยวนะ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้” จู่ ๆ เยี่ยเฟิงหานก็นึกขึ้นได้ถึงคลื่นพลังจาง ๆ ที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้
ความเข้าใจบางอย่างพลันผุดขึ้นในใจของเขา “ค่ายกลขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ถึงครึ่งหนึ่งของ ที่ราบเส้นทางวงแหวน……ความสามารถในการรวบรวมสติปัญญาของเผ่าวิญญาณนั้นหาที่เปรียบไม่ได้ ที่สภาพภูมิประเทศเปลี่ยนไปก็อาจเป็นฝีมือพวกนั้นด้วยก็เป็นได้สินะ”
สายตาที่หวาดกลัวของฝ่ายตรงข้ามทำให้เยี่ยเฟิงหานรู้ทันทีว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
ยิ่งค่ายกลต้นกำเนิดมีขนาดใหญ่มาก พลังต้นกำเนิดในสิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ต้องถูกใช้ไปมากขึ้นด้วย และนั้นก็จะทำให้มันแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
เยี่ยเฟิงหานไม่รู้เลยว่าค่ายกลนี้เป็นค่ายกลประเภทไหนกันแน่ แต่เมื่อคิดถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของมัน รวมถึงจำนวนเผ่าวิญญาณที่จำเป็นสำหรับการใช้งานค่ายกลนี้ เขาก็รู้ถึงความทรงพลังของมัน
ถ้ำว่านไหลน่าจะเป็นไพ่ตายขั้นสุดยอดของพวกเขาไม่ใช่หรอกหรือ
แล้วที่ราบเส้นทางวงแหวนแข็งแกร่งถึงเพียงได้อย่างไรกัน
เยี่ยเฟิงหานเหงื่อแตกพลั่ก
แต่แม้ว่าค่ายกลนี้จะมีข้อดีในเรื่องของขนาด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เป็นข้อเสียของมันเช่นกัน
หากค่ายกลก็ต้นกำเนิดนั้นกว้างเกินไป ก็ทำให้โอกาสในการถูกทำลายเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
อย่างเช่นในตอนนี้เป็นต้น
เยี่ยเฟิงหานค่อย ๆ ยกดาบขึ้น “ถ้าข้าทำลายมันได้ ทั้งค่ายกลก็จะได้รับผลกระทบทั้งหมดอย่างนั้นสินะ”
“นี่เจ้ากล้าดีนักนะ !” หนึ่งในเผ่าวิญญาณร้องขึ้น “ถ้าเจ้าทำลายค่ายกลนี่ เราก็จะเป็นอิสระและเจ้าก็จะต้องตาย !”
จริงของเขา
หากเยี่ยเฟิงหานทำลายค่ายกล เผ่าวิญญาณทั้งหกที่ถูกตรึงไว้ก็จะเป็นอิสระทันที
เยี่ยเฟิงหานไม่มีโอกาสที่จะชนะเผ่าวิญญาณพวกนี้ได้เลย
ชายหนุ่มยิ้มและกล่าวขึ้น “ข้าคงโชคไม่ดีเท่าไรนัก คิดว่าจะมีโอกาสได้ทำผลงานสักหน่อย แต่ตอนนี้… ดูเหมือนว่าโอกาสนั้นจะหลุดมือไปเสียแล้วล่ะ”
สิ้นคำนั้น… ดาบของเยี่ยเฟิงหานก็ฟันฉับลงตรงกลางของค่ายกลต้นกำเนิดอย่างพอดิบพอดี