บทที่ 89 ความมืดและแสงสว่าง
คมดาบทะลวงผ่านค่ายกลเข้าไปและปล่อยแสงสว่างจ้าออกมา ค่ายกลที่ถูกโจมตีเริ่มส่งเสียงครวญครางราวกับว่ามันมีชีวิต
เมื่อฟันดาบในมือลงแล้ว เยี่ยเฟิงหานก็ไม่ได้อยู่รอชมผลงานแต่อย่างใด
เขาลี้จากไปในทันที
ไม่ว่าผลจากการโจมตีจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่มีทางรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นได้อย่างแน่นอน
ขณะที่เยี่ยเฟิงหานพุ่งตัวออกไปจากหอวิญญาณ เสียงคำรามด้วยความไม่พอใจก็ดังสนั่นขึ้น “ไม่นะ !”
สิ้นเสียงนั้น หอวิญญาณก็ระเบิดออกในทันใด
คลื่นพลังที่รุนแรงถาโถมออกไปในทุกทิศทางราวกับคลื่นในมหาสมุทร
แม้ว่าเยี่ยเฟิงหานจะเด็ดขาดในการตัดสินใจที่จะถอยกลับออกไป แต่แรงระเบิดที่ทรงอานุภาพนั้นก็ยังตามเขามาทันและปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มราวกับคลื่นยักษ์ที่ปะทะเข้ากับเรือเล็ก เยี่ยเฟิงหานรู้สึกเหมือนว่ากระดูกของเขาจะแตกออกและเลือดเนื้อก็แทบจะละลายหายไปจากแรงปะทะนี้
ทั้งใบหน้า ดวงตา แขนทั้งสอง และแม้กระทั่งหน้าอกของชายหนุ่มเริ่มจะละลายและเผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่อยู่ภายใน
เยี่ยเฟิงหานเจ็บปวดอย่างสุดแสนสาหัสจนแทบอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอด
แต่สุดท้ายเขาก็ต้านมันได้
เยี่ยเฟิงหานพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะใช้วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ เพื่อปกป้องหัวใจไว้จนกระทั่งคลื่นพลังที่แปรปรวนนั้นจะหายไปในที่สุด
เยี่ยเฟิงหานกลับลงไปยืนบนพื้นอีกครั้งในสภาพที่เหมือนก้อนเนื้อและเลือดที่ใกล้จะเน่าเต็มที
ร่างกายของเขาในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บ และเยี่ยเฟิงหานก็สูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไปแล้ว
ทว่าเขากลับหัวเราะหน้าตาเฉยพร้อมกับหยิบเอาขวดยาออกมาขวดหนึ่ง จากนั้นจึงกลืนเม็ดยาจำนวนหนึ่งจากขวดนั้นลงไปและออกวิ่งต่อโดยไม่รอช้า
เยี่ยเฟิงหานพึงพอใจทีเดียว
แม้ตนจะครอบครองแท่นบงกชถึงเจ็ดแท่งก็ยังไม่สามารถต้านกับแรงระเบิดนั้นได้ ดังนั้นเผ่าวิญญาณทั้งหกนั้นก็คงลำบากไม่แพ้กัน
แม้ว่าเผ่าวิญญาณจะแข็งแกร่งมาก แต่นั่นก็เป็นส่วนของการควบคุมพลังจิตและพลังต้นกำเนิดเท่านั้น ไม่ใช่สภาพร่างกายแต่อย่างใด
แม้แต่เผ่าวิญญาณระดับสูงก็ยังต้านทานกับพลังงานที่ระเบิดออกนั้นได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นเผ่าวิญญาณระดับกลางก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตราบใดที่เขาหนีจากการโจมตีของเผ่าวิญญาณระดับกลางทั้งหกนั้นได้ ไม่ว่าความสูญเสียใด ๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าทั้งนั้น
แต่แล้วในขณะที่หอวิญญาณกำลังเปล่งประกายแสงที่เจิดจรัส ร่างหนึ่งที่เปล่งแสงไม่แพ้กันก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางกระแสพลังที่แปรปรวน… เป็นหนึ่งในเผ่าวิญญาณทั้งหกเมื่อครู่นี้นั่นเอง
เขารอดออกมาได้อย่างไรกัน
แม้ว่าจะมองไม่เห็นอะไรเลย แต่เยี่ยเฟิงหานก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงการปรากฏตัวของเผ่าวิญญาณที่ด้านหลัง
แต่ถึงอย่างนั้นร่างของเผ่าวิญญาณร่างนั้นก็น่าพิศวงอยู่ไม่น้อย เพราะร่างที่ว่านี้ส่องแสงวูบวาบและสลับไปมาระหว่างความมืดกับแสงสว่าง
ร่างของเผ่าวิญญาณรีบพุ่งตัวขึ้นไปในอากาศในทิศที่เยี่ยเฟิงหานยืนอยู่พร้อมกับคำรามอย่างบ้าคลั่ง
เยี่ยเฟิงหานมองไม่เห็นการโจมตีนี้ แต่เขาก็ได้ยินเสียงของมัน ชายหนุ่มไม่รู้ว่าการโจมตีแบบใดที่กำลังตรงเข้ามาหาตัวเอง… และเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องรู้แต่อย่างใด
ร่างของเยี่ยเฟิงหานพลันหายวับไปจากตรงนั้น ก่อนที่เขาจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในอีกทิศหนึ่ง
วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
เยี่ยเฟิงหานเรียนรู้วิชาของซูเฉินได้แทบจะทั้งหมดแล้ว และเป็นผู้ติดตามที่ภักดีที่สุดของซูเฉินเลยก็ว่าได้
การโจมตีที่พุ่งตรงเข้ามาหาเยี่ยเฟิงหานมุ่งหน้าผ่านร่างของเขาไป แต่ขณะที่มันโฉบผ่านไปนั้นกลับขยายขนาดใหญ่ขึ้น แสงสว่างจ้าสีขาวปะทุขึ้นและการโจมตีนั้นก็ผลักชายหนุ่มกระเด็นออกไป
เผ่าวิญญาณตนนั้นเหาะขึ้นไปในอากาศพร้อมกับคำรามด้วยความเดือดดาลอีกครั้ง ทว่าเสียงของร่างนั้นกลับฟังดูไม่ชัดเจน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าร่างนั้นกำลังพูดอะไร
คลื่นพลังที่รุนแรงพุ่งพวยขึ้นอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มันมาในรูปแบบของลำแสงสีขาวที่พาดผ่านท้องฟ้าราวกับใบมีด เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากที่มันปรากฏ บนพื้นดินก็ปรากฏรอยแตกขึ้น
ขณะที่เยี่ยเฟิงหานกำลังจะใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายอีกครั้ง สมองของเขาก็พลันหยุดนิ่ง และพลังจิตก็หลุดออกจากความควบคุมไปเสียอย่างนั้น ทำให้ชายหนุ่มไม่สามารถใช้วิชานั้นได้อีก
ลำแสงสีขาวกำลังจะหั่นร่างของเยี่ยเฟิงหานออกเป็นสองส่วน แต่ทันใดนั้นใครบางคนก็ปรากฏกายขึ้นและดึงเยี่ยเฟิงหานออกไปให้พ้นจากเส้นทางของลำแสงดังกล่าว
เป็นฉางเหอนั่นเอง
“ทำไมสภาพเจ้าเป็นอย่างนี้ล่ะ” ฉางเหอตกใจเมื่อเห็นร่างโชกเลือดของเยี่ยเฟิงหาน
“รีบออกไปจากที่นี่เถอะ !” เยี่ยเฟิงหานร้องขึ้น
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ไอหมอกดำทมิฬก็พุ่งออกมาจากลำแสงพวกนั้น และดูเหมือนว่าจะมุ่งหน้ามาหาพวกเขาทั้งสอง
ฉางเหอตกใจไม่น้อย เขาไม่เคยเห็นทักษะต้นกำเนิดที่สามารถแปรสภาพได้เช่นนี้มาก่อน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของมันก็ทำให้เขายิ่งต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้สัมผัสโดนกับสิ่งชั่วร้ายนั้นได้ ต้องขอบคุณที่ฉางเหอรู้วิธีการใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายและสามารถพุ่งตัวหลบออกไปได้ทันก่อนที่มันจะปะทะ
ฉางเหอหันไปมองเผ่าวิญญาณคนนั้นที่เริ่มปลดปล่อยไอหมอกดำทมิฬออกมาใส่ตนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นดังนั้นฉางเหอก็รีบถอยหลังไปขณะที่ยังจับตามองร่างเงาวูบวาบนั่นอย่างไม่คลาดสายตา และกล่าวว่า “นั่นเผ่าวิญญาณหรือ”
เยี่ยเฟิงหานไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย แต่สัมผัสของเขาก็ยังเฉียบคมอย่างเคย “ไม่ใช่แค่เผ่าวิญญาณหนึ่งตนหรอก ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานหลายชนิดที่ปะปนและชนกันไปมาอยู่ในร่างนั้น… ใช่แล้วล่ะ จะต้องเป็นเผ่าวิญญาณทั้งหกตนนั่นแน่ พวกนั้นคงรวมร่างกันโดยอาศัยการระเบิดเมื่อครู่นี้”
“เผ่าวิญญาณสามารถรวมร่างได้ด้วยหรือ” ฉางเหอตกตะลึง
“ข้าก็ไม่รู้” เยี่ยเฟิงหานส่ายหน้า “ข้าก็แค่เดาเท่านั้น เผ่าวิญญาณน่ะมีกลวิธีมากมายที่ซุกซ่อนไว้ คงไม่แปลกนักหรอกถ้าพวกนั้นจะรวมร่างได้ หรือนั่นอาจจะเป็นการทำงานของค่ายกลนั่นอยู่แล้วก็ได้”
“กรรรรร !”
ร่างเงาที่เกรี้ยวกราดส่งเสียงคำรามขึ้นอีกครั้งและออกไล่ล่าชายทั้งสองต่อไปพร้อมกับปลดปล่อยไอหมอกสีทึมทะมึนออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อรู้แล้วว่าความลับเบื้องหลังเงานี้คืออะไร ฉางเหอก็คลายกังวลลงได้อยู่บ้าง
เขามองดูฝ่ายตรงข้ามโจมตีและไม่ได้สนใจคลื่นสีดำที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อหมอกดำดังกล่าวกำลังจะกลืนกินเขานั้นเอง…
ตู้ม !
ระเบิดขนาดใหญ่ปะทุขึ้น ทำให้หมอกดำนั้นถอยกลับไปตามแรงของมันทันที
ที่เบื้องหลังฉางเหอมีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดยืนอยู่จำนวนหลายร้อยคน กองทหารขนาดเล็กที่เป็นกำลังเสริมเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหมดนี้เป็นผู้ฝึกตนด่านสู่พิสดารทั้งสิ้น ร่างเงาวูบวาบที่ทรงพลังนั้นก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับพวกเขาด้วยซ้ำ นั่นทำให้เผ่าวิญญาณกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปในทันใด
“ไม่โอหังนักแล้วหรือ ไม่ว่าวิชาของพวกเจ้าจะทรงพลังมากเพียงไร ถ้าเจ้าเองไม่แข็งแกร่งพอ มันก็ไม่เพียงพอกับการต่อสู้นี้อยู่ดี” ฉางเหอหัวเราะ
ร่างเงานั้นไม่สามารถต้านทานกับแรงกดดันจากฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตและได้แต่คำรามด้วยความเดือดดาล เยี่ยเฟิงหานกล่าวขึ้น “อย่าฆ่ามัน ! ร่างที่รวมกันแบบนี้หาพบได้ยากยิ่งนัก อาจเป็นประโยชน์กับเจ้านิกายก็ได้”
ฉางเหอชะงักไปชั่วขณะ “เจ้าพูดถูก เจ้านิกายชอบอะไรแบบนี้ที่สุด ทุกคน จับมัน ! ให้ตายเถอะ เร็วเข้าสิ !”
เสียงของฉางเหอพลันดังขึ้นในระดับที่น่าตกใจ
ไกลออกไป คลื่นชนเผ่าวิญญาณก็เริ่มที่จะหลั่งไหลกันออกมาจากหุบเขา
ความโกลาหลที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้คงไม่มีใครสามารถมองข้ามได้ จึงไม่แปลกเลยที่เผ่าวิญญาณจะส่งคนมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวเผ่าวิญญาณต่างก็ร้องโอดครวญทันที
เสียงร้องคร่ำครวญนั้นดังก้องขึ้นจากหุ่นเชิดที่พวกเขาควบคุม
หุ่นเชิดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตัวออกมาจากสุสาน และมุ่งหน้าตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เร็วเข้า แล้วจะได้ออกไปจากที่นี่กัน !” ฉางเหอร้องขึ้นอีกครั้งและปล่อยฝ่ามือออกไปเพื่อโจมตีร่างเงา อานุภาพของฝ่ามือนั้นรุนแรงและตรงเข้าบดขยี้เป้าหมายอย่างไร้ปรานี
เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนหลายร้อยคนพร้อมใจกันปล่อยใยตาข่ายออกไปห่อหุ้มร่างเงานั้น ทำให้ร่างนั้นไม่สามารถขยับหรือเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
จากนั้นเหล่าผู้ฝึกตนก็ถอนกำลังกลับออกไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือการรอดชีวิตออกไป ไม่ใช่รักษาตำแหน่งเพื่อให้กองกำลังที่เหลือตามมา
ตู้ม !
พลังจิตที่ไร้รูปร่างพรั่งพรูออกไปห่อหุ้มเหล่าผู้ฝึกตนเอาไว้และทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้พลังจิตของตัวเองได้ชั่วขณะ… นั่นยังเป็นการลดความเร็วในการถอนกำลังของกองทหารด้วย
ทว่าในไม่ช้า ผู้ฝึกตนทั้งหลายก็หยิบเอาเม็ดยาออกมาใส่ปาก… ยานั้นทำให้ทุกคนสามารถกลับมาอยู่ในสภาพปกติได้อีกครั้งทันตาเห็น
เสียงประหลาดพลันดังขึ้นไกลออกไป เมื่อเสียงนั้นกังวานขึ้นในโสตประสาทของชาวนิกายไร้ขอบเขต ทุกคนก็รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาโดยฉับพลัน ซึ่งทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้ช้าลงด้วยนั่นเอง
แต่แล้วหนึ่งในผู้นำกองทหารก็หัวเราะขึ้น และหยิบเอาระฆังหยกออกมาตีด้วยค้อนขนาดเล็ก เสียงใสแจ๋วของระฆังดังกังวานและทำลายคลื่นเสียงสวดนั้นลงทันที
ในขณะเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนอีกคนก็หยิบทรายออกมาเต็มกำมือและโยนมันออกไปในอากาศ ทรายนั้นกลายสภาพเป็นพายุทรายในพริบตา
พายุทรายนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขัดขวางศัตรูไม่ให้เข้าใกล้ได้ แต่มันจะเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นและทำให้การปลดปล่อยพลังหรือใช้วิชาเพื่อโจมตีเป็นไปได้ยากขึ้น
ทันใดนั้นพายุสายฟ้าก็ผ่าลงมาจากเบื้องบน
การโจมตีครั้งนี้ธรรมดาทีเดียวเมื่อเทียบกับครั้งอื่น ๆ… คราวนี้พวกเขากำลังใช้ความรุนแรงแล้ว
วิชาอาร์คาน่าของชาวเผ่าวิญญาณนั้นทรงพลังไม่น้อยเลย และการที่พวกนั้นสามารถปลดปล่อยพลังและทักษะที่ทรงอานุภาพได้ถึงเพียงนี้จากที่ไกลออกไปก็ถือว่าน่าประทับใจมากเช่นกัน
ชาวนิกายไร้ขอบเขตนั้นหวาดกลัวกับวิชามนต์สะกดมากกว่า เพราะพวกเขาเตรียมพร้อมมาเพื่อรับมือกับการโจมตีทางกายภาพอยู่แล้ว
ขณะที่ชาวนิกายไร้ขอบเขตมุ่งหน้าฝ่าพายุสายฟ้าเข้าไป พายุทรายที่เบื้องหลังก็เริ่มสลายตัว
การโจมตีระลอกถัดไปจู่โจมประสาทสัมผัสของทุกคนในรูปแบบของภาพลวงตา เห็นได้ชัดว่าเผ่าวิญญาณต้องการจะส่งศิษย์นิกายไร้ขอบเขตเข้าสู่ห้วงความฝันซึ่งจะทำให้พวกเขาหนีไปได้ยากขึ้น
ต้องขอบคุณที่ความช่วยเหลือจากวิชากำแพงใจก่อนหน้านี้ ชาวนิกายไร้ขอบเขตจึงสามารถหลบหลีกจากการโจมตีครั้งนี้ได้
อันที่จริงแล้วเผ่าวิญญาณนั้นมีจำนวนคนและอานุภาพที่แข็งแกร่งมากกว่า
แต่กระนั้น ช่องว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับกลายเป็นพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝ่ายนิกายไร้ขอบเขต ทักษะหลายอย่างของเผ่าวิญญาณนั้นมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะทาง ซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้ได้ หรือมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเพราะศิษย์นิกายไร้ขอบเขตนั้นอยู่ไกลออกไป อีกทั้งฝ่ายนิกายไร้ขอบเขตก็ยังได้เตรียมการสำหรับการเดินทางครั้งนี้มาแล้วเป็นอย่างดี ข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณได้ถูกรวบรวมไว้มากพอสมควรจากการต่อสู้มานานหลายหมื่นปี หากเป็นสิ่งที่ชาวนิกายไร้ขอบเขตเคยมีประสบการณ์มาก่อน พวกเขาก็หาทางรับมือได้เสมอ
ดังนั้นเผ่าวิญญาณที่แม้จะแข็งแกร่งกว่า ก็ไม่สามารถทำอะไรทหารกลุ่มนี้ได้เลย
ชาวเผ่าวิญญาณถึงกับชะงักไปชั่วขณะ
พวกเขาเริ่มจะสิ้นหวังกับการไล่ตามศิษย์นิกายไร้ขอบเขต แต่ทันใดนั้นคลื่นพลังจิตประหลาดก็เคลื่อนผ่านมา
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังนั้น เผ่าวิญญาณก็หยุดเคลื่อนไหวและหันไปแสดงความเคารพต่อบางอย่าง
เผ่าวิญญาณร่างสูงคนหนึ่งเหาะเข้ามาหาพวกเขา… ร่างนั้นคือเผ่าวิญญาณระดับสูงที่ดูแลในพิธีกรรมก่อนหน้านี้
เมื่อเกิดการระเบิดขึ้น เผ่าวิญญาณตนนี้ไม่ได้ออกมาจากหุบเขาในทันที จนกระทั่งเขามาปรากฏกาย ณ ที่เกิดเหตุในเวลานี้
ฉางเหอหันหน้าไปมอง และเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าพวกตนกำลังพบปัญหาใหญ่เข้าแล้ว “ออกไปจากที่นี่เร็ว !”
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเพิ่มความเร็วจากเดิมได้เลยแม้แต่น้อย
เผ่าวิญญาณระดับสูงยกมือขึ้นพร้อมกับส่งเสียงกู่ร้องดังก้องขึ้นทั่วฟ้า
พื้นที่รอบตัวเขาเริ่มบิดเบี้ยวไป
เสียงหวีดร้องพลันดังขึ้น
เสียงนั้นไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ แต่มันกลับสามารถทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของทุกคนที่ได้ยินมัน ศิษย์ทุกคนต่างรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกำลังบีบหัวใจอยู่ และทำให้ทั้งร่างของพวกเขาสั่นสะท้าน พร้อมกับขยับไปมาด้วยความไม่สบายตัวอย่างรุนแรง ชาวนิกายไร้ขอบเขตไม่สามารถใช้วิชาใด ๆ ได้อีกต่อไป และทั้งหมดต่างทำได้เพียงทึ้งหัวตัวเองด้วยความทรมานและสิ้นหวัง มีเพียงเยี่ยเฟิงหานกับศิษย์ระดับสูงสุดของด่านสู่พิสดารอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้านทานกับมันได้
การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำกองทหารจำนวนนับร้อยสิ้นท่าได้เกือบไม่มีชิ้นดี
ฉางเหอตกใจไม่น้อย
เขารู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกไม่นานนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงยัดร่างเงาลงในมือของเยี่ยเฟิงหานและกล่าวขึ้น “พาเจ้านี่ไปอีกทางหนึ่ง กองกำลังหลักอยู่ที่นั่น อย่าหลงทางเสียล่ะ”
“แล้วเจ้าจะทำอะไร” เยี่ยเฟิงหานรู้ทันทีว่าฉางเหอคิดจะทำอะไรบางอย่าง
“ข้าก็จะสู้กับเจ้านั่นน่ะสิ !” ฉางเหอร้องตอบ
เยี่ยเฟิงหานได้ยินดังนั้นก็ตะลึง “หยุด ! อย่าทำอย่างนั้น !”
“เร็วเข้าเถอะ รีบออกไป แล้วส่งเงานี่ให้กับเจ้านิกายซะ !” ฉางเหอถีบเยี่ยเฟิงหานออกไป จากนั้นเขาเองจึงหันหน้ากลับไปร่วมรบกับเหล่าทหารเพื่อรับมือกับเผ่าวิญญาณต่อไป
น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากเบ้าตาของเยี่ยเฟิงหาน
“อย่าลืมบอกเจ้านิกายด้วยว่าข้าชื่อฉางเหอ !” ฉางเหอร้องตะโกนขึ้นขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปอย่างวีรบุรุษที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด
“ฉางเหองั้นหรือ ข้าจะจำให้ขึ้นใจเลย”
เสียงของคนผู้หนึ่งพลันดังขึ้นในตอนนั้นเอง