ตอนที่ 2003 ความพิโรธของหลู่เหยียน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ภายในจวนเจ้าเมืองนั้นบรรยากาศของมันไม่ได้ดีขึ้นมาแม้แต่น้อย แม้ว่าสามเทพถ่องแท้ที่มาจะตายไปจนสิ้นแล้วก็ตาม

กลับกัน สภาพในตอนนี้มันกลับอึดอัดเสียยิ่งกว่าเก่า

“นายท่าน นี่มัน… จะนับว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์แล้วเป็นกบฏแล้วหรือ?” เจ้าเมืองโซชูเจียถามขึ้นมาด้วยท่าทางอึดอัด

แน่นอนว่าด้วยโอสถวิเศษของเย่หยวนโซชูเจียย่อมจะสามารถกลับมาหายเป็นปกติได้

แต่ในฐานะของเจ้าเมืองใต้การปกครองของยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์นั้นความชื่นชมและหวาดกลัวที่เขามีต่อเบื้องบนนั้นมันจึงยิ่งใหญ่กว่าคนทั้งหลายมากมายหลายเท่า

นี่คือความชื่นชมและหวาดกลัวที่สะสมมานานปี ไม่มีทางใดเลยที่มันจะจางหายไปได้อย่างง่ายดาย

เย่หยวนนั้นสังหารลูกสาวของเทพสวรรค์พร้อมด้วยทหารเกราะดำอีกนับร้อยที่มา ในหมู่ทหารนั้นมันยังมีระดับผู้บังคับบัญชาเทพถ่องแท้อยู่หลายคน

การลงมือครั้งนี้ของเย่หยวนมันบ้าคลั่งเกินไป

และสิ่งเดียวที่ทุกผู้คนหวาดกลัวในเวลานี้มันก็คือการล้างแค้นของเทพสวรรค์

เทพสวรรค์นั้นคือตัวตนที่เหนือล้ำในสายตาของทุกผู้คน

ต่อให้เย่หยวนจะเป็นเทพถ่องแท้ที่เก่งกาจเพียงใดมันก็ไม่อาจจะยืนหยัดต่อหน้าเทพสวรรค์ได้อย่างแน่นอน

เย่หยวนนั้นมีพลังฝีมือที่เหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถฆ่าสังหารหลู่ซือยีที่บรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้าได้ แต่ต่อหน้าเทพสวรรค์แล้วเย่หยวนก็ย่อมจะไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่กระบวนท่า

เย่หยวนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา “กบฏ? เราไปยอมก้มหัวให้ผู้คนตั้งแต่เมื่อใดกัน จะเรียกว่ากบฏได้อย่างไร?”

เขาไม่เคยคิดว่าตนนั้นเป็นคนของใคร แน่นอนว่าการขึ้นมารับตำแหน่งผู้ตรวจการเองมันก็แค่เพื่อที่จะดูแลสิบเมืองสันเขาใต้ให้ง่ายดายขึ้นเพื่อจะได้ดูแลเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

ด้วยนิสัยของเย่หยวนแล้วมีหรือที่เขาจะยอมก้มหัวรับใช้ใคร?

ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเทพสวรรค์เย่หยวนก็ย่อมจะไม่มีทางยอมก้มหัวรับใช้อีกฝ่าย

“แต่พี่ใหญ่ เมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรานั้นมันไร้ซึ่งเทพสวรรค์ใดๆ หากเทพสวรรค์หลู่เหยียนผู้นั้นมาหาเรื่องแล้วจริงๆ เราจะตอบกลับไปอย่างไร?” อิ้งหมัวหู่พูดขึ้นมา

เพราะในเวลานี้ตัวเขาเองก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

“ใช่แล้ว พวกเราทั้งหลายนั้นล้วนเป็นเพียงมดปลวกใต้เท้าของเทพสวรรค์ นายท่าน ท่านนั้นมีพลังฝีมือที่เก่งกาจพวกเราย่อมรู้ดี แต่สุดท้ายในเวลานี้ท่านก็ยังก้าวขึ้นไปไม่ถึงอาณาจักรเทพสวรรค์” หนิงเทียนปิงเองก็กล่าวขึ้นมาด้วยท่าทางกังวล

“อาจารย์ ท่านเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์มิใช่หรือ? หากท่านใช้นามนี้ไปกล่าวเชิญเทพสวรรค์มาเล่า? พวกเขาอาจจะพอเห็นแก่หน้าท่านมาช่วยก็ได้นะ?” ไป๋เฉินเสนอ

คำพูดของเขานี้มันทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องเบิกตากว้าง

เพราะตำแหน่งของผู้อาวุโสใหญ่แห่งศาลาโอสถสวรรค์นั้นมันเหนือล้ำสูงส่ง

ต่อให้เป็นเทพสวรรค์ก็อาจจะพอเห็นแก่หน้าเขาก็ได้

เพราะไม่ว่าอย่างไรเสียมีใครบ้างจะกล้าบอกว่าวันหน้าเย่หยวนจะไม่กล้าเป็นยอดจอมเทพโอสถระดับสูงได้?

แต่เย่หยวนกลับส่ายหัวออกมา “พวกเจ้าก็คิดกันมากไป ไม่ว่าศาลาโอสถสวรรค์มันจะยิ่งใหญ่ปานใดสุดท้ายมันก็ยังเป็นแค่องค์กรของเทพถ่องแท้ จอมเทพโอสถหกดาว ตัวตนอย่างเทพสวรรค์นั้นมีใครบ้างที่มิใช่ยอดคนอันเย่อหยิ่ง? มีหรือที่พวกเขาเหล่านั้นจะลดตัวมาเป็นยามเฝ้าหน้าบ้านให้แก่ข้า?”

เรื่องเช่นนั้นมันย่อมจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้จนทำให้ทุกผู้คนต่างก็หมดหนทางที่จะทำอะไร

ชื่อของเทพสวรรค์นั้นมันเหนือล้ำจนเกินไป ทำให้พวกเขาทั้งหลายนั้นไม่อาจจะกล้าหายใจ

ความเงียบงันจึงเข้าปกคลุมทั้งโถงอีกครั้ง

แต่สภาพเช่นนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ภายในจวนเจ้าเมือง แต่รวมไปถึงทุกหย่อมหญ้าในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์

แม้ว่าตอนนี้กำลังของคนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มันจะเหนือล้ำกว่าก่อนหน้านี้อย่างมากก็ตาม

แต่เมื่อเอาไปเทียบกับยอดเมืองหลวงจักรพรรดิแล้วมันก็ยังไม่อาจจะเทียบเคียงใดๆ กันได้

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นคนที่ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองไปมันก็มีจำนวนไม่มากมายอย่างที่ควร

ตอนนี้เหล่าคนส่วนมากยังคงเลือกที่จะอยู่ในเมืองต่อไป

เย่หยวนสังหารคนทั้งสามนั้นด้วยความโกรธเคือง พวกเขาทั้งหลายนั้นย่อมรู้ดีว่าความโกรธเคืองนี้มันมีที่มาจากเด็กหนุ่มผู้นั้น

เจ้าหนุ่มที่ไม่มีใครคิดสนใจอย่างเจียงหมิง

หลังจากวันนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ได้จดจำชื่อนี้ไว้อย่างหนักแน่น

เพราะว่าเจ้าหนุ่มที่ไม่มีใครคิดสนใจนี้เองมันก็คือตัวแทนของผู้คนทั้งหลาย

เพราะพวกเขาทั้งหลายเองก็เป็นได้แค่เจียงหมิงคนหนึ่งในสายตาของผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมิใช่หรือ?

“ข้านั้นเป็นเพียงนักยุทธ์จรผู้หนึ่ง เดินทางพักผ่อนในเมืองต่างๆ มานับไม่ถ้วนในเวลานับหมื่นปีมานี้แต่มันไม่เคยจะมีเมืองใดที่ทำให้ข้ารู้สึกผูกพันมากเท่าที่นี่เลย”

“ท่านเย่หยวนนั้นแตกต่างจากผู้ปกครองทั่วๆ ไป! ในสายตาของเขาแล้วเหล่านักยุทธ์ทั้งหลายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากครอบครัวของเขา”

“ใช่ไหมเล่า? ครั้งก่อนที่ประตูวิญญาณมรณามาหาเรื่องตัวเขาเองท่านเย่หยวนก็ยอดให้ถูกพวกมันจับตัวไปเพราะไม่อยากให้คนในเมืองต้องบาดเจ็บล้มตาย! ไม่ว่าจะอย่างไรเสียด้วยฝีมือของเขานั้นมันย่อมไม่ได้ยากเย็นหากเขาคิดฆ่าสังหารพวกมันทิ้งลงเสีย และครั้งนี้เองเขาก็ได้โกรธแค้นสังหารผู้คนเพราะชีวิตของเจียงหมิงผู้นั้น”

เย่หยวนนั้นทำให้เหล่านักยุทธ์ทุกผู้คนในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์รู้สึกผูกพันกับเมืองนี้อย่างมาก

เขานั้นเปิดใช้ทั้งหอยุทธ์และหอโอสถให้นักยุทธ์ทั้งหลายได้ใช้ ลดการเก็บภาษีต่างๆ ให้แก่นักยุทธ์ทั้งหลาย เรื่องราวเหล่านี้มันย่อมกินใจผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย

โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ มานี้การกระทำของเย่หยวนมันได้ชนะใจผู้คนทั้งหลายในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ไปอย่างมากจนทำให้ทุกผู้คนเชิดชูบูชาเขาสุดหัวใจ

ความรู้สึกเช่นนี้มันทำให้คนทั้งหลายรู้สึกว่าเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้เป็นบ้านของพวกเขาจริงๆ

ในโลกอันโหดร้ายใบนี้มันกลับมีผู้ปกครองที่คิดสนใจนักยุทธ์ชั้นล่างอย่างพวกเขาอย่างจริงจัง นี่มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง

เพราะฉะนั้นต่อให้พวกเขาทั้งหลายจะทราบดีว่าศัตรูครานี้ของเย่หยวนเป็นถึงเทพสวรรค์แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะถอยกลับ ยังคงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเพื่อต้านศัตรูร่วมกัน

หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง ข่าวเรื่องที่เย่หยวนฆ่าสังหารสามยอดอัจฉริยะนั้นมันก็ได้กลับมาถึงยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์อย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ต้นตระกูลเติ้งและตระกูลไต้ต่างได้บุกเข้ามาในจวนเจ้าเมืองด้วยความโกรธแค้นเต็มอก

ต้นตระกูลเติ้งนามเติ้งหยุนไซร้องตะโกนขึ้นมาอย่างโกรธแค้น “พี่หลู่เหยียน เจ้าเด็กนรกเย่หยวนผู้นี้มันกลับไปกินใจเสือดีหมีที่ไหนมากล้าสังหารเติ้งเหว่ยของเรา! หากไม่ฆ่าสังหารมันลงเสียความแค้นของข้านี้คงไม่มีวันมอดดับแน่!”

ที่ด้านข้างต้นตระกูลไต้ ไต้ชุนห่าวเองก็มีใบหน้าแดงก่ำไม่ต่างกัน “ตระกูลไต้ข้านั้นได้ใช้เวลาทรัพยากรไปอย่างมากเพื่อบ่มเพาะดูแลหยางเอ๋อกว่าที่เขาจะขึ้นมายืนในจุดนี้ได้ ข้านั้นหวังคิดให้เขาได้ขึ้นมารับตำแหน่งแทนที่ข้าต่อไปเสียด้วยซ้ำ ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาตายลงด้วยน้ำมือของเจ้าเด็กผู้นี้ ไม่สังหารมันแล้วไต้ชุนห่าวผู้นี้จะไม่ขอเป็นผู้คนอีกต่อไป”

คนทั้งสองนั้นโกรธแค้นอย่างบ้าคลั่งคำพูดแค่ไม่กี่คำของพวกเขานี้มันแทบทำให้ตัวตึกพังถล่มลงมา แค่นี้มันก็มากพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่าความโกรธแค้นของพวกเขานั้นหนักหนาเพียงใด

ที่ตรงข้ามไปนั้นมันคือชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าเย็นเยือกราวน้ำแข็ง

และชายวัยกลางคนผู้นี้เองก็คือพ่อของหลู่ซือยี เจ้าเมืองแห่งยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์ หลู่เหยียน

การที่คนทั้งสองนี้จะกล้ามาโวยวายต่อหน้าเทพสวรรค์นั้นมันย่อมแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเองก็เป็นคนในรุ่นเดียวกับหลู่เหยียน

คนทั้งสองนี้เองก็เป็นถึงเทพสวรรค์เช่นกัน

นักยุทธ์ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นั้นไม่ได้รู้เลยว่าภายในยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์นั้นเป็นอย่างไร

หากพวกเขาได้รู้ว่าศัตรูของเย่หยวนนั้นมันคือเทพสวรรค์ถึงสามคนแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะยังมีความหวังเหลืออยู่หรือไม่

หลู่เหยียนขมวดคิ้วขึ้น “จะร่ำร้องกันไปเพื่อการใด? ลูกหลานของพวกเจ้าทั้งสองนั้นห่างจากพวกเจ้าไปไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น แม้ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์ไม่น้อยแต่มันก็แค่มีพรสวรรค์ เรื่องที่ว่าพวกเขาจะบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์ได้หรือไม่นั้นมันยังไม่แน่นอนเสียทีเดียว แต่ซือยีของข้านั้นเป็นยอดอัจฉริยะหนึ่งในล้าน นางนั้นสามารถบรรลุสำเร็จแนวคิดแห่งธาตุทั้งห้ามาได้และหากมีเวลานางย่อมจะพัฒนาตนไปได้สูงส่งกว่าข้าเสียอีก พวกเจ้านั้นโกรธแค้น มีหรือที่เทพสวรรค์ผู้นี้จะไม่โกรธแค้นได้?”

หลู่เหยียนนั้นมีท่าทางสุดแสนเหนือล้ำในทุกอิริยาบถ แม้ว่าทางเติ้งหยุนไซและไต้ชุนห่าวเองก็จะเป็นเทพสวรรค์เช่นเดียวกันแต่พวกเขาก็ยังต้องเงียบปากลงในที่สุด

เพราะตอนนี้หากจะถามว่าใครควรโกรธแค้นมากที่สุดมันก็ย่อมจะเป็นหลู่เหยียน

ด้วยพรสวรรค์ของหลู่ซือยีนั้นการบรรลุขึ้นอาณาจักรเทพสวรรค์ย่อมจะเป็นเรื่องที่แน่นอน

แท้จริงแล้วนางนั้นมีโอกาสที่จะบรรลุขึ้นไปถึงอาณาจักรจักรพรรดิเทพสวรรค์ในตำนานนั้นเสียด้วยซ้ำ!

ยอดพรสวรรค์ในระดับนี้เหนือล้ำจนอย่าว่าแต่ยอดเมืองหลวงจักรพรรดิห้าสวรรค์ใดๆ ต่อให้เป็นในวังพำนักจักรพรรดิเทพสวรรค์เองก็ไม่อาจจะหาได้ง่ายๆ

แต่ตอนนี้นางกลับตายลงเสียโดยง่ายเช่นนี้

มีหรือที่หลู่เหยียนจะไม่โกรธแค้น?

“เรื่องนั้น… พี่หลู่เหยียน ทำไมเราไม่เดินทางไปด้วยกันเลยเล่า ไปสังหารเจ้าเด็กนรกนั่นกัน!” เติ้งหยุนไซถามขึ้น

แต่หลู่เหยียนกลับยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นเยือก “สังหารมัน? จะไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ? เทพสวรรค์ผู้นี้จะทำให้มันได้รู้ถึงความสิ้นหวังอย่างแท้จริง!”

……………………