หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย
ชวนให้นึกถึงภาพสิ่งต่างๆ ตอนที่ตนอยู่ในดาราจักรไฟยิ่งนัก ทั้งศิษย์พี่ทั้งหลายของตน…ถึงขั้นมองเห็นพวกดอกไม้ใบหญ้าและนกบินถลาอยู่บนท้องฟ้า หลักๆ แล้วล้วนเป็นท่านอาจารย์
เทพวัวยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย เรื่องที่ตัวเองไปเป็นพาหนะให้ตัวเองแบบนี้ อาจารย์ทำได้อย่างมีความสุขนัก ดังนั้นการให้ตัวเองไปเฝ้าสำนักแทนตัวเองจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยโดยสิ้นเชิง
“โชคดีที่ในบรรดาศิษย์ในสำนักอาจารย์ไม่มีเนื้อคู่แห่งเต๋า ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ ก็มีความคิดร้ายกาจนี้ลอยขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา เทพวัวข้างหน้าก็หันหัวกลับมาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกล้ำคราหนึ่ง แล้วยังมีปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่บนหลังของเทพวัวอีก เขาก็หันหน้ามาจ้องมองอย่างลึกล้ำเช่นเดียวกัน
หวังเป่าเล่อตัวสั่นขึ้นมาทันที กำลังจะเอ่ยปาก แต่เสียงแผ่วเบาของปรมาจารย์แห่งไฟกลับดังสะท้อนออกมาก่อน
“เป่าเล่อ ช่วงนี้เจ้าเกียจคร้านการฝึกตนไปแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่ก้าวหน้าล่ะก็…เฮ้อ ช่วงนี้เทพวัวที่น่าเคารพของอาจารย์ลำไส้ไม่ค่อยดีนัก กลับไปเจ้าก็เข้าไปในท้องของมันแล้วทำความสะอาดลำไส้ให้สักหน่อยเถอะ”
“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อโอดครวญ เห็นชัดๆ ว่านี่คือการลงโทษ
ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่ออีก ตอนนี้เขาหันไปตบหลังเทพวัว ทันใดนั้นเทพวัวก็ส่งเสียงร้องคำราม แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า ตลอดทางไม่หลบเลี่ยงผู้คน ทำให้อาวุธเวทขนาดใหญ่และสัตว์อสูรพาหนะของตระกูล และสำนักที่มาถึงก่อนนานแล้วข้างหน้าต้องรีบหลบหลีกกันจ้าละหวั่น ทั้งๆ ที่ในใจแต่ละคนก่นด่าอยู่เงียบๆ
ดังนั้นเทพวัวจึงผ่านไปอย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง การควบทะยานครั้งนี้ทำให้มันพุ่งจากรอบนอกสุดเข้าไปยังบริเวณขอบของอวกาศสีเทาทันที สำนักและตระกูลที่ประจำการอยู่ตรงนี้ หลักๆ แล้วล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในสามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้นทั้งนั้น พวกเต๋าเก้ารัฐและสำนักเจ็ดวิญญาณล้วนรวมอยู่ในนี้ด้วย
เมื่อกวาดสายตามองไป แค่เพียงบริเวณรอบๆ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็มีสำนักและตระกูลแข็งแกร่งหลายร้อยแห่งแล้ว ส่วนอาวุธเวทที่ประจำการของพวกเขาก็เหนือล้ำยิ่งกว่าสำนักที่อยู่รอบนอกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีพลานุภาพสะเทือนฟ้ามาก
หวังเป่าเล่อเพียงกวาดตามองหนึ่งรอบก็มองเห็นว่ามีของสร้างขึ้นจากหินหยก แล้วยังมีระฆังขนาดยักษ์ที่แผ่ปราณมืดออกมา แล้วยังมีวัตถุทำจากโลหะรูปทรงคล้ายกล่องด้วย ในแต่ละชิ้นล้วนมีผู้ฝึกตนจำนวนมากนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ ขณะที่พลังฝึกปรือของแต่ละคนว่าไม่เลวแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพิภพนั่งบัญชาอยู่ด้วย
จนถึงตอนนี้ นี่เป็นสถานที่ที่หวังเป่าเล่อได้เห็นระดับจักรพิภพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ละสำนักแต่ละตระกูลล้วนมีระดับจักรพิภพอยู่ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นจักรพิภพชั้นต้น ไม่อาจเทียบได้กับปรมาจารย์แห่งไฟ แต่พลานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของพวกเขาก็ทำให้หวังเป่าเล่อที่สัมผัสได้ใจสั่นสะเทือน
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่มีอาการเช่นนี้ เซี่ยไห่หยางก็เช่นกัน แต่ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็แค่นเสียงออกมา เทพวัวใต้ร่างพลันพุ่งไปยังระฆังหมอกดำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด
“หลีกไป ข้าชอบที่ตรงนี้ ไสหัวไปให้หมด!”
ผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่นั่งทำสมาธิอยู่บนระฆังแผ่หมอกดำพลันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาวพระเคราะห์ มีระดับดารานิรันดร์อยู่เพียงห้าหกคน ตอนนี้เมื่อมองเห็นเทพวัวของปรมาจารย์แห่งไฟ สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป
มีคนแค่นเสียงเย็นดังออกมาจากภายในระฆังหมอกดำใบนี้ ไม่นานระฆังก็แปรผันแล้วมีเงาร่างหนึ่งผุดออกมารวมกันเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้มีรอยไฟไหม้สีดำที่คิ้ว เขาจดจ้องปรมาจารย์แห่งไฟอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนคำรามเสียงต่ำ
“เพลิงกัลป์ เจ้าคิดจะทำอะไร!”
“กล้าเรียกนามของข้า ข้าคิดจะทำอะไรหรือ ก็ทำเจ้าน่ะสิ!” ปรมาจารย์แห่งไฟเบิกตากว้าง ดวงตาของเทพวัวที่นั่งลงยิ่งมีไฟลุกโชนยิ่งกว่า มันร้องเสียงคำรามรวดเร็วยิ่งขึ้น แล้วพุ่งตรงไปยังระฆังสีดำกะทันหัน!
“เจ้ากล้า!!” ชายชราผู้มาจากระฆังหมอกดำหน้าเปลี่ยนสี เขายกมือผนึกมุทราพร้อมคำรามเสียงต่ำ ระฆังหมอกดำที่ด้านหลังสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่เสียงเบาสบายหู แต่เป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงร้องคำรามอื้ออึงของสัตว์ตัวใหญ่
“ข้าไม่กล้าหรือ แม่เจ้าน่ะสิ เชื่อไหมว่าท่านปู่คนนี้จะไปสำนักฉันปราณของเจ้าแล้วเอาคำสาปที่เก็บไว้หลายพันปีมาให้พวกเจ้ากินหม้อหนึ่งเลย!”
เมื่อตระกูลและสำนักอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นฉากนี้เข้า ก็ควบคุมอาวุธเวทหรือสัตว์อสูรของสำนักตนให้ออกห่าง ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพที่อยู่ด้านในต่างขมวดคิ้ว
“เหตุใดเจ้าโจรเฒ่าเพลิงกัลป์ผู้นี้ถึงมาได้ล่ะ!”
“มาถึงก็วางท่าเช่นนี้แล้ว ทุกครั้งล้วนเป็นประโยคนี้ตลอด!”
“จนปัญญาแล้ว มีเรื่องด้วยไม่ได้!”
เมื่อสำนักและตระกูลที่อยู่รอบๆ พากันหลบหลีก ชายชราที่มาจากระฆังหมอกดำก็มีสีหน้าย่ำแย่ ยิ่งกว่านั้นคือจนปัญญา เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์แห่งไฟพุ่งเข้ามาหาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ชายชราผู้นี้ก็กระทืบเท้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วพาอาวุธเวทที่ประจำการอยู่ของสำนักตนให้ล่าถอยทันที จนกระทั่งถอยไปได้หลายหมื่นจั้งจึงกัดฟันเอ่ย
“เพลิงกัลป์ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อโชคของชนรุ่นหลังทั้งหลาย เหตุใดเจ้ามาถึงแล้วต้องทำท่าทางวางอำนาจด้วย เจ้าไม่คิดเพื่อตนเองก็ต้องคิดเพื่อศิษย์ของเจ้าสิ ถึงอย่างไรหลังจากเข้าไปแล้วจะเป็นหรือตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะคอยปกป้องได้!” ชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำเอ่ยอย่างนุ่มนวล ดวงตาเคลื่อนผ่านปรมาจารย์แห่งไฟแล้วมองไปยังหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง สายตานั้นมาพร้อมกับเจตนาร้าย ในหมู่ผู้ฝึกตนซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนระฆังหมอกดำที่ด้านหลังเหล่านั้นก็มีคนหนึ่งที่ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที
คนผู้นี้ดูเหมือนอยู่ในวัยกลางคน พลังฝึกปรืออยู่ที่ดารานิรันดร์ชั้นกลางขั้นสูงสุด ห่างจากชั้นปลายเพียงครึ่งก้าว ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของเขามีความชั่วร้ายและยั่วยุพร้อมกวาดมองหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง
“ขู่กันหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟแสยะยิ้ม ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาแล้วหันไปมองหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง
“พวกเจ้าสองคนถูกคนข่มขู่แล้ว คิดจะทำอย่างไร”
หวังเป่าเล่อกลอกตา กำลังจะเอ่ยปากแต่เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างกายกระแอมไอเสียก่อน แล้วประสานหมัดไปทางปรมาจารย์แห่งไฟก่อนหันมาประสานหมัดให้หวังเป่าเล่อ สุดท้ายก็มองไปยังชายชราที่อยู่ด้านนอกระฆังหมอกดำ เอ่ยพลางยิ้มบางๆ
“ผู้อาวุโส ข้าผู้แซ่เซี่ย อาจารย์ปู่ของข้าบอกว่าเมื่อครู่ท่านข่มขู่ข้าหรือ”
“เซี่ย?” ชายชราที่อยู่ด้านนอกระฆังหมอกดำได้ยินแล้วก็ตกใจ พวกเขาสำนักฉันปราณไม่ได้อยู่ในเต๋าฝั่งซ้าย แต่มาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้จักคนในสำนักของปรมาจารย์แห่งไฟ
“ใช่ เซี่ยของตระกูลเซี่ย เตาหลอมเก้าเต๋าที่จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกใช้กักขังผู้อาวุโสเฉินชิงจื่อก็เป็นสิ่งที่บิดาของข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือ” เซี่ยไห่หยางยิ้มบาง ชี้ไปยังอวกาศสีเทา
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกมา ดวงตาของผู้ฝึกตนจากสำนักและตระกูลทั้งหมดที่ให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่รอบๆ ล้วนหดเกร็ง ส่วนสีหน้าของชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก รู้สึกอิจฉาการโอ้อวดครั้งนี้ของเซี่ยไห่หยางเล็กน้อย สงสัยว่าตนใจไม่กล้าพอหรือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาคงยืนพูดเสียงเรียบนิ่ง บอกว่าเฉินชิงจื่อที่อยู่ในนั้นเป็นศิษย์พี่ของข้าเอง…
กลัวก็แต่ว่าประโยคนี้จะทำให้คนทั้งหมดตกใจจนขวัญสะเทือนน่ะสิ แต่คาดว่าหากทำเช่นนี้จริงๆ วันนี้อาจารย์คงได้ระเบิดคำสาปที่กักเก็บมานานหลายพันหมื่นปีออกมาแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็สนใจผู้คนที่อยู่โดยรอบ เป็นเพราะคำพูดของเซี่ยไห่หยางจึงได้เคร่งเครียดกันมาก อีกทั้งยังมีคนไม่น้อยที่มองมาทางตนแล้ว หวังเป่าเล่อก็ลอบถอนหายใจ
“เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์อยากให้พวกเราวางอำนาจ ช่างเถอะๆ…” เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า ร่างกายสั่นไหวแล้วเดินออกมาจากเทพวัวทันที เขายืนอยู่บนอากาศ ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังดารานิรันดร์วัยกลางคนที่เพิ่งจะมองยั่วยุมาทางตนในระฆังหมอกดำ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง
“ข้าไม่ชอบสายตาของเจ้า ออกมา ข้าฆ่าเจ้าได้…เพียงแค่สามอึดใจ”
ทันทีที่เอ่ย ความสงบนิ่งและความร้ายกาจก็มารวมกันบนร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีท่าทางไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่ ปรมาจารย์แห่งไฟเมื่อได้ยินก็ยิ่งหัวเราะลั่น ส่