บทที่ 1126 สนามรบจักรพรรดิสวรรค์!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เคล็ดวิชาเด็ดดารา เปลี่ยนดาวใดๆ ให้กลายเป็นดาวของตนเอง อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเต๋าสวรรค์ ปล้นชิงจากแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของโดยตรง ทันทีที่ถูกเด็ดเปลี่ยนแล้ว ก็เท่ากับว่าได้ลบรากเหง้าของดาวที่ถูกเด็ดดวงนั้นออกไปจากภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ทำให้มันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจักรวาลจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นโดยสมบูรณ์

เมื่อเป็นเช่นนี้…หากหวังเป่าเล่อแตกดับ เช่นนั้นดาวที่ถูกดึงมาก็ไม่อาจกลับไปได้!

เว้นเสียแต่…หวังเป่าเล่อจะไม่ได้แตกดับแค่ดวงวิญญาณเทพ แต่ร่างจริงก็แตกดับด้วย หรือก็คือกระดานไม้ดำที่สยบจักรพิภพเต๋าไพศาลในตอนนั้นนั่นเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ทันทีที่หวังเป่าเล่อใช้เคล็ดวิชาเด็ดดาราออกมา ผู้ที่ชนะก็ยังเป็นเขาทั้งนั้น!!

จุดนี้แตกต่างจากจากผู้ที่แอบฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อย่างลับๆ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ถึงแม้คนอื่นๆ ที่ฝึกวิชานี้จะปล้นชิงมาเช่นกัน แต่หลังจากร่างวิญญาณถูกทำลาย หากเต๋าสวรรค์ต้องการล่ะก็ เต๋าสวรรค์ก็สามารถชิงดาวกลับมาใหม่ได้ เพียงแต่จะยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ของหวังเป่าเล่อ…ไม่เหมือนกัน

และขณะที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้และเริ่มฝึกเคล็ดวิชาเด็ดดาราเพื่อเปลี่ยนอำนาจการเป็นเจ้าของของดวงดาวของตนอยู่นั้น ท่ามกลางการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นของดาราจักรไฟและโลกภายนอก ปรมาจารย์แห่งไฟและศิษย์ร่างแยกเหล่านั้นของเขาที่อยู่บนดาวเอกเพลิงล้วนตัวสั่นเทากันหมด

รวมไปถึงเทพวัวด้วย พวกเขาเงยหน้าขึ้นมามองไปทางที่พักของหวังเป่าเล่อพร้อมกัน

“กลิ่นอายแบบเมื่อครู่นี้…”

“เหมือนกับมีความรู้สึกว่าจะฉีกขาด คล้ายมีบางอย่างกำลังขุดหลุมออกไปจากจักรวาลของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น…”

ความรู้สึกนี้ลึกลับยิ่งนัก ผู้ที่ไม่มีพลังฝึกปรือจนถึงระดับหนึ่งยากจะสังเกตได้ ทั่วทั้งดาราจักรไฟก็มีเพียงปรมาจารย์แห่งไฟที่สัมผัสถึง ส่วนคนอื่นๆ ถึงแม้ตอนนี้จะตกใจกับการสั่นสะเทือนภายในดาราจักรไฟ แต่กลับไม่รู้เหตุผลของมัน

ขณะเดียวกัน ท่ามกลางอวกาศนอกดาราจักรไฟ ในตอนที่เกิดความบิดเบี้ยวและการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ ทั่วทั้งจักรวาลไม่รู้สิ้นก็ได้รับผลกระทบเล็กน้อยเพราะเหตุนี้เช่นกัน เพียงแต่ดาวที่หวังเป่าเล่อชิงไปนั้นก็คือดาวที่เขาหล่อหลอมเข้ามาเอง ขณะเดียวกัน จำนวนที่ดูเหมือนจะมาก แต่หากเทียบกับทั่วทั้งจักรวาลแล้ว มันกลับเล็กน้อยไม่สำคัญ เหมือนขนเส้นหนึ่งของวัวเก้าตัว

ดังนั้นถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบ แต่ก็ไม่ต่างกับความรู้สึกตอนดึงผมหนึ่งเส้นออกจากศีรษะด้วยซ้ำ ทั้งยังหายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นถึงความอัศจรรย์ของเวทเด็ดดาราแล้ว เขารออยู่เนิ่นนาน ไม่สนว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาแอบโล่งอก หลังจากสังเกตดูภายในร่างของตนอย่างละเอียด เขาก็สัมผัสได้ชัดถึง…ดวงดาราพิเศษนับหมื่นและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวง แล้วยังมีดวงดาวเต๋านิรันดร์ดวงนั้น พวกมันเริ่มไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอยู่อย่างเลือนราง

ความรู้สึกใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิมแพร่กระจายอยู่ในใจของเขา ถ้าหากบอกว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้คือการหลอมรวมระหว่างดวงดาราเหล่านี้กับตัวเขาซึ่งเหมือนกับการอยู่ร่วมกันมากกว่า เช่นนั้นความรู้สึกของหวังเป่าเล่อในตอนนี้…เหมือนว่าดาวพวกนี้ก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเขาที่ไม่อาจตัดแยกประดุจเลือดเนื้อไปแล้ว

ถึงแม้การเพิ่มขึ้นด้านพลังจะไม่ชัดเจนนัก แต่ในแง่ของความยืดหยุ่นทนทานกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ทั้งหมดทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ความคิด และอีกสองวันต่อมาเขาก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการฝึกฝนและการศึกษาเคล็ดวิชาเด็ดดารา เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาสามวันจึงผ่านพ้นไป

ไม่นานก็ถึงเวลานัดหมายกับปรมาจารย์แห่งไฟเพื่อไปยังสนามรบระหว่างเฉินชิงจื่อและเดือนแยกแล้ว การออกเดินทางครั้งนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นคนพาหวังเป่าเล่อไปด้วยตัวเอง ดังนั้นในเช้าตรู่ของวันที่สาม หวังเป่าเล่อที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ก็ได้ยินเสียงของอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟดังเข้ามาในหัว

“เป่าเล่อ เตรียมตัวเดินทาง!”

หวังเป่าเล่อพลันลืมตาขึ้น หลังจากสูดลมหายใจลึก เขาก็ลุกขึ้นเดินหนึ่งก้าว ก่อนที่เงาร่างจะเลือนราง จากนั้นเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนท้องฟ้าของดาวเอกเพลิงแล้วมองเห็นอาจารย์ยืนรอตนอยู่ที่นั่นแล้ว

“รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”

ปรมาจารย์แห่งไฟมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ไม่ได้ถามเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน แต่ยกมือขวาขึ้นมาคว้าจับ ทันใดนั้นเขาก็คว้าจับเซี่ยไห่หยางออกมาจากภายในดาวเอกเพลิงแล้ว

ทันทีที่เซี่ยไห่หยางปรากฏตัว เขาก็หันไปคำนับปรมาจารย์แห่งไฟและหวังเป่าเล่อทันที ในดวงตามีความประหม่าและตื่นเต้นปนเป

“ไห่หยาง บอกหลักการของเตาหลอมเทพและโครงสร้างภายในที่พ่อเจ้าทำขึ้นให้อาจารย์อาของเจ้าเสีย หลังจากเฉินชิงจื่อออกจากด่านแล้ว เรื่องนี้สามารถแก้ไขความผิดของพ่อเจ้าได้”

หลายวันมานี้ ความจริงแล้วเซี่ยไห่หยางก็กังวลอยู่กับเรื่องนี้จริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องของเฉินชิงจื่อก็ได้รับความสนใจจากจักรวาลไม่รู้สิ้นแล้ว เขาอยากจะไปปรึกษากับหวังเป่าเล่อ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อกลับมาก็กักตน ตอนนี้เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า เซี่ยไห่หยางก็สูดลมหายใจลึกแล้วประสานหมัดคำนับอย่างลึกซึ้งให้กับหวังเป่าเล่อ

“อาจารย์อา เรื่องโครงสร้างและหลักการของเตาหลอมเทพ ไห่หยางรู้แล้วจะต้องไม่เก็บงำอย่างแน่นอน และจะบอกท่านโดยไม่ปิดบังสักนิด”

หวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็คิดจะเอ่ยปาก แต่ปรมาจารย์แห่งไฟกลับหัวเราะลั่นออกมาก่อน

“ระหว่างทางใช้เวลาไม่น้อย พวกเจ้าทั้งสองคุยกันภายหลังเถอะ” กล่าวพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นเปลวเพลิงมโหฬารพลันระเบิดพวยพุ่ง เทพวัวที่อยู่ไกลๆ เงยหน้าขึ้นร้องคำรามแล้วก้าวตรงไปยังอวกาศ

จากนั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็ม้วนตัวหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางก้าวเดินตามไปเหยียบอยู่บนหลังของเทพวัว

เทพวัวแผดเสียงร้องอีกครั้ง เปลวเพลิงนอกร่างระเบิดทันใด มันแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องราวกับสามารถครอบคลุมดาราจักรทั้งผืนได้ จากนั้นก็พาหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยาง และปรมาจารย์แห่งไฟเคลื่อนตัวออกจากดาราจักรไฟทันที หนึ่งก้าวราวกับข้ามผ่านกาลอวกาศ ส่งเสียงร้องหวีดหวิวตรงไปยังสถานที่ต่อสู้ของเฉินชิงจื่อและเดือนแยก

ระหว่างทางที่เดินทาง ดาราจักรทั้งหมดล้วนสั่นสะท้าน สำนักทั้งหมดที่พวกเขาข้ามผ่านไม่มีใครไม่ตกตะลึง ถึงขั้นยังมีตระกูลอีกมากมายที่บินออกมาจากสถานที่ที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็วแล้วก้มคารวะให้จากที่ไกลๆ ไม่กล้าไม่แสดงความเคารพ

นี่ก็คือความน่าเกรงขามของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ระหว่างทาง เทพวัวแทบจะพุ่งทะยานอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าด้านหน้าจะมีสายธารดวงดาวอยู่ แต่ก็ล้วนถูกมันพุ่งชนผ่านไปทั้งสิ้น

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมา มีความกระหายอยากให้ตนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ ดีกว่าหน่อย อย่างไรเสียในตระกูลเซี่ยก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพอยู่บ้าง เขาจึงได้ประสบมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้เขามีเรื่องอื่นอยู่ในใจ ดังนั้นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่บอกเรื่องเกี่ยวกับเตาหลอมที่ข้างกายหวังเป่าเล่อเสียงเบา

เตาหลอมที่บิดาของเขาสร้างให้กับจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดสมบัติ สามารถสยบได้ทั่วทุกสารทิศ แต่มากน้อยอย่างไรในนั้นก็ยังมีกลเม็ดอยู่เล็กน้อย สิ่งที่เซี่ยไห่หยางบอกกับหวังเป่าเล่อก็คือจุดที่กลเม็ดเหล่านี้อยู่

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจเตาหลอมดียิ่งกว่าคนอื่นๆ บางทีอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่บางที…ก็มีประโยชน์มหาศาล

เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการบอกเล่าของเซี่ยไห่หยางและการควบทะยานของเทพวัว เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ การเดินทางครั้งนี้ไกลยิ่งกว่าดาวเคราะห์ชะตาไปจนถึงสุสานดวงดาราเสียอีก

แทบจะเคลื่อนผ่านทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หากดูจากขอบเขตก็เปรียบได้กับจักรวาลไม่รู้สิ้นที่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนให้หวังเป่าเล่อเดินทางไปเอง เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีหรือนานกว่านั้นถึงจะข้ามผ่านได้ แต่เมื่อมีเทพวัวควบทะยานอยู่ เวลาที่ใช้ก็ลดลงมาเป็นครึ่งเดือน!

ดังนั้นหลังจากครึ่งเดือนแล้ว นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของหวังเป่าเล่อที่…ออกมาจากขอบเขตของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แล้วมาปรากฏตัวขึ้นบนเขตแดนกว้างขวางระหว่างจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น!

เขตแดนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีรอยฉีกขาดของอวกาศกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นคือมีกลิ่นอายรุนแรง ไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ยิ่งไม่เหมาะสำหรับการฝึกตน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นชายขอบ

แต่วันนี้…สนามรบระหว่างเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกตั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากตระกูลและสำนักมากมายหลายฝ่าย ทำให้ยามที่พวกหวังเป่าเล่อมาถึงก็มีเงาร่างคนไม่น้อยรีบเร่งมาจากทั้งสี่ทิศแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่รู้จักปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อมองเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหลีก ทำให้เทพวัวที่ปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ทะยานไปยังขอบสนามรบโดยไม่เจออุปสรรคใดๆ!

เพิ่งจะเข้ามาใกล้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็ง เขามองเห็นว่ามีไอหมอกสีเทาขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ไอหมอกหนาอย่างยิ่ง มันกลิ้งไปปกคลุมทั่วทุกทิศทาง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่เอาไว้ภายในโดยสมบูรณ์

และด้านนอกอวกาศสีเทานี้ก็มีอาวุธเวทขนาดยักษ์และสัตว์อสูรพาหนะตัวมหึมาจำนวนมากรายล้อมอยู่ ในบรรดาอาวุธเวทเหล่านี้ มีทั้งยอดเขากลับด้าน รูปปั้นมหึมา ถึงขั้นมีดาวเคราะห์ที่เหมือนกับดาววารีอยู่ด้วย

ส่วนพวกสัตว์อสูรก็ยิ่งมีรูปร่างมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเต่ายักษ์หรือสัตว์ประเภทก้อนขน มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบนอาวุธเวทกับบนร่างของสัตว์อสูรทุกตัวก็มีเงาร่างของผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยอยู่แน่นขนัด เกรงว่าจำนวนของผู้ฝึกตนที่มารวมกันอยู่ที่นี่จะเกินกว่าหลายสิบล้านคนแล้ว

ขณะเดียวกันก็ยังมีสายรุ้งหลายสายทอดไปยังอวกาศที่มีไอหมอกสีเทาปกคลุมอย่างต่อเนื่อง บางคราวก็มีคนเดินเข้าไป บางคราวก็มีคนเดินออกมา

ทั้งหมดนี้ทำให้สถานที่แห่งนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวา นอกจากนั้นเมื่อปรมาจารย์แห่งไฟมาถึง ก็ยังมีพวกอาวุธเวทและสัตว์อสูรมหึมาพาผู้ฝึกตนแต่ละคนมารวมตัวกันจากทั้งสี่ทิศ หลังจากลอยอยู่ด้านนอกอวกาศสีเทา ผู้ฝึกตนพวกนี้ก็บินออกมาจากพาหนะทันทีแล้วตรงไปยังภายในอวกาศไอหมอกสีเทา

“ผู้ฝึกตนเยอะขนาดนี้เลย!” หวังเป่าเล่อยืนขึ้น ทอดมองไปทั่วทุกทิศ เกรงว่าสำนักและตระกูลที่อยู่ในที่นี้คงไม่ต่ำกว่าหลายพันแน่นอน แค่มองจากตรงหน้าก็มีอยู่มากมายหลากหลายแล้ว ถึงขั้นที่ยังมีคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอยู่ด้วย

“มากเกินไปหน่อยจริงๆ ยึดที่ดีๆ ไปหมด แต่ไม่เป็นไร ในเมื่ออาจารย์มาแล้ว ถ้าเห็นตำแหน่งของใครดีๆ ก็จะต้องหลีกทางให้อาจารย์นั่ง!” ปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่บนหลังเทพวัว เอ่ยปากเสียงเรียบนิ่ง

ขณะที่ส่งเสียงดังออกไป วัวแก่ใต้ร่างของปรมาจารย์แห่งไฟก็คล้ายจะตอบสนองบ้าง มันแผดเสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ อานุภาพไม่ธรรมดาสามัญ พลังแห่งจักรพิภพแผ่ออกไปจนทำให้หลังจากสำนักและตระกูลจำนวนไม่น้อยมองเห็นพวกเขา ก็พากันขมวดคิ้ว

“เจ้าปรมาจารย์เพลิงคนบ้านั่นมาแล้ว!”

“ไม่ใช่ว่าใช้แต่คำสาปหรือ เห็นใครก็ตะโกนร้องจะเอาคำสาปที่เก็บเอาไว้หลายพันปีออกมาอยู่ได้ หน้าไม่อาย!”

“เฮงซวย ข้าละอายจริงๆ ที่ได้คลุกคลีกับเขา!”

ขณะที่เกิดการสนทนา สำนักและตระกูลมากมายรอบด้านก็หลีกทางให้ทันที

เมื่อเห็นอานุภาพเช่นนี้ของปรมาจารย์แห่งไฟและวัวเฒ่า เซี่ยไห่หยางก็มีแรงบันดาลใจอย่างมาก ส่วนสีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกพิกล ความจริงระหว่างทางมานี้เขาได้ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง…

“ท่านอาจารย์เล่นมากเกินไปหรือไม่…บางครั้งให้ตัวเองไปเป็นสัตว์พาหนะของตัวเองก็ช่างเถอะ แต่เร่งเดินทางมาครึ่งเดือน ตอนนี้พอร่างจริงตะโกนร้องเสร็จแล้ว ก็จะให้ร่างสัตว์พาหนะคำรามต่อด้วย นี่มัน…ไม่เหนื่อยหรือ”

………………