ซูจิ่นซีเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของถังเสวี่ยเช่นกัน อย่างไรเสีย ถังเสวี่ยก็บาดเจ็บเพราะนาง แววตาเย็นชาของนางเหลือบมองเป่ยถังชิง แล้วพูดกับเยี่ยโยวเหยาเสียงดังว่า “ท่านอ๋อง ข้าไม่ชอบคนอืดอาด พูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า มีปัญญาแก้ปัญหาโดยการใช้กำลัง พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ บ้าง! ”
เยี่ยโยวเหยาเหลือบมองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เอ็นดูเป็นอย่างมาก
“พระชายาที่รักว่าอย่างไร ข้าก็ว่าอย่างนั้น ขอเพียงพระชายามีความสุขก็พอ โชคดีที่ข้าก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
อู๋จุนได้ยินบทสนทนาของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา คิ้วของเขาพลันกระตุก
จนถึงป่านนี้ คาดไม่ถึงว่าทั้งสองยังพลอดรักอย่างออกนอกหน้า? อย่างไรก็ตาม เขามีภูมิต้านทานสำหรับสถานการณ์เช่นนี้นานแล้ว เห็นมาเยอะจึงไม่แปลกใจอันใด
เพราะเขาชินแล้ว ยิ่งสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดมากเท่าไร ทั้งสองยิ่งผ่อนคลายมากเท่านั้น
เรียกได้ว่าท่าไม้ตายอยู่ภายหลัง วิธีการยังโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
เป็นจริงดั่งคาด เมื่อสิ้นเสียงของทั้งคู่ ไม่รู้เพราะเหตุใด องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเป่ยถังชิงจึงตัวสั่นทีละคนและล้มลงบนพื้นทั้งหมด
เป่ยถังชิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงหันศีรษะกลับไป ใบหน้าของเขาพลันซีดขาว
“พวกเจ้า… พวกเจ้าเป็นอันใดไปแล้ว? ลุกขึ้น… ลุกขึ้นมา… ข้าสั่งให้ลุกขึ้นมา… ”
จู่ๆ ความหนาวสั่นก็โจมตีเป่ยถังชิง เขาเดินไปฉุดกระชากองครักษ์อย่างบ้าคลั่ง พยายามลากพวกเขาทั้งหมดให้ลุกขึ้น ทว่าไม่มีผลแม้แต่น้อย
คนเหล่านั้นล้มลงกับพื้นทีละคน น้ำลายฟูมปาก พริบตาเดียวก็ไม่หายใจ… ตายกันหมด สาเหตุการตายดูเหมือนจะถูกวางพิษ
วางยาพิษ…
จู่ๆ เป่ยถังชิงก็นึกบางอย่างได้ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เผยความตื่นตระหนก ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างและเงยศีรษะมองไปทางซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
มีเรื่องเล่าขานว่า วิชาพิษของพระชายาโยวอ๋องน่ากลัว ใช้พิษไร้กลิ่นไร้สีฆ่าคนได้ กลับไม่คิดว่าจะเป็นความจริง หรือว่า… เมื่อครู่นางวางพิษ?
ซูจิ่นซียืนหลังเหยียดตรง ดวงตาเย็นชาอยู่เสมอ เดิมทีนางไม่ต้องการลงมือโหดร้ายถึงเพียงนี้ ทว่าคนเหล่านี้น่ารังเกียจเกินไป วันนี้ขัดขวางพวกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า น่ารำคาญยิ่งนัก
ทว่าการจัดการกับองครักษ์ไร้ประสิทธิภาพเหล่านี้ เทียบไม่ได้กับการวางยาพิษสังหารบอสระดับสูงของผู้เล่นมือใหม่ ซึ่งมันไม่ท้าทายอันใดแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีกวาดสายตามองเป่ยถังชิงด้วยความเย็นชา ไม่คิดเลยว่าคุณชายเป่ยถังอย่างเป่ยถังชิง ซึ่งก่อนหน้ายังยโสโอหัง คิดใช้กำลังบังคับให้ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ อยู่ กลับตกใจกลัวจนเป็นลมล้มลงกับพื้น ลุกขึ้นไม่ได้อีกเลย
ซูจิ่นซีไม่ชายตามองเขา นางกร่นด่าเสียงเย็นชาว่า “คนไร้ประโยชน์” ทุกคนต่างข้ามศพเหล่านั้นอย่างทุลักทุเล แล้วมุ่งหน้าออกไปจากจวนเป่ยถัง
ทว่าหลังจากเดินมาได้ครู่หนึ่ง ถังเสวี่ยก็ทนไม่ไหว
แม้จะบาดเจ็บสาหัส ทว่ายังดีที่มีอวิ๋นจิ่นกับซูจิ่นซี ทั้งสองช่วยกันผนึกจุดฝังเข็มสำคัญหลายจุดบนร่างของถังเสวี่ย อย่างน้อยก็ยืนหยัดไปจนกว่าจะกลับถึงที่พัก หลังจากนั้นก็ค่อยคิดหาวิธีรักษา
กลับไม่คิดว่าในเวลานี้ นางจะมีความผิดปกติ แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้แต่มือและคอที่โผล่นอกเสื้อผ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดง บนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ริมฝีปากและดวงตาแดงก่ำผิดปกติ นางใช้สองมือดึงรั้งคอเสื้อไม่หยุดและร้องว่า “ร้อน… ร้อนจัง… ร้อนมาก… ข้าร้อนเหลือเกิน… ”
อู๋จุนรีบตะโกนเรียกซูจิ่นซี “แม่นางพิษน้อย เดี๋ยวก่อน เจ้าดูหน่อยว่าเกิดอันใดขึ้นกับถังเสวี่ย? ”
ซูจิ่นซีรีบหยุดฝีเท้าและเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอู๋จุนกับถังเสวี่ย เมื่อเห็นสภาพถังเสวี่ย นางก็ขมวดคิ้วอย่างหนัก
สถานการณ์เช่นนี้ แม้กระทั่งคนโง่ยังรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น
ถังเสวี่ยถูกพิษ นอกจากนั้นยังเป็นพิษกำหนัด
เป่ยถังเฮ่อวางยาพิษถังเสวี่ยตั้งแต่เมื่อไร? เหตุใดระบบถอนพิษถึงไม่แจ้งเตือน?
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีรีบจับชีพจรถังเสวี่ย แม้ชีพจรจะอ่อนแอ ทว่าเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีอาการบ่งชี้ว่าถูกพิษ
อวิ๋นจิ่นตรวจชีพจรให้ถังเสวี่ยเช่นกัน ซึ่งลักษณะชีพจรก็เป็นแบบเดียวกับที่ซูจิ่นซีตรวจพบ
“ต้องมีรายละเอียดที่พวกเรายังตรวจไม่พบแน่นอน ทว่าตอนนี้ต้องถอดชุดนางเพื่อตัดสินจากบาดแผล” เสียงของซูจิ่นซีหนักแน่นอย่างมาก
อู๋จุนฟังจบก็เดินไปปลดชุดของถังเสวี่ยโดยไม่คิด “รีรออันใดอยู่? ยังไม่รีบดูอีกหรือ! ” ทว่าทันทีที่มือของเขาสัมผัสกระดุมบนคอเสื้อของถังเสวี่ย เขาก็หยุดชะงัก
ในใจของเขาต้องการตรวจดูอาการของถังเสวี่ย จึงไม่ได้คิดอันใดมากมาย ทว่าในเวลานี้อยู่บนถนน มีหลายสิ่งที่ไม่สะดวกจะพูด นอกจากนั้น เขายังเป็นบุรุษอีกด้วย!
แววตาของซูจิ่นซีมองไปรอบๆ พบว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนถนนเส้นหนึ่งข้างจวนเป่ยอี้อ๋อง
“สถานการณ์ของถังเสวี่ยในตอนนี้ไม่ทันให้กลับไปรักษาแล้ว นอกจากนั้น จวนเป่ยถังเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้จะต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน พวกเขาจะต้องออกค้นหาทั่วเมืองเสวียนเฉิงในชั่วข้ามคืนเป็นแน่ ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด พวกเราไปจวนเป่ยอี้อ๋องก่อนเถิด”
เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และซูจิ่นซีนึกถึงสถานที่แห่งเดียวกัน จึงไม่มีการคัดค้าน
ทุกคนจึงพาถังเสวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บแอบเข้าไปในจวนเป่ยอี้อ๋องอีกครั้ง
……
เวลานี้เป็นยามเฉิน ท้องฟ้าสว่างเล็กน้อยในยามเช้า
หลังจากเจ้าทึ่มส่งเป่ยถังหลีกลับไปเมื่อคืน เขาก็นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมัวแต่หาผลซานจาที่มีเนื้อมากที่สุดและสดที่สุดมาทำเป็นขนมถังหูลู่เสียบไม้ เมื่อถึงยามเฉินก็หยิบถังหูลู่ไปที่เรือนของเป่ยถังหลี
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเป็นอันใดกับเป่ยถังหลี เมื่อก่อนเขาอยากหลบหน้าก็ทำได้ เพียงรู้สึกว่ายิ่งอยู่ห่างนางมากเท่าไรก็ยิ่งดี ทว่าในตอนนี้ ทุกการแสดงออกบนใบหน้า ทุกการเคลื่อนไหวของนางล้วนเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของเขา
นางต้องการทำอันใด ต้องการทานอันใด ต้องการให้เขาทำอันใด ขอเพียงนางเอ่ยปาก เขาไม่เคยปฏิเสธ
ทว่าในใจรู้ชัดเจนดีว่า คนที่เขารักไม่ใช่นาง และไม่มีวันเป็นนางได้
หรือว่า… เป็นเพราะความรู้สึกผิด?
ความรู้สึกที่หยั่งรากลึกในก้นบึ้งหัวใจของเขา ความรู้สึกผิดที่ไม่อาจลบล้างได้ในชีวิตนี้ เขาปลอบใจตนเองอยู่เป็นเวลานาน
อย่างไรเสีย คืนหิมะตกคืนนั้น…
ทันทีที่เดินไปถึงประตูเรือนของเป่ยถังหลี ด้านในก็มีเสียงร้องตกใจของนางดังขึ้น
“พวกเจ้า… พวกเจ้าต้องการทำอันใด? ”
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่เจ้าทึ่มคุ้นเคยเป็นพิเศษ “อย่าส่งเสียง หากคนอื่นได้ยิน คนแรกที่ข้าจะสังหารก็คือเจ้า! ”
เจ้าทึ่มรีบซ่อนตัวข้างประตูและมองเข้าไปด้านในเงียบๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเป็นซูจิ่นซี แสงสว่างในดวงตาก็เปล่งประกายเล็กน้อย
ซูจิ่นซีบีบคอเป่ยถังหลีให้เข้าไปในห้อง ตามด้วยเยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และอู๋จุน ซึ่งในอ้อมแขนของอู๋จุนยังอุ้มถังเสวี่ยที่ได้รับบาดเจ็บเอาไว้
เจ้าทึ่มสวมหน้ากากสีเงิน จู่ๆ คิ้วภายใต้หน้ากากก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
แม่นางถังได้รับบาดเจ็บ?
พวกเขามาจากที่ใดกันแน่?
เพิ่งต่อสู้กันมาหรือ?
นางได้รับบาดเจ็บหรือ?
เดิมที ซูจิ่นซีบีบคอเป่ยถังหลีและเดินนำอยู่หน้าสุด ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด นางก้าวผ่านประตูเพียงเท้าเดียวก็หยุดชะงัก ทันใดนั้นก็หันศีรษะมองไปยังทิศทางที่เจ้าทึ่มยืนอยู่