ทว่าขณะที่ซูจิ่นซีหันหลังกลับอย่างกะทันหัน เจ้าทึ่มก็ถอยกลับ ซูจิ่นซีจึงไม่เห็นอันใด
“เจ้ากำลังมองสิ่งใดหรือ” เยี่ยโยวเหยาเอ่ยถาม
“ไม่มีเพคะ! ” ซูจิ่นซีจับเป่ยถังหลีเป็นตัวประกันและเดินเข้าไปข้างใน
เยี่ยโยวเหยาไม่คิดอันใดมาก เขาเดินตามซูจิ่นซีเข้าไปด้านใน สิ่งที่ทุกคนกังวลมากที่สุดในขณะนี้คืออาการบาดเจ็บของถังเสวี่ย
หลังจากที่ทุกคนไปแล้ว เจ้าทึ่มก็กัดริมฝีปากตนเอง ในดวงตาของเขาทอประกายลึกซึ้ง แม้เขาจะไม่เต็มใจยอมแพ้ ทว่าเขายังหันหลังกลับอย่างแน่วแน่และเดินจากไป
ทว่าไม่นานหลังจากที่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เงาร่างสีขาวราวกับเทพเซียนก็ปรากฏตัวเบื้องหน้า ยืนขวางทางเขาไว้
ดวงตาของเจ้าทึ่มค่อยๆ แหงนมองจากชายเสื้อผ้าสีขาวไร้รอยยับย่นของบุรุษผู้นั้น และเมื่อเขาเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น เขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“หมอ… หมอหลวงอวิ๋น… ”
อวิ๋นจิ่นมีท่าทีเย็นชา ตรงข้ามกับตอนที่เผชิญหน้ากับซูจิ่นซี
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”
“ข้า… ข้าอภัย ข้า… ข้าไม่รู้จักท่าน”
เจ้าทึ่มรีบหลบสายตา ดวงตาเปล่งประกายของเขามองผ่านอวิ๋นจิ่น และรีบเดินหลบไปอย่างรวดเร็ว
ทว่า เขาเรียกชื่อหมอหลวงอวิ๋นออกมาแล้ว กลับบอกว่าไม่รู้จัก? นี่เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันมิใช่หรือ?
ในเมื่ออวิ๋นจิ่นพบตัวแล้ว เขาจะปล่อยให้จากไปง่ายๆ ได้อย่างไร?
เขาก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ขวางหน้าเจ้าทึ่มอีกครั้ง
“ถอดหน้ากากออก! ”
เจ้าทึ่มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นพูดอีกครั้งว่า “ทางที่ดีเจ้าควรลงมือเอง หากให้ข้าทำ เกรงว่าคงทำให้ให้เจ้าบาดเจ็บเป็นแน่”
เจ้าทึ่มไม่ขยับ เห็นได้ชัดว่าดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินกำลังปรากฏความซับซ้อน
“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักท่านจริงๆ ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ในจวนเป่ยอี้อ๋อง ข้าสวมหน้ากากนี้เพราะใบหน้าของข้าน่าเกลียด เกรงจะทำให้คนอื่นตกใจ เหตุใดคุณชายต้องฝืนใจบีบบังคับคนอื่นเช่นนี้! ”
อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “เจ้าเรียกข้าว่าหมอหลวงอวิ๋น แต่กลับบอกว่าเจ้าไม่รู้จักข้า? เมื่อครู่พวกข้าจับตัวคุณหนูจิ่วของเจ้า เจ้าก็เห็นกับตา ซ้ำยังมีท่าทีสงบนิ่ง ทำให้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว”
เมื่อเห็นแววตาเจ้าทึ่มมองมาที่ตนเอง อวิ๋นจิ่นจึงพูดต่อ “หมายความว่า เจ้าเชื่อว่าพวกเราจะไม่ทำร้ายคุณหนูของเจ้าแน่ ดังนั้นเจ้ารู้จักพวกเรา! ”
เจ้าทึ่มหลบสายตา พยายามหลบเลี่ยงอวิ๋นจิ่นอย่างที่สุดเพื่อจากไป
“ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายกำลังพูดเรื่องใด? ข้าจะต้องรีบไปทำความสะอาดห้องของท่านอ๋องน้อย หากคุณชายไม่มีอันใด โปรดปล่อยข้าไปเถิด”
เจ้าทึ่มเดินไปได้สองก้าว จู่ๆ อวิ๋นจิ่นก็บีบหัวไหล่เขา เขาโก่งตัวหลบไปด้านข้างด้วยความตกใจ พยายามหลบเลี่ยงมือของอวิ๋นจิ่นที่กำลังจะถอดหน้ากาก ทว่าเขาไม่มีวรยุทธ์ ไม่มีทางหลบหนีได้พ้นแน่นอน
ดังนั้น อวิ๋นจิ่นจึงถอดหน้ากากบนใบหน้าของเขา
เมื่อเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากาก ดวงตาของอวิ๋นจิ่นก็เผยความตกตะลึงสุดขีด
“เป็นเจ้าได้อย่างไร? ”
……
หลังจากซูจิ่นซีอุ้มเป่ยถังหลีเข้ามาภายในห้องด้านใน นางก็สกัดจุดเป่ยถังหลี และผลักให้นั่งลงบนเก้าอี้
จากนั้นจึงพูดกับอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านหลังว่า “วางถังเสวี่ยลงบนเตียง เจ้าออกไปก่อน รัชทายาทตงเฉินคอยช่วยเหลือข้าอยู่ที่นี่”
อู๋จุนวางถังเสวี่ยลงบนเตียง ทว่าในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้น ถังเสวี่ยก็คว้าแขนของเขาไว้ แก้มของนางแดงฉานราวกับไฟ ดูงดงามมีเสน่ห์มากกว่าปกติ
“พี่เป่าอวี้ อย่าทิ้งถังเสวี่ย อย่าทิ้งถังเสวี่ย อย่าไปไหน…! ”
แววตาของอู๋จุนปรากฏความซับซ้อน ทว่าเขาค่อยๆ ดึงนิ้วมือของถังเสวี่ยออกทีละนิ้ว และลุกขึ้นเดินออกไป
ถังเสวี่ยนอนอยู่บนเตียง นางขมวดคิ้วแน่น พลางร้องตะโกนตลอดเวลา “ร้อนมาก… ร้อนมาก…! ”
หลังจากอู๋จุนเดินออกไป ซูจิ่นซีกับตงหลิงหวงช่วยพยุงถังเสวี่ยลุกขึ้นนั่ง และปลดกระดุมเสื้อผ้าของนาง
เมื่อพวกเขาเห็นสภาพบาดแผลบนแผ่นหลังของถังเสวี่ย ทั้งคู่ต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
แผ่นหลังสีขาวนวลมีรอยประทับบนหลังชัดเจน สีของรอยฝ่ามือเป็นสีเขียวอมม่วง นี่คือเลือดคั่งที่ไม่ได้ระบายออก นับเป็นเรื่องปกติ ทว่าสิ่งที่ผิดปกติคือมีแสงสีทองปะปนกับสีเขียวอมม่วง เรืองแสงระยิบระยับ
ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นสภาพบาดแผลเช่นนี้มาก่อน ตงหลิงหวงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง
นี่มัน… เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ทั้งสองสบตากัน และช่วยประคองถังเสวี่ยให้นอนราบลงก่อน
สถานการณ์ไม่ชัดเจน ทว่าไม่สามารถเฝ้าดูถังเสวี่ยทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้
ซูจิ่นซีทำได้เพียงพึ่งยารักษาพิษกำหนัด นางใช้เข็มเงินผนึกจุดชีพจรไว้ชั่วคราว เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดให้ถังเสวี่ย จากนั้นจึงปรึกษากับอวิ๋นจิ่นเพื่อหาวิธีรักษาต่อไป
หลังจากฝังเข็ม สีหน้าของถังเสวี่ยก็สงบลงมาก นางผล็อยหลับไป ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงจึงเดินออกไปด้านนอก
ทว่าห้องด้านนอกมีเพียง เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน รวมถึงเป่ยถังหลีที่ถูกสกัดจุดไว้เท่านั้น
“อวิ๋นจิ่นอยู่ที่ใด? ” ซูจิ่นซีถาม
“ไม่รู้! ” อู๋จุนตอบ “ข้าออกมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว”
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง เยี่ยโยวเหยาพูดว่า “ข้าก็ไม่ทันได้สนใจเช่นกัน ดูเหมือนเขาไม่ได้เข้ามากับพวกเรา เขาอาจมีเรื่องต้องทำกระมัง? ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า “ถังเสวี่ยบาดเจ็บสาหัสมาก บาดแผลภายในอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งรอยแผลแปลกประหลาด ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน อาการของนางเหมือนได้รับพิษ ทว่าระบบถอนพิษตรวจไม่พบสารพิษใดๆ ในร่างกายของนางเลย”
อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามาพอดี
สีหน้าของอู๋จุนย่ำแย่อย่างมาก เขารีบเดินไปข้างกายอวิ๋นจิ่นและลากเขาไปหาซูจิ่นซี
“เจ้าไปที่ใดมา? ช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เจ้าหายไปที่ใด? ไม่เลือกเวลาเอาเสียเลย แม่นางพิษน้อยกำลังตามหาเจ้า! ”
ท่าทางของอวิ๋นจิ่นยังคงอ่อนโยน ทว่ามีท่าทีรู้สึกผิดเล็กน้อย “กระหม่อมออกไปทำธุระส่วนตัว พระชายาโปรดให้อภัย! ” จากนั้นจึงเปลี่ยนหัวข้อ “รอยแผลของแม่นางถังเป็นอย่างไรบ้าง”
ซูจิ่นซีไม่ได้ซักไซ้ถามเรื่องที่เขาหายตัวไปอย่างกะทันหันเมื่อครู่ และบอกเล่าอาการทั้งหมดที่นางเห็นให้อวิ๋นจิ่น
“หมอหลวงอวิ๋น เจ้าเคยเห็นหรือได้ยินอาการเช่นนี้บ้างหรือไม่? ”
ทว่าอวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะเล็กน้อย “กระหม่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เช่นนั้น เรื่องนี้นับว่าจัดการได้ยากมากทีเดียว
อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ทว่า พระชายา กระหม่อมรู้สึกว่าอาการของแม่นางถัง เหมือนกับพิษของพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ซูจิ่นซีอยู่ในดินแดนต้องห้ามสกุลจง ซูจิ่นซีเคยได้รับพิษไร้กลิ่นไร้สีเช่นนี้เหมือนกัน แม้บอกได้ว่าได้รับพิษ แต่กลับไม่รู้ว่าได้รับพิษประเภทใด อีกทั้งระบบถอนพิษยังไม่สามารถตรวจพบข้อมูลของสารพิษอีกด้วย นอกจากนี้ พิษยังไม่มีอาการกำเริบแม้แต่น้อย ซูจิ่นซีจึงไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ทว่าเมื่ออวิ๋นจิ่นพูดถึงเรื่องนี้ นางจึงนึกขึ้นได้ทันที
“ทว่ายังมีบางอย่างแตกต่างกัน” ซูจิ่นซีกล่าว “แม้ในร่างกายของข้าจะได้รับพิษ ทว่าไม่เคยมีอาการกำเริบ ตรงกันข้าม พิษของถังเสวี่ยกำเริบอย่างเห็นได้ชัด ต้องถอนพิษอย่างเร่งด่วน รวมทั้งอาการบาดเจ็บภายในอีกด้วย ข้าเกรงว่าครั้งนี้คงโชคร้ายมากกว่าโชคดี”
การวิเคราะห์ของซูจิ่นซีถูกต้อง อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
อู๋จุนคว้าแขนของซูจิ่นซีอย่างอดทนไม่ไหว
“แม่นางพิษน้อย เจ้าเป็นปรมาจารย์ด้านการเล่นพิษ เจ้าต้องมีวิธีใช่หรือไม่? เจ้ารีบหาวิธีเถิด! ”