บทที่ 518.1 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

น้ำชุ่มชื้นดินอบอ้าว เรือนกายท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อ ฟ้าดินดั่งซึ้งนึ่งที่ทำให้อารมณ์ของคนอัดอั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

บนเส้นทางชาม้าโบราณที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีเส้นหนึ่งของแคว้นอู่หลิง ม้าห้าตัวขยับเคลื่อนหน้าไปอย่างเนิบช้า

อยู่ดีๆ ก็มีฝนตกลงมา ต่อให้สวมเสื้อกันฝน ทว่าฝนที่เม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองก็ยังคงตกกระทบจนใบหน้าปวดแสบปวดร้อน ทุกคนรีบพากันควบม้าหาที่หลบฝน ในที่สุดก็เจอกับศาลาพักเท้ากึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง จึงพากันหยุดม้าลง

ผลคือเห็นคนหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวในศาลา ข้างเท้าวางหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้หนึ่งใบ ด้านหน้าวางกระดานหมากล้อมและโถกระเบื้องเคลือบใส่เม็ดหมากขนาดเล็กสองใบ บนกระดานจัดวางตัวหมากสีขาวดำไว้ยี่สิบกว่าตัว พอเห็นพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ เพียงเงยหน้าส่งยิ้มบางๆ มาให้ จากนั้นก็คีบหมากวางบนกระดานต่อ

ชายฉกรรจ์พกดาบคนหนึ่งชำเลืองตามองชุดสีเขียวและพื้นรองเท้าของอีกฝ่าย ล้วนไม่มีคราบน้ำ น่าจะมาพักเท้าอยู่ที่นี่นานแล้ว จึงหลบฝนกระหน่ำครั้งนี้มาได้ ก็เลยจะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ดังนั้นถึงได้มานั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่ที่นี่

ผู้เฒ่าที่บุคลิกไม่ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าศาลา ดูท่าแล้วฝนคงไม่หยุดตกง่ายๆ จึงหันหน้ามายิ้มถามว่า “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คุณชายจะถือสาหรือไม่หากข้าขอเล่นด้วยสักตา?”

คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมารวบเม็ดหมากสีขาวดำบนกระดานเข้าไว้มุมเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ใส่กลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมาก แต่วางกองไว้ระหว่างตนเองกับกระดานหมาก แล้วจึงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ได้สิ”

เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งหันหน้ามายิ้มให้กัน

และยังมีสตรีโตเต็มวัยสวมหมวกคลุมใบหน้าคนหนึ่งที่นั่งลงบนม้านั่งยาวฝั่งตรงข้าม ก่อนจะนั่งลง นางได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางรองไว้ก่อน

ผู้เฒ่าคว้าเม็ดหมากสีขาวกำหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อข้าผู้อาวุโสอายุมากกว่าอยู่หลายปี คุณชายเชิญเดาก่อนได้เลย”

เฉินผิงอันคีบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด ผู้เฒ่าวางหมากขาวไว้บนกระดานหมาก มีทั้งหมดเจ็ดเม็ด ผู้เฒ่าจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญคุณชายเดินก่อนได้เลย”

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เปลี่ยนท่านั่งใหม่ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิแล้ว แต่นั่งเบี่ยงตัวหันข้างไม่ต่างจากผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ อีกมือหนึ่งคีบเม็ดหมากวางลงบนกระดาน

เด็กหนุ่มกระซิบกระซาบเบาๆ ข้างหูเด็กสาว “ดูจากท่าทาง มองดูแล้วคล้ายยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมคนหนึ่ง”

เด็กสาวยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ต่อให้ฝีมือในการเล่นหมากล้อมจะสูงแค่ไหน แต่จะสามารถทัดเทียมกับท่านปู่ของพวกเราได้หรือ?”

เด็กหนุ่มชอบที่จะเถียงกับเด็กสาวจึงกล่าวว่า “ข้าว่าคนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย ท่านปู่เคยบอกเองว่า ยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อม ขอแค่เล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากเซียนบนภูเขาที่ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว อายุประมาณยี่สิบปีคือช่วงอายุที่สามารถเล่นได้เก่งที่สุด ส่วนผ่านอายุสามสิบปีไป ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งลำบากมากเท่านั้น”

เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืด “คนที่ท่านปู่พูดถึง หมายถึงแค่คนอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้กลายเป็นฉีไต้จ้าว คนทั่วไปไม่ได้อยู่ในกรณีนี้”

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ต่อให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของตัวเองจะสูงมากจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้น แต่ก็ยังไม่รีบร้อนจะวางหมาก การเล่นหมากล้อมกับคนแปลกหน้า มักจะกลัวความใหม่และความแปลกประหลาดอยู่เสมอ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังเด็กรุ่นหลังทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “รู้แล้วขอรับ ไม่พูดเวลาเล่นหมากล้อม”

บนกระดานมาก หลังจากวางเม็ดหมากกันไปไม่ถึงสามสิบครั้ง เด็กหนุ่มเด็กสาวก็หันมามองหน้ากันเอง

ที่แท้ก็เป็นคนฝีมือห่วยที่ผิดต่อทุกรูปแบบที่เล่นไปก่อนหน้านี้

อย่าว่าแต่ท่านปู่ที่เป็นนักเล่นระดับแคว้นเลย ต่อให้เป็นพวกเขาสองคนลงสนามรบ ยอมให้อีกฝ่ายสักสองสามเม็ดก็สามารถพิฆาตให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้

ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม

อันที่จริงผู้เฒ่าไม่ค่อยสนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ยังคงประชันฝีมือกับคนหนุ่มชุดเขียวอย่างอดทนต่อไป

ในช่วงฤดูฝน ได้มาเจอกับสหายบนกระดานหมากล้อมในต่างบ้านต่างเมือง ถือเป็นเรื่องโชคดีแล้ว

คนหนุ่มผู้นั้นเงยหน้ามองม่านฝนที่อยู่นอกศาลาแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ ช่วยเขาย้อนทวนกระดาน อันที่จริงคนชุดเขียวต่างถิ่นที่สะพายหีบไม้ไผ่ทัศนาจรผู้นี้พอจะมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมอยู่บ้าง ขนาดผู้เฒ่าก็ยังมองเขาสูงกว่าคนอื่น เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเจอเข้ากับยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริง เพียงแต่ว่าภายหลังไม่นานเรี่ยวแรงก็เหือดหาย กองทัพพ่ายแพ้ดุจภูเขาล้มครืน น่าเสียดายอย่างยิ่ง ตอนที่ทบทวนกระดานกัน คนทั้งสองก็พูดคุยกันไปด้วย คนหนุ่มผู้นั้นบอกว่าตัวเองแซ่เฉิน มาจากทิศใต้ การเดินทางมายังทิศเหนือครั้งนี้ ก็เพราะอยากจะไปเยือนแคว้นลวี่อิงที่เป็นทางเข้าสู่มหาสมุทรของแม่น้ำสายใหญ่ทางทิศตะวันออก จากนั้นก็ขึ้นไปดูทางตอนบนของแม่น้ำใหญ่ ส่วนผู้เฒ่าแซ่สุย ลาออกจากงานราชการกลับคืนสู่บ้านเกิด ครั้งนี้เดินทางไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน เพราะฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนจะจัดงานชุมนุมพืชหญ้าที่จะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี ยอดฝีมือวงการหมากล้อมหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นอู่หลิงและแคว้นจินเฟยล้วนสามารถไปเที่ยวชมที่เมืองหลวงต้าจ้วนดูได้ นอกจากฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนจะเอาของตกแต่งในห้องหนังสือเลื่อมร้อยอัญมณีที่มีมูลค่าควรเมืองหนึ่งชุด ซึ่งรวมทั้งสิ้นเก้าชิ้นมามอบให้กับคนเก้าคนแล้ว ยังมีตำราหมากล้อมอีกเล่มหนึ่งที่นักเล่นหมากล้อมปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ซึ่งจะให้เป็นของรางวัลสำหรับผู้ที่ช่วงชิงอันดับหนึ่งได้

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “งามชุมนุมพืชหญ้านี้เริ่มต้นและสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?”

หลานชายของผู้เฒ่าแซ่สุย เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นแย่งตอบว่า “เริ่มจัดขึ้นในวันลี่ชิวช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง ถึงเวลานั้นฉีไต้จ้าวและยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงของแต่ละแคว้นจะต้องมารวมตัวกันที่เมืองหลวง ภายใต้การจัดการของอริยะเหวยแห่งวงการหมากล้อมต้าจ้วนกับลูกศิษย์อีกสามคน จะมีการคัดเลือกเมล็ดพันธ์นักเล่นหมากล้อมของแต่ละแคว้นออกมาแข่งกันสามรอบแรกก่อน ส่วนนักเล่นคนอื่นๆ ก็จะจับฉลากแล้วจับคู่กัน เพื่อคัดเลือกคนออกมาอีกหนึ่งร้อยคน บวกกับเมล็ดพันธ์การเล่นหมากล้อมยี่สิบคนของแต่ละแคว้นที่แข่งไปสามรอบแรก พอถึงวันลี่ตงเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวถึงจะเป็นการงัดข้อของยอดฝีมืออย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่หิมะตกหนักของปีจะเป็นช่วงที่หิมะแรกตกในเมืองหลวงต้าจ้วน ถึงเวลานั้นก็จะเหลือผู้เล่นแค่สิบคนเท่านั้น ของตกแต่งเลื่อมร้อยอัญมณีและตำราหมากล้อมเล่มนั้นที่ฮ่องเต้สกุลโจวจะเอาออกมาก็คือของในกระเป๋าของคนพวกนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายังจำเป็นต้องมีการแบ่งลำดับ คนที่ชนะห้าคน จะมีคนหนึ่งที่สามารถเล่นหมากล้อมกับอริยะเหวยได้หนึ่งตา คนผู้นั้นนับว่าโชคดีมาก ไม่เพียงแต่ได้รับเกียรติแข่งขันกับอริยะหมากล้อม อีกทั้งต่อให้แพ้ก็ยังสามารถไปเล่นรอบต่อไปได้”

เฉินผิงอันถาม “ฝีมือของอริยะเหวยผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสูงส่งกว่าทุกคนระดับขั้นใหญ่เลยทีเดียวสินะ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว อริยะเหวยคือเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าจ้วน ฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเขาไร้ศัตรูทัดเทียม เมื่อสิบปีก่อนท่านปู่ของข้าเคยโชคดีได้เล่นหมากล้อมกับอริยะเหวยหนึ่งตา ทว่าน่าเสียดายที่พ่ายหลังแพ้ให้กับลูกศิษย์อายุน้อยคนหนึ่งของอริยะเหวย ไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่สามอันดับแรกได้ แต่ไม่ใช่เพราะฝีมือของท่านปู่ข้าไม่สูง แต่เป็นเพราะฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเด็กคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป อายุสิบสามสิบสี่ปีก็สามารถสืบทอดฝีมือของอริยะเหวยมาได้ถึงเจ็ดส่วนแล้ว งานชุมนุมพืชหญ้าของต้าจ้วนเมื่อสิบปีก่อน หากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์ของราชครูต้าจ้วนผู้นี้ปิดด่าน ไม่อาจมาเข้าร่วมได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉู่เหยาแห่งแคว้นหลันฝางได้อันดับหนึ่งไปครอง งานชุมนุมพืชหญ้าของเมื่อสิบปีก่อนเป็นครั้งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด พวกฉีไต้จ้าวที่มีฝีมือในระดับต้นๆ หลายคนก็ไม่ได้ไปร่วม ท่านปู่ของข้าก็เช่นกัน”

เฉินผิงอันถาม “ผู้ฝึกตนบนภูเขาสามารถเข้าร่วมได้ด้วยหรือ?”

เรื่องของการเล่นหมากล้อมนั้น

บนภูเขากับล่างภูเขาต่างกันราวฟ้ากับดิน

นักเล่นระดับแคว้นและฉีไต้จ้าวของราชวงศ์โลกมนุษย์ เมื่อมาเจอกับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่เชี่ยวชาญศาสตร์การเล่นหมากล้อมก็แทบจะไม่มีโอกาสชนะได้ จุดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ารูปแบบการเล่นอันมหัศจรรย์บางอย่างของล่างภูเขา แทบจะไม่เคยได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนบนภูเขาเลย อีกทั้งการคลายปัญหาเป็นตายบนกระดานหมากของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็มักจะทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดยากจะเข้าใจอยู่เสมอ

ผู้เฒ่าแซ่สุยยิ้มกล่าว “หนึ่งเพราะเทพเซียนบนภูเขาต่างก็เป็นบุคคลที่อยู่อาศัยท่ามกลางเมฆหมอก สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว นับว่าพบเห็นได้ยากอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ผู้ฝึกตนที่ชอบเล่นหมากล้อมก็ยิ่งหาได้ยาก ดังนั้นงานชุมนุมพืชหญ้าของเมืองต้าจ้วนที่จัดขึ้นในแต่ละครั้งจึงมีผู้ฝึกตนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น ส่วนลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของอริยะเหวยท่านนั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่วางเม็ดหมากจะวางอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะไม่อยากจะยึดครองความได้เปรียบมากเกินไปนัก ข้าเคยโชคดีได้ประลองกับเขามาก่อน ทุกครั้งที่ข้าวางหมากหนึ่งเม็ด เด็กคนนั้นก็แทบจะวางตามมาติดๆ ทันที รวดเร็วฉับไวมาก ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างจริงใจ”

เฉินผิงอันถาม “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสุยเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงนี้ทางเมืองหลวงต้าจ้วนมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น?”

ผู้เฒ่ามีสีหน้าสงสัย ก่อนจะส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ยินดีรับฟังอย่างละเอียด”

เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “เป็นแค่ข่าวเล็กๆ ที่ได้ยินมาจากในยุทธภพเท่านั้น บอกว่าด้านนอกเมืองหลวงต้าจ้วนมีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง เกิดอุทกภัยไม่หยุด”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่ยี่หระ “พูดถึงแม่น้ำอวี้ซีนั่นกระมัง? นี่มีอะไรให้ต้องกังวลกัน มีเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นอย่างอริยะเหวยคอยบัญชาการณ์ แม้ว่าจะมีน้ำท่วมผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง แต่จะท่วมกลบทับเมืองหลวงได้จริงๆ เลยหรือ? ต่อให้มีภูตน้ำก่อกวนอยู่จริงๆ ข้าว่าก็คงไม่ต้องให้อริยะเหวยลงมือเองหรอก ปรมาจารย์ที่มีวิชากระบี่ดุจดั่งฝีมือของเทพเจ้าคนนั้นแค่ไปเยือนแม่น้ำอวี้ซีครั้งหนึ่ง ใต้หล้าก็สงบสุขแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้ม “ยังต้องระวังสักหน่อย ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสุยจะไปเยือนเพราะชื่นชอบวัตถุชิ้นใดของเลื่อมร้อยอัญมณีชุดนั้นหรือ?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “งานชุมนุมพืชหญ้าครั้งนี้มียอดฝีมือรวมตัวกันมากมายเหมือนก้อนเมฆ ไม่เป็นรองจากสองครั้งก่อนเลย แม้ว่าข้าจะพอมีชื่อเสียงอยู่ในแคว้นของตัวเองอยู่บ้าง แต่กลับรู้ดีว่าไม่อาจติดสิบอันดับแรกได้ ดังนั้นการไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนครั้งนี้จึงหวังแค่ว่าจะได้เจอกับสหายในวงการหมากล้อม ได้ดื่มชากับมิตรเก่าจากแคว้นอื่นบ้างก็เท่านั้น นอกจากนี้ก็ถือโอกาสซื้อตำราหมากล้อมจัดพิมพ์ใหม่มาสักหลายๆ เล่ม แค่นี้ก็พึ่งพอใจแล้ว”

สตรีโตเต็มวัยสวมหมวกม่านคลุมหน้าที่เงียบงันมาโดยตลอดคนนั้นเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าคุณชายคนนี้กล่าวได้ถูกต้อง อุทกภัยของแม่น้ำอวี้ซีครั้งนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด อยู่ภายใต้เปลือกตาของคนเมืองหลวงต้าสุย หากอริยะหมากล้อมเหวยและเทพีแห่งการต่อสู้สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดายจริงๆ มีหรือจะถ่วงเวลารั้งรอมาถึงตอนนี้ กลัวก็แต่ว่าปัญหาของแม่น้ำอวี้ซีจะไม่น้อย แต่เพราะฮ่องเต้สกุลโจวกลัวจะขายหน้าก็เลยไม่ยอมล้มเลิกงานชุมนุมพืชหญ้าครั้งนี้ ถึงเวลานั้นหากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น…”

สตรีไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะหากบิดายืนกรานจะเดินทางต่อ คำพูดของนางก็จะกลายเป็นคำพูดอัปมงคล

อันที่จริงการเดินทางมาร่วมงานชุมนุมพืชหญ้าของราชวงศ์ต้าจ้วนครั้งนี้ แรกเริ่มนางก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แน่นอนว่าผู้เฒ่าไม่อยากพลาดงานเลี้ยง เพื่อให้เด็กรุ่นหลังในครอบครัวสบายใจ จึงยอมถอยหนึ่งก้าว โดยผู้เฒ่าไปเชิญปรมาจารย์ในยุทธภพที่สนิทสนมกันท่านหนึ่งให้มาช่วยคุ้มครอง อีกฝ่ายคือปรมาจารย์ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นอู่หลิง และยังเป็นสหายต่างวัยของเขา ตลอดทางมานี้ก็คอยดูแลพวกเขาทุกเรื่องจริงๆ ชายฉกรรจ์ที่พกดาบคนนั้นมีนามว่าหูซินเหวย คิดว่าหลังจากคุ้มกันพวกเขาไปส่งถึงเมืองหลวงต้าจ้วนแล้ว ระหว่างการจัดงานชุมนุมพืชหญ้า เขาก็จะไปเยี่ยมเยือนสหายในยุทธภพที่แคว้นจินเฟยสักรอบ

งานชุมนุมพืชหญ้าที่จัดขึ้นในเมืองหลวงต้าจ้วนคืองานเลี้ยงฉลองใหญ่ที่จะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี นอกจากจะมีการประลองของนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นจากพื้นที่ต่างๆ ที่ดึงดูดให้ผู้คนพากันมาเยือนแล้ว ภาพบรรยากาศของการเดิมพันหมากล้อมในตรอกและถนนใหญ่ของเมืองก็ยิ่งมีให้เห็นทั่วทุกหนแห่ง เหล่าเสนาบดี ขุนนางใหญ่ ชนชั้นสูงทั้งหลายล้วนชื่นชอบในการวางเดิมพันกับตัวของยอดฝีมือที่เข้าร่วมงานชุมนุมพืชหญ้า ส่วนคนมีเงินที่ร่ำรวยแต่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์กลับจะชอบวางเดิมพันไว้กับนักเล่นอิสระที่อยู่นอกงานชุมนุม และจำนวนเงินที่ลงเดิมพันไปก็ไม่น้อย เล่าลือกันว่างานชุมนุมพืชหญ้าในแต่ละครั้งของเมืองหลวงต้าจ้วนจะต้องมีรายรับที่น่าตะลึงซึ่งเป็นจำนวนเงินมากหลายล้านเงินขาว ชาวบ้านของเมืองหลวงที่ได้รับอิทธิพลจากคนระดับสูงก็ชอบที่จะเดิมพันเล็กๆ เช่นกัน พวกเขาจะโยนเงินสองสามตำลึงไว้ที่หัวถนนท้ายตรอก ครอบครัวระดับกลางที่พอมีอันจะกิน หากเดิมพันหลายร้อยตำลึงเงินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วัดวาอารามน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต้าจ้วน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นปัญญาชนคนสูงศักดิ์จากแคว้นใต้อาณัติที่เดินทางมาไกล ไม่สะดวกจะทุ่มเงินโดยตรง ก็จะใช้สิ่งของที่สร้างขึ้นอย่างประณีตมาวางเดิมพันแทน หลังจบงานหากเอาไปขายเปลี่ยนมือก็จะยิ่งได้เงินก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่ง

เด็กสาวกล่าวอย่างได้รับความไม่เป็นธรรม “ท่านอา หากพวกเราไม่ไปเมืองหลวงต้าจ้วน ก็ไม่เท่ากับว่าที่เดินทางกันมาไกลขนาดนี้ล้วนเสียเที่ยวเปล่าหรอกหรือ ตั้งพันกว่าลี้เชียวนะ”

เด็กสาวมีใจที่เห็นแก่ตัว เพราะนางอยากจะไปพบหน้าลูกศิษย์คนสุดท้ายของราชครูต้าจ้วนที่เอาชนะท่านปู่ของตนได้ในปีนั้น ตอนนี้คนในกลุ่มเทพเซียนที่ติดตามราชครูฝึกบำเพ็ญตนผู้นี้เพิ่งจะมีอายุได้แค่ยี่สิบต้นๆ เป็นสตรีเหมือนกัน ว่ากันว่ารูปโฉมของนางงามล่มเมือง องค์ชายสกุลโจวสองพระองค์ยังเปิดศึกทะเลาะกันเพราะหึงหวงนาง สหายของนางที่ชอบเล่นหมากล้อมต่างก็หวังว่านางจะได้เห็นเทพธิดาสาวผู้นั้นกับตาตัวเอง ด้วยอยากรู้ว่าสรุปแล้วนางเป็นโฉมสะคราญ มีมาดแห่งเทพเซียนอย่างที่เล่าลือกันจริงหรือไม่ และนางก็ป่าวประกาศไปแล้วว่า เมื่อไปถึงงานชุมนุมพืชหญ้าของเมืองหลวงต้าจ้วน จะต้องหาโอกาสไปพูดคุยกับเทพธิดาผู้นั้นให้ได้

ชายฉกรรจ์พกดาบที่เฝ้าอยู่หน้าประตูศาลา การที่ปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งยอมทำงานหนักโดยไม่บ่นสักคำ ยอมมาทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งขุนนางติดตัวนานแล้ว เดินทางไปกลับใช้เวลานานเกือบครึ่งปีเช่นนี้ คนทั่วไปย่อมไม่อาจทำได้ หูซินเหวยหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่น้ำอวี้ซีนอกเมืองหลวงต้าจ้วนสายนั้นมีคำกล่าวถึงภูตประหลาดที่ทำตัวลึกลับอยู่จริง ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มีข่าวเล่าลืออยู่ในยุทธภพมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าอาจไม่แน่เสมอไป แต่คุณหนูสุยก็พูดไม่ผิด พี่ใหญ่สุย การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราต้องระวังตัวให้มากจริงๆ”

ผู้เฒ่ารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

แม้แต่จอมยุทธในยุทธภพอย่างหูซินเหวยก็ยังพูดแบบนี้ ผู้เฒ่าจึงอดเป็นกังวลใจไม่ได้ แต่หากจะให้เดินทางกลับตอนนี้ เขาก็ไม่อยากยินยอม

—–