บทที่ 518.2 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ามวยผมอย่างสตรีที่แต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ  จิตใจนางรู้สึกไม่เป็นสุขเท่าใดนัก เกี่ยวกับการเดินทางไกลมาเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนพร้อมกับบิดาและหลานชายหลานสาวครั้งนี้ นางเคยทำนายเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ล้วนได้คำทำนายที่แปลกประหลาดทั้งสิ้น ท่ามกลางความอันตรายอย่างใหญ่หลวงกลับมีโชควาสนาล้อมวน สรุปก็คือไม่แน่นอนว่าเป็นโชคหรือเคราะห์ นี่ทำให้นางยากจะคาดเดาความหมายอันลึกซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ อันที่จริงหากอิงตามหลักทั่วไป ราชวงศ์ต้าจ้วนสงบสุขมาเนิ่นนาน กองกำลังแคว้นก็รุ่งเรือง เมื่อเทียบกับกองกำลังของราชวงศ์ต้ากวานที่อยู่ทางใต้แล้วก็เรียกได้ว่าสูสีใกล้เคียงกัน อีกทั้งเชื้อพระวงศ์ของสองฝ่ายยังมีการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กัน และราชวงศ์ต้าจ้วนก็ยังมีเทพีแห่งการต่อสู้และเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นคอยปกปักษ์รักษาเมืองหลวง ข่าวลือประหลาดที่ส่งมาจากแม่น้ำอวี้ซี ต่อให้เป็นความจริงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร นางเชื่อว่าแม่น้ำอวี้ซีที่ไม่เคยมีการแต่งตั้งเทพวารีและสร้างศาลเจ้าขึ้นมาอาจจะมีเจียวดำตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่จริง แต่หากจะบอกว่าเจียวน้ำสามารถสร้างความวุ่นวายให้แก่เมืองหลวงต้าจ้วนได้ นางกลับไม่เชื่อ

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ตลอดหลายปีมานี้ตนได้แค่อาศัยสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่ยอดฝีมือทิ้งเอาไว้ อาศัยการใคร่ครวญคาดเดาของตัวเองมาฝึกวิชาตระกูลเซียนอย่างส่งเดช ไม่เคยมีวิสุทธิอาจารย์ ไม่มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบที่แท้จริงคนหนึ่งคอยชี้นำสั่งสอน ไม่อย่างนั้นนางคงมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะไปหรือไม่ไปเมืองหลวงต้าจ้วนดี

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง

อาหญิงของตนเป็นคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง เล่าลือกันว่ามีวันหนึ่งหลังจากที่ท่านย่าตั้งครรภ์ได้สิบเดือน นางฝันเห็นว่ามีเทพองค์หนึ่งอุ้มเด็กเดินเข้ามาในศาลบรรพชนแล้วส่งมอบให้ท่านย่าด้วยมือของตัวเอง ภายหลังก็ได้ให้กำเนิดอาหญิง ทว่าอาหญิงกลับมีชะตาแข็ง นับตั้งแต่เด็กมานางก็เชี่ยวชาญวิชาพิณ หมากล้อม วาดภาพและพู่กันอย่างครบถ้วน ในอดีตมียอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาเยือนตระกูลมอบปิ่นทองสามชิ้นกับชุดผ้าโปร่งบางที่มีชื่อว่า ‘เสื้อไผ่’ อีกตัวหนึ่งไว้ให้ บอกว่านี่คือโชควาสนา หลังจากยอดฝีมือจากไป ภายหลังยิ่งอาหญิงโดดเด่นมากเท่าไรก็ยิ่งมีชื่อเสียงอยู่ในราชสำนักแคว้นอู่หลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการประพันธ์มากเท่านั้น ทว่าในเรื่องการแต่งงานของอาหญิงกลับมีอุปสรรค ท่านปู่ช่วยหาสามีมาให้นางสองคน คนแรกคือถั่นฮวาแห่งแคว้นอู่หลิงที่ฐานะเหมาะสมคู่ควรกัน ในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงอู่หลิง คิดไม่ถึงว่าภายหลังจะไปพัวพันกับคดีเคอจวี่ ท่านปู่จึงไม่กล้าหาคนที่เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตมาให้นางอีก ตอนหลังได้เจอกับบุรุษหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถในยุทธภพที่อักษรแปดตัวแข็งยิ่งกว่า ทว่าในขณะที่อาหญิงใกล้จะได้แต่งงาน ทางครอบครัวของอีกฝ่ายกลับเกิดเรื่องขึ้นมาอีก จอมยุทธหนุ่มตกอับผู้นั้นจึงออกเดินทางไกล เล่าลือกันว่าเขาไปท่องอยู่แถวแคว้นหลันฝาง แคว้นชิงสือ และได้กลายเป็นวีรบุรุษของพื้นที่แถบหนึ่งแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แต่งงาน และยังคงอาลัยอาวรณ์ต่ออาหญิง

อาหญิงอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับยังมีหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหล ประดุจเทพธิดาที่เดินออกมาจากภาพวาดฝาผนัง

หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายปีมานี้อาหญิงเก็บตัวเงียบ แทบไม่เคยปรากฏตัว บางครั้งที่ไปจุดธูปไหว้พระตามวัดวาอารามก็จะไม่เลือกไปในวันที่มีผู้คนเยอะอย่างวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน เวลาปกติก็แค่แต่งกลอนร่ายกวีกับปัญญาชนจำนวนน้อยนิดเพียงแค่หยิบมือ อย่างมากสุดก็มีแค่ยามเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ถึงจะเล่นหมากล้อมด้วยกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มก็เชื่อว่าต่อให้อาหญิงจะเป็น ‘หญิงแก่’ ที่อายุปูนนี้แล้ว ก็ยังต้องมีคนมาสู่ขอจนธรณีประตูบ้านสึกอย่างแน่นอน

สำหรับการเดินทางมาเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็มีความคาดฝันในแบบที่แตกต่างไปจากพี่สาวของตน นอกจากฮ่องเต้สกุลโจวจะจัดงามชุมนุมพืชหญ้าแล้ว ราชวงศ์ต้าจ้วนยังจะมีการคัดเลือกยอดฝีมือในยุทธภพสิบคนและสาวงามสี่คน ขอแค่คนที่ติดอันดับอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วนก็ล้วนสามารถถูกฮ่องเต้สกุลโจวเรียกเข้าเฝ้าแล้วมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้ ไม่แน่ว่าเมืองหลวงต้าจ้วนในตอนนี้อาจมีปรมาจารย์อายุน้อยที่เพิ่งติดอันดับใหม่มารวมตัวกันมากมายแล้ว การแสดงความคิดเห็นให้คำวิจารณ์ต่อยุทธภพซึ่งจะมีขึ้นสิบปีครั้งนี้ คนแก่คนใดต้องถูกคัดออก คนหน้าใหม่คนใดจะได้ขึ้นตำแหน่ง เมืองหลวงต้าจ้วนก็มีการวางเดิมพันด้วยเม็ดเงินมหาศาลเช่นกัน

แม้ว่าเด็กหนุ่มแซ่สุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลของปัญญาชนผู้มีความรู้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่ท่านปู่ คนรุ่นพ่อและรุ่นพี่ของเขาเดินผ่านมา เดินอิงตามลำดับขั้นตอนทีละก้าวจนกลายไปเป็นขุนนางบุ๋นของแคว้นอู่หลิง ทว่าส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มกลับเลื่อมใสวีรบุรุษและจอมยุทธผู้องอาจในยุทธภพมากที่สุด นิยายต่อสู้ในยุทธภพหลายสิบเล่มที่เก็บไว้ในห้องหนังสือถูกเขาพลิกเปิดอ่านจนเปื่อยทุกเล่ม ต่อให้ท่องย้อนกลับหลังก็ยังท่องได้คล่องราวสายน้ำไหล สำหรับคนในยุทธจักรที่ใช้ความสามารถของตนสร้างชื่อเสียงขึ้นมาอย่างท่านอาหูผู้นี้ เขาก็ยิ่งเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธใหญ่หูมีภรรยาและลูกสาวอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก็อยากจะจับคู่เขากับอาหญิงของตัวเองจริงๆ

เฉินผิงอันมองสีหน้าของผู้เฒ่าแซ่สุย ดูแล้วน่าจะยังอยากไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วนมากกว่า เขาจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก

ก่อนหน้านี้ตอนที่ทบทวนกระดานหมากล้อมสิ้นสุด ฝนก็หยุดตกพอดี

เพียงแต่ว่าทางดินโคลนด้านนอกนั้น นอกจากเฉินผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ในศาลาต่างก็คล้ายมีเรื่องในใจจึงไม่คิดจะรีบร้อนออกเดินทางต่อ

เฉินผิงอันเก็บกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่เแล้ว เขาจับไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา สวมงอบให้เรียบร้อย แล้วจึงบอกลาจากไป

ก่อนหน้านี้ชำเลืองมองม่านฝนแวบหนึ่ง โยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้ ทบทวนกระดานสิ้นสุดลง ก็เป็นช่วงเวลาที่ฝนหยุดตกและท้องฟ้าสีครามใสกระจ่างพอดี

เดิมทีนี่ก็เป็นการเตือนโดยไร้เสียงอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน ส่วนข้อที่ว่าสตรีสวมหมวกม่านผู้นั้นจะสังเกตเห็นเบาะแสข้อนี้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของนางแล้ว

บุรุษพกดาบคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็น่าจะถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ได้ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่งในยุทธภพแล้ว

ส่วนสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าดูคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว ขอบเขตไม่สูง น่าจะประมาณขอบเขตสองหรือสามเท่านั้น

เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินออกมานอกศาลา เขาก็ต้องขมวดคิ้ว

บังเอิญขนาดนี้เชียว?

บนถนนเส้นเล็กในป่าเขาของชานเมืองแห่งนี้ เหตุใดถึงได้มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งควบม้าผ่านมา ด้วยสถานะของผู้เฒ่าแซ่สุย ก็น่าจะไม่มีศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักหรือในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้

อาณาบริเวณอันกว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วนเป็นหนึ่งในนั้น แคว้นเล็กๆ อย่างหลันฝาง อู่หลิงนี้ บางทีอาจไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งช่วยสยบโชคชะตาบู๊ ก็เหมือนกับแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกยอดเขาอย่างผู้อาวุโสซ่ง แค่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็สามารถควบคุมดูแลยุทธภพของแคว้นหนึ่งได้แล้ว เพียงแต่คนล่างภูเขาพบเจอเทพเซียนกลับไม่รู้ตัว ส่วนคนบนภูเขาก็ยิ่งพบเจอผู้ฝึกตนได้ง่าย แล้วก็เพราะตบะของเฉินผิงอันสูงพอ อีกทั้งสายตายังดีเยี่ยม ถึงได้พบเห็นผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ภูตประหลาดตามป่าเขาและภูตผีตามหมู่ชาวบ้านได้มากกว่าเดิม ไม่อย่างนั้นก็จะเหมือนปีนั้นที่อยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกร เวลาพบเจอใครก็รู้แค่ความต่างว่ามีเงินหรือไม่มีเงินเท่านั้น

ทว่าท่องเที่ยวเดินทางไกลไปทั่วทิศมานานหลายปีขนาดนี้ นอกจากสถานที่อย่างภูเขาห้อยหัว เรือข้ามฟากแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังพบเห็นคนธรรมดาได้มากกว่า เพียงแต่ว่าเรื่องราวกลับมีน้อยกว่าก็เท่านั้น

แต่เพียงไม่นานผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็หยุดม้ารออยู่ห่างไปไกล คล้ายกำลังรอคอใคร

ข้างกายเขาน่าจะยังมีม้าอีกตัวซึ่งเป็นของผู้ฝึกตน

จากนั้นบนเส้นทางชาม้าโบราณอีกทิศทางหนึ่งของศาลาก็มีเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างสะเปะสะปะดังขึ้นมา น่าจะเป็นคนประมาณสิบกว่าคน ฝีเท้ามีทั้งหนักและเบา แน่นอนว่าตบะก็ย่อมมีทั้งสูงและต่ำ

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปเหยียบดินโคลน จากนั้นก็ชักเท้าขึ้นมาแล้วเอาพื้นรองเท้าที่เปื้อนโคลนมาถูบนขั้นบันได ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินกลับเข้ามาในศาลา กล่าวอย่างจนใจว่า “นั่งต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน รอให้มีแสงแดดส่องทางก่อนค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นหากเดินไปทั้งแบบนี้ต้องลำบากมากแน่”

เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้พันธนาการ เป็นคนร่าเริงมองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังเพิ่งมาท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก คำพูดคำจาจึงไร้ความยำเกรง เขายิ้มกล่าวว่า “ฉลาด!”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

หูซินเหวยรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดี๋ยววันหน้าต้องบอกเจ้าเด็กผู้นี้เสียหน่อยแล้วว่าอยู่ในยุทธภพจะทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ไม่ได้

คิดไม่ถึงว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้ากลับเปิดปากสั่งสอนเสียแล้ว “เป็นบัณฑิตแต่กลับไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบขอโทษคุณชายเฉินอีก!”

เด็กหนุ่มรีบมองไปทางท่านปู่ของตน ผู้เฒ่าจึงยิ้มกล่าวว่า “บัณฑิตขอโทษคนอื่นยากนักหรือ? เป็นหลักการอริยะปราชญ์ในตำราที่แพงกว่าหรือเป็นหน้าของเด็กอย่างเจ้าที่มีราคามากกว่ากันแน่?”

เด็กหนุ่มเองก็เป็นคนจิตใจกว้างขวาง เขาคลี่ยิ้มกว้างอย่างสดใส ยอมประสานมือคำนับขอโทษคนหนุ่มชุดเขียวสวมงอบจริงๆ คนที่ทัศนาจรไกลผู้นั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนยิ้มอยู่ที่เดิม ไม่ได้พูดถ้อยคำเกรงใจทำนองว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรพวกนั้น

เด็กสาวปิดปากหัวเราะ ได้เห็นน้องชายผู้ดื้อรั้นถูกต้อนให้จนมุม คือเรื่องที่น่าอารมณ์ดีอย่างหนึ่ง

ผู้เฒ่าแซ่สุยยิ้มกล่าว “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางกันต่อแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หากมีวาสนาคงได้พบเจอกันอีก”

เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขาคิดจะเดินออกจากศาลาไปจูงม้า กลับเห็นคนในยุทธภพที่กรูกันมาจากอีกฝั่งหนึ่งเสียก่อน พวกเขาเดินก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้าจนโคลนกระเด็นเปรอะเปื้อน

หูซินเหวยยืนจับดาบ ไม่ได้ขึ้นม้า ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมืออย่างเงียบๆ บอกเป็นนัยแก่คนทั้งสี่ข้างกายว่าไม่ต้องรีบร้อนขึ้นม้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าหลุบตาลงต่ำมองเหยียดผู้อื่น

ชาวยุทธกลุ่มนั้นครึ่งหนึ่งเดินผ่านศาลาไปได้ก็เดินหน้าต่อ แต่จู่ๆ ชายร่างกำยำคนหนึ่งที่คอเสื้อแหวกอ้าก็ดวงตาเป็นประกาย หยุดฝีเท้า ตะโกนพูดเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราหยุดพักผ่อนกันสักครู่”

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าขมวดคิ้ว

หูซินเหวยพูดเบาๆ “หลีกทางให้พวกเขาก็พอ พยายามอย่าให้มีเรื่อง”

ผู้เฒ่าแซ่สุยพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มเด็กสาวต่างก็พยายามขยับเข้าใกล้ผู้เฒ่า

คนชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นก็คล้ายจะคิดแบบเดียวกัน ไม่กล้าปักหลักอยู่ในศาลาต่อ แต่เดินเบี่ยงตัวหลบไปอีกฝั่งหนึ่งของขั้นบันได ความคิดไม่แตกต่างจากพวกเขา นั่นคือยกศาลาให้กับชาวยุทธที่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไรกลุ่มนี้

ทว่าต่อให้คนหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยผู้นั้นจะระมัดระวังมากพอแล้ว แต่ก็ยังถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งในบรรดาคนสี่ห้าคนที่จงใจเดินเข้ามาในศาลาพร้อมกันชนกระแทกไหล่จนร่างไหวเอน

คนหนุ่มชุดเขียวเซถอยหลัง เอ่ยขออภัยหนึ่งคำ ทว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับนวดคลึงไหล่ของตัวเอง พูดอย่างเดือดดาลว่า “ทางกว้างขวางขนาดนี้ อย่าว่าแต่เดินสองขาเลย  ต่อให้เจ้ามียี่สิบข้า พวกเราเดินทางใครทางมันก็ยังได้ แต่เจ้ากลับไม่มีตา ยังจะมาเดินชนร่างข้าให้ได้? หรือจะบอกว่าเห็นข้ารังแกได้ง่าย รู้สึกว่าที่นี่มีสตรีก็เลยอยากจะโอ้อวดความองอาจกล้าหาญของตัวเองเสียหน่อย?”

เสียงโถเก็บเม็ดหมากและกระดานหมากที่อยู่ในหีบของคนหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ออกทัศนาจรไกลผู้นั้นกระทบกันจนเกิดเสียงดัง คนหนุ่มสีหน้าซีดขาว แต่ก็ยังพูดขออภัยไม่หยุด ขยับเท้าเบี่ยงหลบออกจากประตูใหญ่ของศาลาอีกครั้ง

ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาดุดันผู้นั้นเดินหน้าตามไป เขายื่นมือออกไปผลักไหล่ของบัณฑิตชุดเขียว ทำเอาฝ่ายหลังล้มแปะลงบนดินโคลนด้านนอกศาลาพักเท้า

สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มหวาดกลัว ชำเลืองตามองกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของศาลา ทว่าผู้เฒ่าแซ่สุยกลับถอนหายใจ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ยิ่งมีสีหน้าซีดขาวไร้เลือด หูซินเหวยเพียงแค่ขมวดคิ้ว มีเพียงสตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะถูกผู้เฒ่าแซ่สุยส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าห้ามสร้างเรื่อง เพราะถึงอย่างไรตลอดหลายปีมานี้หูซินเหวยก็ต้องลำบากตรากตรำมามากกว่าจะได้ตีสนิทขุนนางคนหนึ่ง และได้ทำการค้าเส้นทางสายขาวที่มีเงินทองไหลมาเทมา หากอยู่ดีไม่ว่าดีไปสร้างคดีติดตัว จะยุ่งยากอย่างมาก กลุ่มคนป่าเถื่อนกลุ่มนี้ ฟังจากน้ำเสียงก็น่าจะไม่ใช่คนแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของหูซินเหวยที่เดิมทีอยู่ระหว่างวิถีขาวและวิถีดำของแคว้นก็อาจจะไม่มีประโยชน์เสมอไป

อันที่จริงอารมณ์ของหูซินเหวยหนักอึ้งเคร่งเครียด ไม่ได้สงบมั่นคงอย่างที่แสดงออกมาทางใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

เพราะในบรรดาคนกลุ่มนี้ มองดูเหมือนจะเป็นแค่พวกที่มีฝีมือการต่อสู้ระดับล่างสุดของยุทธภพที่ชอบเอะอะโวยวายเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วกลับไม่ใช่ เพราะนี่เป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาเอาไว้หลอกพวกลูกนกหัดบินทั่วไปในยุทธภพ หากไปมีเรื่องกับพวกเขาย่อมต้องหนังลอกไปชั้นหนึ่ง พูดถึงแค่ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เขาอาจจะจำหูซินเหวยไม่ได้ แต่หูซินเหวยกลับจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ อีกฝ่ายคือปรมาจารย์วิถีมารที่สร้างคดีใหญ่ไว้ในแคว้นจินเฟยหลายคดี มีนามว่าหยางหยวน ฉายาคือเจียวแม่น้ำขุ่น ฝึกวิชาเหิงเลี่ยน (การฝึกโดยใช้ฝ่ามือฟันผ่าวัตถุแข็งๆ อย่างต่อเนื่อง) ได้อย่างเชี่ยวชาญ วิชาหมัดดุร้ายอย่างถึงที่สุด ในอดีตเคยเป็นคนชั่วร้ายที่ได้ยึดครองเก้าอี้ลำดับต้นๆ ของกองโจรแคว้นจินเฟย หนีตายมาได้หลายสิบปีแล้ว ว่ากันว่าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในแถบชายแดนแคว้นชิงสือและแคว้นหลันฝาง รวบรวมพวกคนชั่วร้ายกลุ่มใหญ่ให้มาเป็นลูกศิษย์ จากมารร้ายในยุทธภพที่อยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว กลับสามารถสร้างพรรคมารที่มีคนมากอำนาจมากขึ้นมาได้ หลินซูเจ้าประมุขพรรคเจิงหริงหนึ่งในสี่ยอดฝีมือฝ่ายธรรมะของแคว้นจินเฟย ในอดีตก็เคยพาคนของฝ่ายธรรมะหลายสิบคนมาล้อมฆ่าคนผู้นี้ แต่เขาที่บาดเจ็บก็ยังหนีเอาชีวิตรอดไปได้

หากเป็นมารเฒ่าหยางหยวนผู้นั้นจริงๆ ต่อให้ปีนั้นอีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส ทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลัง หลายปีที่ผ่านมานี้ก็อายุมากขึ้น เลือดลมเสื่อมโทรมลง วรยุทธไม่รุดหน้ากลับยังถอยหลัง และทุกวันนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหูซินเหวย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีคนมากกว่า หากหลายปีมานี้อีกฝ่ายพักรักษาตัวได้ดีพอ วรยุทธยังคงยอดเยี่ยมอยู่ดังเดิม แบบนั้นหูซินเหวยก็จะยิ่งหนักใจมากกว่าเดิม ทางชาม้าโบราณสายนี้ เวลาปกติไร้เงาผู้คน หูซินเหวยถึงขั้นรู้สึกว่าการเดินทางมาคุ้มครองที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรครั้งนี้จะกลายเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่ตนจำต้องสู้สุดชีวิตเพื่อคนตระกูลสุยเสียแล้ว

เดิมทีหูซินเหวยยังกังวลว่าพี่ใหญ่สุยจะมีปณิธานของบัณฑิต ยืนกรานจะสอดมือเข้ายุ่งเรื่องนี้ให้จงได้ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วเขาคงจะคิดมากเกินไป ต่อให้ตนจะไม่ได้บอกถึงความร้ายกาจของตัวตนหยางหยวนผู้นั้น แต่พี่ใหญ่สุยก็ยังไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว

เป็นหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นจริงๆ ด้วย!

ผู้เฒ่าที่ท่าทางแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าคนนั้นหันมามองหูซินเหวย หูซินเหวยลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนกุมหมัดคารวะ “เจ้าประมุขพรรคเหิงตู้แห่งแคว้นอู่หลิง หูซินเหวยคารวะสหายในยุทธภพทุกท่าน”

หยางหยวนคิดแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ทุกคนพากันหัวเราะครืน

หยางหยวนชำเลืองตามองสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า ดวงตาที่เดิมทีขุ่นมัวพลันส่องประกายเจิดจ้า ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป หันหน้าไปมองอีกฝั่งหนึ่ง พูดกับชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าดุดันผู้นั้นว่า “ยากนักกว่าที่พวกเราจะได้มาท่องในยุทธภพสักครั้ง อย่าเอาแต่ตีรันฟันแทงกับผู้อื่น บางครั้งที่กระทบกระทั่งกันโดยไม่ทันระวัง ให้อีกฝ่ายจ่ายเงินชดใช้ก็พอ”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย คนหนุ่มสะพายกระบี่ในมือถือพัดผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายหยางหยวนจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จ่ายเงินชดใช้มาห้าสิบหกสิบตำลึงก็พอ อย่าทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ทำให้บัณฑิตตกอับคนหนึ่งต้องลำบากใจ”

บัณฑิตหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นเพราะไม่กล้าลุกพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ข้ามีเงินมากขนาดนั้นเสียที่ไหน ในหีบไม้ไผ่มีแค่กระดานหมากกับโถเก็บเม็ดหมาก มีค่าแค่สิบกว่าตำลึงเงินเท่านั้น”

มือกระบี่หนุ่มโบกพัดในมือ “แบบนี้ก็จัดการได้ยากแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยากจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกผู้เฒ่าแซ่สุยดึงแขนเอาไว้ แล้วถลึงตาใส่อย่างดุดัน

เด็กหนุ่มตกใจกับสายตาที่ไม่คุ้นเคยของท่านปู่ จึงเงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว

—–