ความดำมืดมาถึง ร่วงลงเหนือศีรษะเฉินฉางเซิง
ประกายกระบี่นับไม่ถ้วนส่องแสง บินไปมาในความมืดราวกับพยายามที่จะตัดทุกสิ่งให้เป็นเสี่ยงๆ
ไม่มีใครรู้ว่าความมืดถูกตัดหรือประกายกระบี่จะดับไปก่อน หรือบางทีอาจไม่มีใครจะได้รู้
เพราะแรงระเบิดอันรุนแรงและน่าตกใจเกิดขึ้นในซากปรักหักพังของลานบ้านอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย!
มันเหมือนกับดวงดาวในหมู่ดาวตอนเหนือสุดได้เปลี่ยนเป็นดาวตกจริงๆ
มันเหมือนกับดาวตกได้เลือกที่จะตกมาตรงนี้
มันตกลงที่ตรงนี้พอดี
แผ่นดินไหว โคลนและน้ำแข็งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงสีเขียวกะพริบอยู่ระหว่างพวกมันราวกับสายฟ้าแลบ
รอยกระบี่ที่ทั้งตรงทั้งชัดเจนสองสายปรากฏขึ้นในความมืด หนึ่งแนวนอน หนึ่งแนวตั้ง พวกมันกลายเป็นกากบาทที่เริ่มจางลงช้าๆ
แรงระเบิดและรอยกระบี่ทั้งสองมาจากหนานเค่อ
นางยืนอยู่ใต้ต้นหลิวที่เสียหายยับเยิน มือทั้งสองข้างถือกระบี่กางเขนใต้ที่ยาวอย่างเหลวไหล ดวงตาจับจ้องไปที่ราชามารที่อยู่ใกล้ๆ
เลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง ร่างเล็กๆ ปกคลุมไปด้วยลวดลายน่ากลัวจากการกัดกร่อนของปราณมาร นางได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าราชามารซีดขาวและรอยแผลน่าขนลุกที่หน้าท้องลึกลงกว่าเดิม แสงสีเขียวเข้มกะพริบอยู่ภายใน
เขาก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน เขาถูกพิษที่มีชื่อว่าขนนกยูง
ไม่มีใครคาดคิดว่าหนานเค่อจะพลันโจมตี ยิ่งไม่คิดว่าจะโจมตีราชามาร
เฉินฉางเซิงก็ไม่คาดคิดเรื่องนี้ นางไม่ใช่ผู้ช่วยที่เขาคิดเอาไว้
ราชามารจ้องไปที่ดวงตาของหนานเค่อ เสียงแหบแห้งเล็กน้อยไม่อาจปิดบังความตกใจและความโมโห “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
สองปีที่ผ่านมาหนานเค่อติดตามบิดาตลอดเวลาที่หลบหนี จากแง่มุมนี้นางกับราชามารหนุ่มย่อมต้องเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ อย่างไรก็ตาม เผ่ามารเป็นเผ่าที่ให้ความสำคัญกับการเคารพผู้แข็งแกร่ง คืนนี้อดีตราชามารได้เสียชีวิตและยอมรับสถานะของราชามารคนปัจจุบันก่อนที่จะตาย สถานการณ์ยุติแล้ว ในฐานะสมาชิกเผ่ามาร โดยเฉพาะสมาชิกราชวงศ์ นางย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านราชามาร ต้องไม่ลืมว่าราชามารเป็นพี่ชายของนางและชุดดำก็เป็นอาจารย์ของนาง
ราชามารสะกดอารมณ์และกล่าวกับนาง “ในบรรดาพี่สาวน้องสาว ข้ารักเจ้ามากที่สุด เจ้าควรรู้ว่าหลังเหตุวุ่นวายในเมืองเสวี่ยเหล่า พี่สาวน้องสาวทั้งหมดต่างก็มีชีวิตอยู่ ข้าไม่ได้ฆ่าพวกเขา ดังนั้นข้าย่อมไม่ทำร้ายเจ้าเช่นกัน แต่…ทำไมเจ้าต้องยืนกรานต่อต้านข้าด้วย”
สีหน้าหนานเค่อยังคงแข็งกระด้าง ราวกับว่านางไม่ได้เป็นคนลงมือเมื่อครู่นี้ แต่เมื่อนางพูดมันก็เหมือนกับหิมะที่ตกในเมืองเสวี่ยเหล่า ทั้งเย็นเยียบทั้งรุนแรง
“พี่สาวข้ายังมีชีวิต แต่พี่ชายทั้งหลายล้วนถูกท่านฆ่าตาย ในสายตาของท่าน มันเป็นความเมตตา เป็นความรักของครอบครัว แต่ในสายตาของข้า มันเป็นการดูถูกและเวทนา สายตาของท่าน พวกเราเหล่าสตรีล้วนอ่อนแอไม่อาจเป็นภัยต่อบัลลังก์ของท่านได้”
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าเกลียดที่สุด”
หนานเค่อกล่าวกับราชามาร แต่นางก็พูดกับบิดาที่อยู่บนพื้น นางมองไปที่ศพที่กลายเป็นผลึกแก้วที่บิดานางทิ้งไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน “ท่านพ่อ กลายเป็นว่าท่านไม่เคยคิดที่จะให้ข้าเป็นผู้นำเผ่ามารเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
ระยะห่างระหว่างดวงตาของนางกว้างอยู่บ้าง การแสดงออกทางแววตาจึงดูทึมทึบ แต่นางก็ยังแสดงถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งได้ มันเป็นเพราะน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย ริมฝีปากที่สั่นเทา บางทีอาจเป็นเพราะใจมารของนางก็สั่นไหวเล็กน้อยเช่นกัน
“ตอนที่ข้ายังเยาว์ ข้าแสดงเลือดของนกยูงออกมา ทำให้ท่านยินดีอย่างมาก นำข้าไปงานเลี้ยงทุกงาน จากนั้นเมื่อสวีโหย่วหรงแสดงพรสวรรค์ที่เหนือกว่าข้าออกมา ท่านก็เลิกชอบข้า ข้ารู้สึกมาเสมอว่าท่านเตรียมที่จะเลี้ยงข้าขึ้นมาเป็นผู้สืบทอดของท่าน ให้ข้ากลายเป็นผู้นำในอนาคตของเผ่ามาร แต่ก็ตระหนักว่าข้าอ่อนแอเกินกว่าที่จะรับความรับผิดชอบได้ จึงรู้สึกผิดหวัง”
หนานเค่อมองไปที่ราชามารผู้ล่วงลับและกล่าวต่อ “ข้าไม่ต้องการให้ท่านผิดหวัง ดังนั้นข้าจึงฝึกฝนอย่างหนักให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น หลังจากผ่านการทดสอบนับไม่ถ้วน ข้าก็สามารถที่จะกราบกุนซือเป็นอาจารย์ ข้าเข้าสู่สวนโจวด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าสวีโหย่วหรง ข้าทำหลายสิ่งหลายอย่าง…แม้แต่ตอนที่อาจารย์กับคนอื่นทรยศต่อท่าน ข้าก็ไม่ยอมทิ้งท่าน ข้าเสียงที่จะทำลายร่างกายและวิญญาณตัวเอง ทนความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการได้ เพื่อช่วยท่านออกมาจากเหวนรก ข้าเชื่อว่าทำเช่นนี้ข้าจะสามารถพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งและความภักดีที่มีต่อท่านได้ ทำเช่นนี้ท่านจะกลับมาชอบข้าอีกครั้ง เห็นคุณค่าของข้าอีกครั้ง แต่ในที่สุดแล้ว…”
นางเงยหน้าขึ้นมองดาวหม่นมัวทางเหนือ สีหน้าเรียบเฉย “ในท้ายที่สุด ท่านก็ยังไม่ยินยอมที่จะมองข้าด้วยซ้ำ”
คืนนี้เอง ตอนนี้เองที่ราชามารหนุ่มได้รู้ว่าน้องสาวของตนมีความคิดเช่นนี้ แม้นางจะมีเลือดนกยูง แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์โดดเด่น มีจิตต่อสู้ที่ยากจะพบเห็นได้ในอาณาเขตหิมะ แม้ว่านางจะมีความฉลาดอย่างยิ่งขัดกับรูปลักษณ์ทึมทึบ…
“สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นสตรี” ราชามารพูดอย่างใจร้าย
เขาเชื่อว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่บิดาเขาไม่เคยคิดที่จะให้หนานเค่อสืบทอดบัลลังก์
“ใครบอกว่าสตรีเป็นราชามารไม่ได้”
หนานเค่อดึงสายตากลับ จ้องมองไปที่ดวงตาของราชามารอีกครั้ง
สายตาของนางยังคงทึมทึบ แต่ก็ยังมีความร้อนแรงแผดเผาอยู่ในแววตา ราวกับว่ามีไฟลุกไหม้อยู่ในส่วนลึก
“เทียนไห่ไม่ใช่สตรีหรือไง เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าจะทำได้มากกว่านางในอนาคต”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้
ราชามารก็พบว่าตัวเองไร้ความสามารถที่จะพูดสิ่งที่ขัดกับความเชื่อของตนเอง
หนานเค่อกล่าวต่อ “เมื่อสตรีก็มีความสามารถเช่นกัน ทำไมอาจารย์ถึงเลือกท่าน ทำไมท่านพ่อถึงเลือกท่าน”
ราชามารมองไปที่เงาร่างของนางเป็นเวลานานจากนั้นก็ยิ้ม
“เพราะข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า เผ่าศักดิ์สิทธิ์ของข้าให้ความเคารพต่อผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นอาจารย์กับพระบิดาจึงเลือกข้า”
หนานเค่อมองไปที่ดวงตาของเขา น้ำเสียงแปลกประหลาดอยู่บ้าง “หากข้าฆ่าเจ้า ข้าก็ย่อมพิสูจน์ได้ว่าข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า”
ราชามารตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เจ้าจะตาย ต่อให้เจ้าเอาชนะได้หนึ่งหรือสองกระบวนท่าเพราะโชคช่วย เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองกับใครได้”
“แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นได้อีกต่อไป ข้าก็ยังต้องการจะลองดู”
กระบี่กางเขนใต้ในมือหนานเค่อแทงตรงไปเหมือนกับทวนสองเล่มแทงผ่านความมืด
เสียงหวีดหวิวของสายลมกลืนกินเสียงสนทนาทั้งหมดในทันที เมื่อแสงสีเขียวซึ่งเป็นตัวแทนของปีกนางทอดผ่านความมืด
ความมืดมิดเปี่ยมไปด้วยปราณมารเข้มข้นและแสงดาวที่ถูกกรีดเปิดด้วยกระบี่กางเขนใต้ถล่มใส่หุบเขาอย่างต่อเนื่อง
ในระยะเวลาอันสั้น ราชามารกับหนานเค่อแลกเปลี่ยนกันหลายสิบกระบวนท่า จากนั้นก็แยกออก
ราชามารยังคงยืนอยู่ เลือดสีทองอาบอยู่บนหน้าอก แต่เขาไม่ได้โซเซ ดูเหมือนยังเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่
หนานเค่อตกอยู่ในรอยแยกของพื้นทะเลสาบ ใช้มือหนึ่งยันกายขึ้นจากพื้น ยืนขึ้นอย่างยากลำบากยิ่ง
ราชามารชนะอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่มีความภาคภูมิบนใบหน้าเขา ในทางกลับกัน เขาดูเคร่งเครียดอย่างมาก
“ดวงจิตศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าได้ตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สองแล้ว…ไม่แปลกเลยที่เจ้าสามารถออกมาจากเหวนรกได้”
หนานเค่อไม่ได้ตอบ ได้แต่มองไปที่เลือดสีทองที่ไหลออกมาจากร่างของเขา
ในการประมือครั้งนี้ นางได้รับบาดเจ็บสาหัส ปีกขวาของนางมีรอยฉีกขาดเกิดขึ้น
จากรอยฉีกขาดนี้ เสียงร้องไห้น่าเศร้าดังออกมา