ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 118 เกิดมาพร้อมอาการป่วย

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ดวงตาหนานเค่อหม่นมัวอยู่บ้างเมื่อเห็นเลือดสีทองบนร่างกายของราชามาร หมายความว่าเขาได้รับมรดกของราชามารอย่างแท้จริง

เมื่อนางคิดถึงสายลมในเหวนรกที่ฉีกกระชากดวงจิตและหนอนแมลงที่กลืนกินเลือดเนื้อ นางก็รู้สึกไม่ยินยอมถึงกับสิ้นหวังอยู่บ้าง

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากปากนาง

เสียงร้องของนางดังก้องไปทั่วหุบเขาในยามที่นางใช้กระบี่กางเขนใต้ที่ใหญ่โตพยุงกายขึ้น

เสียงคร่ำครวญหวนไห้จากบาดแผลบนปีกของนางพลันหยุดลง ปีกทั้งคู่เริ่มกระพืออีกครั้ง ราวกับไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าจะฉีกกระชากความมืดดำให้ขาดเป็นเสี่ยงๆ

ดวงตานางไม่ได้หม่นมัวอีกต่อไป แต่ก็ยังคงเฉยชาเหมือนกับน้ำแข็งหิมะ ปีกกระพือเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจเห็นได้ชัด

ปราณที่น่ากลัวเหลือเชื่อได้แผ่ออกมาจากร่างเล็กๆ ของนาง

นี่คือปราณของผู้สูงศักดิ์ที่สุด แต่ดูถูกการควบคุมสิ่งมีชีวิต ร่ายรำตามลำพังอีกฟากหนึ่งของเทือกเขาใหญ่ แผ่ความเย็นเยียบและบริสุทธิ์สุดพรรณนา

นี่คือนกยูง นี่คือหนานเค่อ นี่คือมยุรา เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ที่สุดในหมู่นกทั้งมวล ไม่แม้แต่จะก้มหัวให้กับหงส์

สีหน้าราชามารเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดยิ่งขึ้น น้ำเสียงเย็นเยียบปานน้ำแข็ง คมราวกับกระบี่ ในตอนที่เขาตะโกน “เจ้าอยากตายหรือไง!”

หนานเค่อมองไปที่เขาเป็นการตอบ แสงสีเขียวในส่วนลึกของดวงตานางได้ถูกจุดขึ้นเป็นเปลวเพลิงแห่งความบ้าคลั่งนานแล้ว

“อย่าลืมว่ากุนซือเคยพูดไว้ หากเจ้าปล่อยให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างสมบูรณ์ เจ้าจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน”

ราชามารมองไปที่นางและกระตุ้น “น้องสาว หยุดทำตัวโง่เขลาได้แล้ว กลับไปเมืองเสวี่ยเหล่ากับข้า เจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าท่านพ่อผิดอย่างนั้นหรือ สาเหตุที่ท่านพ่อไม่คิดจะมอบบัลลังก์ให้เจ้าก็เพราะว่าเจ้าป่วย เจ้าเกิดมาพร้อมกับอาการป่วย!”

คำพูดนี้ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว แต่ก็ยังเป็นการเหน็บแนมอีกด้วย เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

เป็นท่าทีที่หนานเค่อไม่อาจยอมรับได้มากที่สุด แต่นางก็ต้องยอมรับความจริงว่าราชามารพูดเรื่องจริง

ตอนที่นางยังเล็ก ดวงวิญญาณนกยูงในกายได้ตื่นขึ้นและทำให้คนทั้งหมดในเมืองเสวี่ยเหล่ารู้ว่านางมีสายเลือดที่สูงศักดิ์และแข็งแกร่งที่สุด

ไม่มีใครคาดคิดว่ามันยังหมายความว่านับจากวันนั้นเป็นต้นมา นางก็ป่วย

พรสวรรค์ในการทำความเข้าใจของนางแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นนางจึงปลุกวิญญาณนกยูงขึ้นมาเร็วเกินไป เหนือกว่าความเร็วในการเติบโตของร่างกายนางมาก วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนกยูงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างดวงตาของนาง ทำให้ระยะห่างระหว่างดวงตาของนางกว้างขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางดูทึมทึบมากขึ้นเรื่อยๆ หากนางปล่อยให้วิญญาณนกยูงเติบโตต่อไปและตื่นขึ้นเป็นครั้งที่สองอย่างสมบูรณ์ในยามที่นางยังไม่เติบโตเต็มที่ นางย่อมกลายเป็นคนปัญญาอ่อนอย่างแน่นอน มีโอกาสอย่างมากที่นางจะระเบิดและตายไป

คำพูดของราชามารเปิดเผยความจริงทั้งหมด มอบคำอธิบายทั้งหมด และยังทำลายความหวังทั้งหมดของนาง

หนานเค่อยืนอยู่บนพื้นทะเลสาบ เสื้อผ้าแปดเปื้อนคราบโคลน ผมเผ้ายุ่งเหยิง นางในตอนนี้ดูน่าสงสาร ดูเหมือนเด็กสาวที่กลับมาจากการเกี่ยวหญ้า

ต่อให้นางปลุกวิญญาณครั้งที่สองซึ่งเริ่มตั้งแต่ตอนอยู่ในเหวนรกได้สำเร็จ แล้วจะทำไม

ต่อให้นางสามารถเอาชนะศัตรูได้แล้วจะทำไม

นางจะต้องตายไม่ก็กลายเป็นคนปัญญาอ่อน สุดท้ายแล้ว นางก็ไม่อาจกลายเป็นผู้สืบทอดของบิดา ไม่อาจกลายเป็นผู้นำของเผ่ามาร

ไม่มีใครในโลกสามารถรักษาอาการป่วยของนางได้

พระบิดาผู้ทรงอำนาจของนางไม่อาจทำได้ อาจารย์ผู้รอบรู้ของนางไม่อาจทำได้

กระบี่กางเขนใต้ในมือของหนานเค่อค่อยๆ ตกลง เหมือนกับศีรษะและจิตใจของนาง

ในตอนนั้นเองที่เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของนาง

“ข้ารักษาได้”

……

……

เสียงนี้ชัดเจนกระจ่างใส แม้ว่าเจ้าของเสียงจะต่อสู้มานานและได้รับบาดเจ็บสาหัส หมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บ้าง น้ำเสียงยังคงสงบและรื่นหู บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูด บางทีอาจเพราะเขาเป็นคนที่น่าเชื่อถืออยู่เสมอ

ไม่ว่าคนฟังจะเป็นมิตรหรือศัตรู หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

คือเสียงของเฉินฉางเซิง

นานมาแล้วในสวนโจว ใกล้กับที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล คำพูดแรกที่เขากล่าวเมื่อเห็นหนานเค่อก็คือ “เจ้าป่วย”

จากนั้นเขาก็บอกหนานเค่อว่า “ข้ารักษาได้”

หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ยังกล่าวคำพูดเดิม

หนานเค่อมองไปที่เขาราวกับว่านางเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่กลางกอหญ้า ดวงตาหม่นมัวของนางเป็นประกายอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน นางก็ยกกระบี่กางเขนใต้ขึ้นอีกครั้ง

มักพูดกันว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาของโลก แต่ก็มีหลายสิ่งที่ยากจะเปลี่ยนแปลง

ในตอนนั้น เงื่อนไขของเฉินฉางเซิงก็คือปล่อยเขากับสวีโหย่วหรง และตอนนี้เงื่อนไขของเขาก็ชัดเจนเช่นกัน

นางเป็นองค์หญิงน้อยของเผ่ามาร นางได้โจมตีใส่ราชามารหนุ่มอย่างโกรธเกรี้ยวและไม่พอใจต่อบิดาและอาจารย์ แต่ไม่ได้หมายความว่านางยินดีที่จะทรยศต่อเผ่ามารและร่วมมือกับเฉินฉางเซิงสังฆราชของมนุษย์ ย่อมไม่ได้หมายความว่านางมีความประทับใจอันดีต่อเฉินฉางเซิงหรือปรารถนาที่จะช่วยเขา

คำพูดของเฉินฉางเซิงทำให้มันเป็นไปได้

เขาสามารถรักษานาง ดังนั้นนางย่อมมีเหตุผลอันดีที่จะช่วยเหลือเขา

แต่วิธีคิดของหนานเค่อนั้นสุดโต่งยิ่งกว่าเฉินฉางเซิง

นางมองไปที่เฉินฉางเซิงและชี้ไปที่กระบี่ในมือของราชามาร “ร่วมมือกันสังหารเขา”

มันเย็นเยียบและโฉ่งฉ่าง เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายทึมทึบเหมือนกับหนานเค่อ

“บาดแผลของข้าหนักเกินไป ความเป็นไปได้ก็ต่ำมาก” เฉินฉางเซิงกล่าว

ราวกับต้องการจะพิสูจน์คำพูดของตัวเอง กระบี่นับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่เงียบๆ บนท้องฟ้าราตรีก็ส่งเสียงหึ่งๆ

นี่หมายความว่าดวงจิตของเขากำลังจะเสียการควบคุมกระบี่พวกนี้

หนานเค่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เตรียมที่จะตอบ ทันใดนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไปและสายตาก็มองผ่านเทือกเขาไปยังที่ไกลออกไป

ไกลออกไปทางเหนือ

ตอนเหนือของเทือกเขาหิมะ ห่างไปพันลี้ มารในชุดดำปรากฏขึ้นด้านหน้าภูเขา

ทุ่งหิมะเปี่ยมด้วยแสงดาวดูขาวผิดปกติ ว่าตามเหตุผล มันทำให้การปรากฏตัวของมารนี้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

แต่ต่อให้เป็นดวงตาของเหยี่ยวแดงที่ดีที่สุดของกองทัพจ้าโจวก็ไม่อาจจดจำเขาได้ในระยะไกลเช่นนี้

เขาเป็นเหมือนกับก้อนหินดำที่ไม่มีอะไรสุดตาบนทุ่งหิมะ

เพราะเขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกปิดตัวตนแห่งต้าลู่ กุนซือชุดดำของเผ่ามาร

สายตาของชุดดำจับจ้องไปที่แผ่นโลหะเก่าโทรมตรงหน้า

แสงดาวตกลงบนแผ่นเหล็กเหมือนกับที่เคยเป็นมาในอดีต ราวกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยน อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง คืนนี้แสงดาวแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากแสงดาวช่วงพันปีที่ผ่านมา

ดวงดาวที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้าราตรีแดนเหนือได้เปลี่ยนเป็นหม่นมัวผิดปกติ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงกลับมาสว่างอีกครั้ง

เสียงถอนหายใจลึกดังออกมาจากชุดคลุมสีดำ เต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อนอย่างยิ่ง

เขาได้ช่วยเหลือราชามารมาเกือบพันปี ดังนั้นจะเฉยชาต่อการจากไปของเขาได้อย่างไร

หากเขาไม่มีความรู้สึกจริงๆ เหตุใดนิ้วที่เหมือนกับหยกบนแผ่นโลหะถึงได้สั่นเช่นนี้

……

……

เมื่อนิ้วของชุดดำแตะไปบนแผ่นโลหะ ทั้งหนานเค่อและเฉินฉางเซิงก็รู้สึกได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง

หนานเค่อรู้สึกได้เพราะความเชื่อมโยงระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ในขณะที่เฉินฉางเซิงรู้สึกเพราะดาวชะตาที่เป็นของผู้สืบทอดอย่างถูกต้องของนิกายหลวง

เฉินฉางเซิงตะโกนออกไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ขุย เหนือ เจิ่น สี่สิบแปดทางลาด”

หนานเค่อกระพือปีกและบินไปสู่ท้องฟ้าราตรีอย่างรวดเร็ว