บทที่ 889 การมีตัวตนอยู่ที่เริ่มเลือนรางหายไป

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 889 การมีตัวตนอยู่ที่เริ่มเลือนรางหายไป

“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้ ข้ามีเรื่องอยากสอบถาม”

หลินเป่ยเฉินเรียกหาผู้ช่วยสาวอัจฉริยะ

“มาแล้วเจ้าค่ะ นายท่าน”

เสียงของเสี่ยวจี้ดังขึ้นทันที

หลินเป่ยเฉินสอบถามสิ่งที่ตนเองเป็นกังวล

“ก็มีความเป็นไปได้นะเจ้าคะ”

เสี่ยวจี้ตอบกลับมา

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคาง สีหน้าครุ่นคิด

นี่คือเรื่องที่สำคัญมาก

เพราะถ้าเขาสามารถแบ่งปันพลังระดับเซียนให้แก่ผู้ติดตามได้ ภารกิจหลายอย่างก็จะง่ายมากขึ้น

แค่ลองนึกภาพพวกของเฉียนเหมย เฉียนเจิน เซียวปิง กงกงและคนอื่นๆ มีระดับพลังอยู่ในขั้นเซียนหรือใกล้เคียง หลินเป่ยเฉินก็แทบจะสามารถยึดครองนครหลวงได้โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็สวมใส่เสื้อผ้าและออกมาจากห้องนอน

เขาเดินไปยังประตูใหญ่ของจวนที่พัก

เด็กหนุ่มร่างอ้วนเซียวปิงยังคงนั่งรับประทานน่องไก่อยู่ใต้โคมไฟริมถนน

เซียวปิงถูกสั่งลงโทษเพราะสร้างความแตกตื่นให้ทุกคนเข้าใจผิดคิดว่ามีผู้บุกรุก

และคนที่สั่งลงโทษนั้นก็คือหลินเป่ยเฉินเอง

“น้องชาย เจ้าโกรธข้าหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเซียวปิงราวกับเป็นวิญญาณตนหนึ่ง

เซียวปิงสะดุ้งโหยง แต่เพื่อความอยู่รอด เขาจึงต้องตอบคำถามด้วยการส่ายศีรษะ “กราบเรียนท่านพี่ ข้าจากบ้านมานานเกินไป บัดนี้จึงรู้สึกคิดถึงบ้านเล็กน้อย…”

บ้านที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนหมายถึงก็คือนครเจาฮุย

บัดนี้ ตระกูลเซียวจากเมืองหยุนเมิ่งสามารถลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคงและกำลังมีชีวิตที่มีความสุข

หลินเป่ยเฉินตบไหล่น้องชายร่วมสาบานพร้อมกับปลอบใจว่า “เอาไว้เรื่องราววุ่นวายในนครหลวงจบลงเมื่อไหร่… พวกเรากลับบ้านกันเถอะนะ”

แต่พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย

เพราะเท่าที่เขาจำได้

ตอนดูภาพยนตร์ในโลกมนุษย์

ใครก็ตามที่พูดประโยคนี้มักจะตายตอนจบเสมอ

“ท่านพี่เป็นอะไรไปหรือขอรับ?”

เซียวปิงก็หยุดชะงักเช่นกัน

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เมื่อสักครู่มีฝุ่นพัดเข้าปากข้าน่ะ… จริงด้วยสิน้องชาย ข้ามีอะไรอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”

“ท่านพี่ได้โปรดถามมา”

เซียวปิงหันกลับมามองหน้าพี่ชายร่วมสาบานโดยไม่ลังเลสักนิด

“บัดนี้ เจ้าฝึกวิชากระบี่เร้นกายไปถึงไหนแล้ว?” หลินเป่ยเฉินสอบถาม

วิชากระบี่เร้นกายคือวิชาที่ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแกร่งผิดมนุษย์

ถึงหลินเป่ยเฉินจะมีพลังอยู่ในขั้นเซียน แต่เขาก็ดูไม่ออกเลยว่าเซียวปิงฝึกวิชากระบี่เร้นกายไปถึงขั้นไหนแล้ว

“อ้อ ข้าฝึกมาถึงขั้นกระบี่กระดูกเพชรแล้วขอรับ”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียวปิงก็กล่าวต่ออย่างมีความสุขว่า “บัดนี้ ข้าสามารถใช้พลังลำแสงฝ่ามือเทพเจ้าได้โดยไม่มีการดีดตัวจากแรงสะท้อนแล้ว”

ว่าไงนะ?

หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

เซียวปิงขึ้นไปถึงขั้นกระบี่กระดูกเพชรแล้วเหรอ?

ล้อกันเล่นใช่ไหม?

ขนาดเขาเองมีความเพียบพร้อมถึงขั้นนี้ ซ้ำก่อนหน้านี้ยังได้รับพลังพิเศษจากการร่วมรักกับเทพีกระบี่แทบทุกค่ำคืน แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอยู่ในขั้นกระบี่กระดูกทองคำขาวเท่านั้น

เขาใช้สายตามองเซียวปิงตั้งแต่หัวจรดเท้า

เจ้าอ้วนคนนี้คงไม่ได้จะเก่งเกินหน้าเกินตาเขาหรอกใช่ไหม?

“ขั้นกระบี่กระดูกเพชร มีความพิเศษอย่างไรบ้าง?”

หลินเป่ยเฉินถามต่อ

เซียวปิงนิ่งคิดเล็กน้อย ก็ให้คำตอบที่ได้ใจความ “มันทำให้ข้าสามารถรับหมัดของอากวงได้แล้วขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

ไอ้อ้วนนี่

จะภูมิใจอะไรกับเรื่องนี้นักหนาเนี่ย

แต่เดี๋ยวก่อนนะ

อากวงอย่างนั้นหรือ?

จริงด้วยสิ

ในกลุ่มยอดฝีมือผู้ติดตาม เจ้าหนูอสูรตัวนี้ก็นับเป็นหนึ่งในยอดฝีมือเช่นกัน

เซียวปิงกับอากวงฝึกวิชาด้วยกันมาตลอด

“เอาล่ะ เจ้า… เอ่อ… หมอนั่นชื่ออะไรนะ…”

หลินเป่ยเฉินกำลังจะเรียกชื่อองครักษ์ของตนเอง แต่อยู่ดีๆ ก็นึกไม่ออกว่าชายผู้นั้นชื่ออะไร

“กงกงมาแล้วขอรับนายท่าน”

ตอนนั้นเองที่เสียงของกงกงดังขึ้นพอดี

ชายฉกรรจ์ร่างกายสูงใหญ่ไว้ผมจุกบนศีรษะปรากฏกายออกมาจากความมืดมิดและยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินราวกับเป็นวิญญาณตนหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินนึกออกก็ตอนนี้เอง

จริงด้วย

เมื่อสักครู่นี้ เขากำลังจะเรียกหากงกง

แต่ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงได้ลืมชื่อหมอนี่ไปเลยนะ?

หรือว่าการเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนจะทำให้เขาความจำแย่ลง?

นี่คือสัญญาณแรกเริ่มของอาการสมองเสื่อมในวัยรุ่นใช่หรือไม่?

“ไปตามอากวงมาให้ข้าที”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

“ได้เลยขอรับ นายท่าน”

ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำประสานมือคำนับเด็กหนุ่ม ก่อนจะหมุนตัวกลับและหายลับเข้าไปในความมืดมิดอย่างช้าๆ

“เขาเป็นใครหรือขอรับ?”

เซียวปิงถามออกมาด้วยความตกตะลึง

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความพิศวง

นี่จะล้อกันเล่นอีกแล้วใช่ไหม?

แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าอ้วนถามออกมาด้วยความจริงจัง หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าเซียวปิงไม่ได้ล้อเล่น

ดูเหมือนคงไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวแล้วสิที่จำกงกงไม่ได้

แม้แต่คนที่รู้จักกับกงกงมาก่อนหน้านี้ ก็ยังเริ่มลืมเลือนหมอนั่นแล้วเลย

นี่คือผลลัพธ์จากการที่ไม่มีใครใส่ใจถึงการมีตัวตนอยู่ของกงกง เมื่อปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้นานเข้า กงกงก็เริ่มเลือนรางหายไปจากความทรงจำของทุกคนโดยไม่มีใครรู้ตัว

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ?

“เดี๋ยวกงกงกลับมาเมื่อไหร่ ค่อยลองถามดูดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

หลังจากนั้นไม่นาน

กงกงกลับมาพร้อมเจ้าหนูขนเงินที่ขนของมันเป็นประกายสะท้อนกับแสงจันทร์วิบวับ

“จี๊ด…”

เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน อากวงก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทันที

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปลูบหัวของอากวง

ขนของมันช่างนุ่มมือเหลือเกิน

“ข้าน้อยคิดถึงนายท่านมากมาย”

อากวงเขียนข้อความลงบนกระดานที่แขวนอยู่ติดตัว

เจ้าหนูตัวนี้อดีตเคยเป็นถึงราชันหนูอสูรหางกุดผู้ยิ่งใหญ่ แต่บัดนี้ ตัวมันคลุกคลีอยู่กับมนุษย์นานเกินไป จึงลืมเลือนเจตนาเดิมที่ติดตามหลินเป่ยเฉินไปหมดสิ้น แม้แต่ความทะเยอทะยานส่วนตัวก็ไม่มีเหลือ ปัจจุบัน อากวงเป็นเจ้าหนูตัวอ้วนพี และมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือเป็นข้ารับใช้ของหลินเป่ยเฉินและกินดื่มอย่างสุขสบายไปจนวันตายเท่านั้น

“ในเมื่อนายท่านไม่มีอะไรแล้ว กงกงขอตัวก่อนนะขอรับ”

กงกงประสานมือคำนับ

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

แต่แล้วหัวใจของเขาก็กระตุกวูบ เดี๋ยวก่อนสิ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าเมื่อสักครู่นี้ ตนเองตั้งใจจะทำอะไรหรือเปล่านะ?

ช่างมันเถอะ

มาทดลองเรื่องการแชร์สัญญาณไวไฟก่อนดีกว่า

หลินเป่ยเฉินใช้สายตาสำรวจมองร่างของอากวง ก่อนจะใช้มือตนเองสัมผัสลูบคลำไปตามส่วนต่างๆ

กล้ามเนื้ออัดแน่น

น่าจะมีพลังโจมตีไม่น้อย

ต้องไม่ลืมว่าเจ้าหนูตัวนี้รับประทานสมุนไพรจากดินแดนทวยเทพ จึงทำให้เกิดการกลายพันธุ์ที่ไม่เหมือนหนูอสูรตัวไหนทั้งสิ้น

“ไหนเจ้าลองต่อยข้าซิ”

“จี๊ด?”

“ต่อยข้าให้แรงที่สุดที่ทำได้”

“จี๊ด?”

“ใช้พลังทั้งหมดที่เจ้ามี นี่คือคำสั่ง”

ผลั่ก!

เมื่ออากวงต่อยเต็มแรง ร่างของหลินเป่ยเฉินก็ลอยกระเด็นขึ้นไปเหนือศีรษะ

เด็กหนุ่มลอยหายลับไปบนผืนฟ้า

อากวงได้แต่กะพริบตาปริบๆ

เขาหันไปมองหน้าเซียวปิงที่ยืนอยู่ด้านข้างเหมือนจะบอกว่า ‘พี่ชาย เจ้าต้องเป็นพยานให้ข้าด้วย นายท่านเป็นคนสั่งให้ข้าต่อยเขาเอง’

เซียวปิงรับประทานน่องไก่ต่อไป แกล้งทำเป็นไม่รับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น

โครม!

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วนิ่วหน้า ทิ้งตัวกลับลงมาบนพื้นดินอย่างรุนแรง

ช่างเป็นหมัดที่หนักหน่วงนัก

ถึงกับต่อยเขาลอยกระเด็นขึ้นฟ้าไปไกลทีเดียว

คิดไม่ถึงเลยว่าอากวงจะแข็งแกร่งขนาดนี้

“ครั้งนี้ข้าจะไม่เอาโทษเจ้า”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลังจากนั้น เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบอาการเสียหน้าของตัวเอง

“ต่อไปนี้ ข้าอยากจะให้พวกเจ้าตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลงของระดับพลังในร่างกาย ข้ากำลังจะใช้เวทมนต์เสริมพลังให้กับพวกเจ้า… เหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้น่ะ” หลินเป่ยเฉินพูดอย่างระมัดระวัง

เขาเปิดฟังก์ชันการแชร์สัญญาณไวไฟในโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นจึงกดเชื่อมต่อไปที่ชื่อของอากวงและเซียวปิง

ทันใดนั้น สีหน้าของเซียวปิงกับอากวงก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา

แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่พวกเขาสามารถทนได้

ไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มร่างอ้วนและเจ้าหนูอสูรก็มีร่างกายโป่งพอง

โดยเฉพาะเซียวปิง เส้นเลือดปรากฏขึ้นบนผิวหนังอย่างชัดเจน ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า

หลินเป่ยเฉินรีบกดตัดการเชื่อมต่อทันที

หนึ่งคนหนึ่งหนูหอบหายใจหนักหน่วง

สีหน้าของพวกเขาบอกชัดถึงความเจ็บปวดสุดขีด

ยังคงตั้งสติไม่ได้

ความเจ็บปวดและความหวาดกลัวยังคงอยู่ในหัวใจ เมื่อสักครู่นี้ พวกเขารู้สึกราวกับมีขุนเขาและจักรวาลถมทับลงมาทั้งตัว นับเป็นความหนักหน่วงที่เกือบจะไม่สามารถทนทานไหว

ด้วยระดับพลังในร่างกาย ณ ปัจจุบัน เซียวปิงกับอากวงยังไม่สามารถรับพลังจากหลินเป่ยเฉินได้เต็มที่

ทว่า ดวงตาของหลินเป่ยเฉินพลันเป็นประกายแจ่มใส

เพราะเขาพบวิธีใช้งานฟังก์ชันการแชร์สัญญาณไวไฟแล้ว!!