“พวกคุณลุยเลย ฆ่ามันให้ตาย!” เฉาจื่อหมิงเกิดเจตนาฆ่าแล้ว

“พวกเขากำลังจะฆ่าคนต่อหน้าสาธารณชน!” ผู้ทรงอิทธิพลชื่อดังบางคนรู้สึกว่าเรื่องนี้เลวร้ายลงเรื่อย ๆ หากเฉาจื่อหมิงฆ่าคนรุ่นใหม่ของตระกูลเฉินต่อหน้าผู้อาวุโสของตระกูลเฉิน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ตาย ทั้งสองฝ่ายจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน!

“ลุย ฆ่ามันให้ตาย! กล้าทำร้ายผู้นำตระกูลของพวกเรา รนหาความตาย!” ชายวัยกลางคนที่ผิวคล้ำและร่างกายกำยำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา และน้ำเสียงไม่มีอารมณ์ใด ๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา

เฉินโม่ไม่อยากจะมองพวกเขาแม้แต่แวบเดียว เมื่อก่อนเขาอาจจะพะว้าพะวังกับการฆ่าคนธรรมดาต่อหน้าสาธารณชน แต่ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องพะว้าพะวังอีกต่อไปแล้ว

ขณะที่เฉินโม่กำลังจะฆ่าคน ก็มีร่างหนึ่งมายืนขวางอยู่ตรงหน้าเขา

เฉินกั๋วเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คนเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของปู่เถอะ!”

เฉินโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง เข้าใจเจตนาของเฉินกั๋วเหลียงทันที เขากลัวว่าตนเองจะฆ่าคนเหล่านี้ด้วยความโกรธ เฉินโม่คิดอยู่ในใจว่า “ดูเหมือนว่าคุณปู่จะยังไม่เปลี่ยนแนวคิดเดิม มันก็ใช่! เขายึดถือแนวคิดนี้มาตลอดชีวิต แล้วจะเปลี่ยนง่าย ๆ ได้อย่างไร?”

เมื่อเห็นเฉินกั๋วเหลียงยืนขวางอยู่หน้าเฉินโม่ พวกลูกน้องของเฉาจื่อหมิงตกตะลึง เพราะไม่ว่ายังไงเฉินกั๋วเหลียงก็เป็นผู้นำตระกูลเฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าลงมือง่าย ๆ

เฉาจื่อหมิงตะโกนด้วยความโกรธ “ยืนเซ่ออยู่ทำไม? จัดการเจ้าเด็กนั้นซะ ถ้าใครกล้าขวางก็จัดการพร้อมกัน!”

“ครับ!”

ลูกน้องของเฉาจื่อหมิงเหล่านั้น พุ่งเข้าไปทันที

เฉาจื่อหมิงมองเฉินโม่ด้วยความโกรธ และแสดงสีหน้าลำพองใจ คิดอยู่ในใจว่า “เจ้าหนู แกกล้าตบหน้าฉัน งั้นฉันก็จะทำร้ายผู้นำตระกูลเฉินด้วย ถือเป็นดอกเบี้ยก็แล้วกัน!”

เฉินโม่ไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ ตอนนี้เฉินกั๋วเหลียงเป็นปรมาจารย์แล้ว การจัดการกับนักสู้ธรรมดาเหล่านี้ เป็นเรื่องง่ายดาย

เหล่าผู้ทรงอิทธิพลชื่อดังที่ไม่รู้ความแข็งแกร่งของเฉินกั๋วเหลียง ต่างแสดงสีหน้าเสียดาย หากผู้นำตระกูลเฉินถูกคนอื่นทำร้ายอย่างรุนแรง แล้วเรื่องนี้แผ่กระจายออกไป มันจะอับอายขายหน้ามาก

อย่างไรก็ตาม ไม่นานผลลัพธ์ที่ทำให้พวกเขาตกใจก็เกิดขึ้น เฉินกั๋วเหลียงที่เป็นคนชรา กลับแตะต่อยลูกน้องร่างกำยำของเฉาจื่อหมิงจนล้มลงบนพื้น

ทางกลับกัน เฉินกั๋วเหลียงกลับดูผ่อนคลายมาก ราวกับว่าเขาเผลอเหยียบมดตายเท่านั้น

“คนไร้ประโยชน์พวกนี้ ยังกล้ามาปล่อยไก่ขายหน้าที่ตระกูลเฉินอีก เฉาจื่อหมิง คุณมันยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง” เฉินกั๋วเหลียงมองเฉาจื่อหมิง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

สีหน้าของเฉาจื่อหมิงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แสดงท่าทางไม่อยากเชื่อ “นี่…เป็นไปได้อย่างไร! ตาแก่คนนี้กลายเป็นทรงพลังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

สีหน้าของหลินเจิ้นหนานสงบ แต่มีความตื่นตระหนกอยู่ในดวงตา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาน่าจะเป็นนักบู๊ที่แข็งแกร่งไม่น้อย”

“นักบู๊!” เฉาจื่อหมิงตกตะลึง ตอนแรกเมื่อเห็นเฉินกั๋วเหลียงเดินหนึ่งก้าวเป็นระยะทางหลายฟุต เขาคิดว่าเฉินกั๋วเหลียงนั้นเร็วกว่าคนอื่น ๆ เท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเขาจะต่อสู้ได้เก่งขนาดนี้

เฉาจื่อหมิงเคยได้ยินความสามารถของนักบู๊แล้ว และลูกน้องที่เป็นนักสู้ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดคือนักบู๊แดนนอก ซึ่งสร้างความดีความชอบให้เขาไม่น้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินกั๋วเหลียงแล้ว นึกไม่ถึงว่าเขาจะอ่อนแอขนาดนี้

“แล้วพวกเราควรทำอย่างไรดี?” เฉาจื่อหมิงถามหลินเจิ้นหนานเบา ๆ ทำตามแผนเดิม สามตระกูลใหญ่ร่วมมือกันปราบตระกูลเฉิน ทำให้ตระกูลเฉินอับอายขายหน้า หลังจากนั้นทำให้ผู้ร้ายที่ทำร้ายคนกลายเป็นคนพิการต่อหน้าผู้อาวุโสของตระกูลเฉิน

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่พวกเขาจะลงมือสังหารคนในตระกูลเฉิน

ไม่ต้องพูดถึงคนที่พวกเขาพามา แม้แต่บอดี้การ์ดของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลชื่อดังที่มาที่นี่ในวันนี้ ยังไม่คณามือเฉินกั๋วเหลียงเลย

หลินเจิ้นหนานกล่าวเบา ๆ “อย่าตื่นตระหนก ขอเพียงแค่พวกเขาไม่สามารถแสดงหลักฐานออกมาได้ พวกเราก็จะเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล แม้ว่าเขาจะเป็นนักบู๊ แล้วตระกูลโม่ไม่มีนักบู๊เหรอ?”

“คุณหมายความว่าเรียกกำลังของตระกูลโม่มาช่วยเสิรมใช่ไหม?” เฉาจื่อหมิงถาม

“เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องทำแบบนี้!” น้ำเสียงของหลินเจิ้นหนานมีความจำใจเล็กน้อย

“เอาล่ะ ผมจะจดจำความแค้นนี้เอาไว้ก่อน” สายตาของเฉาจื่อหมิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง