ภาคที่ 6 บทที่ 91 เมืองมืดมน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 91 เมืองมืดมน

เมื่อเยี่ยเฟิงหานก้าวออกมาจากปราสาท เขาก็ยังคงรู้สึกวิงเวียนอยู่เล็กน้อย ด้วยความมึนงง เขาจึงไม่มีปฏิกิริยาใดเมื่อเห็นฉางเหอที่รอคอยเข้าอยู่ข้างนอก

ฉางเหอมองเขาโดยมีความสับสนอยู่บนใบหน้า “ทำไมเจ้าดูแปลกนักล่ะ ? เหมือนวิญญาณของเจ้าถูกดูดออกไปจากร่างเลย เจ้านิกายคงไม่ได้ตำหนิเจ้ามาใช่ไหม ? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ ! เจ้าได้สร้างผลงานที่สำคัญยิ่งนัก…”

“ไม่ ข้าได้รับรางวัล ข้าแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” เยี่ยเฟิงหานตอบอย่างกลวงเปล่า ไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง

“เหนื่อยหรือ ?” ฉางเหอไม่เข้าใจ

เขาต้องการหยอกล้อให้มากกว่านี้ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไปในทันใด

ชายหนุ่มดมอากาศประหนึ่งสุนัข “กลิ่นอายนี้… สวรรค์ เจ้าไปถึงด่านผลาญจิตวิญญาณแล้วหรือ ?”

เขาคว้าคอเสื้อของเยี่ยเฟิงหานด้วยความตื่นอกตื่นใจ “บอกข้ามา เจ้าไปถึงด่านผลาญจิตวิญญาณได้ยังไงกัน ?”

“เจ้านิกายชี้แนะข้าและช่วยให้ข้าทะลวงด่านเป็นการส่วนตัว” เยี่ยเฟิงหานตอบอย่างช่วยไม่ได้

ฉางเหอสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น “ข้าว่าแล้ว ! ข้าว่าแล้วว่าเจ้าจะต้องได้รับรางวัลเป็นสิ่งอื่นนอกจากแต้มผลงาน แต่พอคิดว่าเขาช่วยเจ้าทะลวงสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณจริง ๆ …นี่มันด่านผลาญจิตวิญญาณเลยนะ !”

“ไม่ใช่แค่นั้น”

คำพูดของเยี่ยเฟิงหานทำให้ฉางเหอชะงักไป “มีอย่างอื่นอีกหรือ ?”

เยี่ยเฟิงหานตอบด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด “นอกจากช่วยเหลือข้าให้ทะลวงด่านไปสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณแล้ว เจ้านิกายยังมอบวิชาฝึกสู่อมตะระดับ 6 อุปกรณ์พลังสูญชิ้นหนึ่ง ยาเสริมแกร่งพลังจิตสามขวด… และลักษณ์เจ็ดสายเลือดให้แก่ข้า”

“อุปกรณ์… พลังสูญ ? ลักษณ์… ลักษณ์เจ็ดสายเลือด ?” ฉางเหออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

หลังจากที่ซูเฉินกลับมาจากแดนพลังสูญ เขาก็ได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญในค่ายกลต้นกำเนิดและการสร้างอุปกรณ์ แล้วจึงใช้โลหะดาราสูญที่ได้เก็บเกี่ยวมาเพื่อประกอบอุปกรณ์พลังสูญขึ้นมหาศาล

แต่อุปกรณ์นี้ก็มีค่าเหลือเชื่อ และโดยปกติแล้วจะมอบให้แก่ผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่านี้ เยี่ยเฟิงหานกลับได้รับอุปกรณ์ชิ้นนี้มาใช้งานเองอย่างน่าประหลาดใจ มันเป็นอุปกรณ์ประเภทใดกัน ?

แต่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับลักษณ์เจ็ดสายเลือดแล้ว อุปกรณ์พลังสูญเพียงชิ้นเดียวก็นับว่าไร้ค่า

ลักษณ์เจ็ดสายเลือดคือสิ่งประดิษฐ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของซูเฉินในตอนนี้ ทั้งคุณสมบัติการป้องกันและความรุนแรงของมันต่างก็มหัศจรรย์ยิ่งนัก ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ซูเฉินยังอยู่ในด่านผลาญจิตวิญญาณ เขาได้พยายามใช้ลักษณ์เจ็ดสายเลือดเพื่อต้านทานพละกำลังของจักรพรรดิอสูร เห็นได้ชัดว่าลักษณ์นี้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงใด

และในตอนนี้ ท่านเจ้าสำนักก็ได้มอบมันให้แก่เยี่ยเฟิงหานต่องั้นหรือ ? ด้วยความเร็วที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปในตอนนี้ เยี่ยเฟิงหานจะกลายเป็นศิษย์คนสนิทของเขาในไม่ช้า

แล้วฉางเหอจะไม่ตกตะลึงและอิจฉาได้อย่างไร ?

แต่แล้วเยี่ยเฟิงหานก็ถอนหายใจ “แต่ท่านเจ้าสำนักก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”

“เงื่อนไขหรือ ? เงื่อนไขอะไร ?” ฉางเหอเริ่มใจเย็นลงเมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น

“เจ้านิกายขอให้ข้ามุ่งหน้าไปยังป่าฝันร้ายในฐานะส่วนหนึ่งของหน่วยสอดแนมล่วงหน้า”

เป็นอย่างนี้เอง

เหตุการณ์ที่ที่ราบเส้นทางวงแหวนทำให้ซูเฉินรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย

เขาอาจไม่ต้องห่วงตัวเอง แต่ก็ไม่อาจมองเช่นนั้นกับนิกายไร้ขอบเขตได้

หากที่ราบเส้นทางวงแหวนนั้นมีค่ายกลที่ทรงพลังจนแทบจะทำลายนิกายไร้ขอบเขตได้ด้วยตัวเอง แล้วความประหลาดใจเช่นไรกันที่กำลังรออยู่ในป่าฝันร้าย สวนภูตผี หุบเขาทรุด อารามยมทูต และถ้ำว่านไหล

ซูเฉินจำเป็นต้องระมัดระวัง

นี่ยังเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาได้เรียกตัวเยี่ยเฟิงหานมาอีกด้วย

ซูเฉินได้มอบผลประโยชน์และรางวัลมากมายให้แก่อีกฝ่าย เพราะกำลังไว้วางใจในหน้าที่ที่สำคัญกับศิษย์คนนี้

ป่าฝันร้ายคืออีกหนึ่งเขตแดนต้องห้ามตามธรรมชาติของเผ่าวิญญาณ

มีความเป็นไปได้ว่าจะเหมือนกับช่องแคบวายุเงียบ ที่มันจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อนิกายไร้ขอบเขต แต่มันก็เป็นไปได้เช่นกัน ที่จะเหมือนกับที่ราบเส้นทางวงแหวน นั่นก็คือดูไร้พิษภัยเพียงเพราะอันตรายอันเหลือเชื่อถูกซ่อนไว้อย่างดี !

จะต้องใช้การตรวจสอบเพื่อระบุว่ามันเป็นเช่นไรกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ที่ราบเส้นทางวงแหวนได้มอบบทเรียนครั้งสำคัญให้แก่ซูเฉิน ทำให้ไม่อาจประมาทต่อเผ่าวิญญาณอีก เขากำลังวางแผนที่จะส่งศิษย์จำนวนมากไปตามหลังศัตรูเพื่อจัดการกับสถานการณ์จริงได้อย่างทันท่วงที

ที่อีกฟากของสงคราม ข่าวการบุกรุกของมนุษย์ก็ไปถึงหูของอาณาจักรหมองหม่นในที่สุด

ภายในถ้ำว่านไหล

ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ปลายเหนือสุดของทวีปต้นกำเนิด และถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ไม่ว่าจะเป็นฤดูใด ทำให้พื้นดินนั้นแข็งเป็นอย่างมาก ที่น่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น พื้นดินที่นี่มีความจุสูงในการดูดซับพลังต้นกำเนิด ทำให้เป็นไปได้ยากยิ่งนักที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันจะสร้างรอยขีดข่วนให้แก่มันได้เสียด้วยซ้ำ

นอกจากความทนทานของพื้นดินแล้ว ถ้ำขนาดยักษ์แห่งหนึ่งก็ได้ถูกขุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินที่ยืดหยุ่นนี้

ใช่ อาณาจักรหมองหม่นของเผ่าวิญญาณได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่

พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นอยู่ใต้ดิน ราว ๆ ห้าร้อยจั้งเบื้องล่างใจกลางของถ้ำว่านไหล กำแพงล้อมเมืองถูกสร้างขึ้นจากหินสีเขียวเข้ม ซึ่งครอบครองคุณสมบัติดูดซับพลังต้นกำเนิดเช่นเดียวกับพื้นดิน ดังนั้นพลังป้องกันของมันจึงยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน กำแพงที่นี่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าที่เมืองล่องนภาแม้แต่น้อย

เมืองมืดมนยังมีข้อได้เปรียบที่แปลกประหลาดอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือสิ่งแวดล้อมรอบข้างของมันนั้นซับซ้อนอย่างน่าเหลือเชื่อนั่นเอง

กองกำลังบุกรุกใดก็ตามที่ต้องการโจมตีเมืองมืดมนจะต้องขุดลงไปใต้พื้นดินเพื่อไปให้ถึงมัน

นั่นคือการเดินทางผ่านอุโมงค์ใต้ดินเส้นยาวเหยียดนั่นเอง

ระบบอุโมงค์ใต้ดินของเผ่าวิญญาณนั้นซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ นอกจากนั้น มันยังคับแคบเสียจนเดินผ่านไปได้เพียงทีละคนเท่านั้น ดังนั้นแล้ว ข้อได้เปรียบทางจำนวนจึงได้ถูกลบล้างไปโดยภูมิประเทศเช่นนี้ เพื่อที่จะเข้าไปในโลกใต้ดิน ผู้บุกรุกทุกคนจะต้องเดินทางผ่านอุโมงค์เหล่านี้ไปทีละคน ๆ

และอุโมงค์ที่ว่านี้ยังแตกแขนงออกไปอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำนายได้ว่าอุโมงค์ใดนำพาไปสู่เมืองใต้ดิน อุโมงค์เส้นนี้จะต้องถูกสำรวจทีละคนเท่านั้น

หากเจ้าทายผิด เช่นนั้นแล้วการจะพบเจอกับดักอันตรายก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

และแม้ว่าเจ้าจะพบเส้นทางที่ถูกต้องได้ เจ้าก็จะอยู่ในปัญหาที่ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก

เผ่าวิญญาณได้สร้างถ้ำลับนับไม่ถ้วนและจุดซ่อนตัวจำนวนมากไว้ภายในอุโมงค์ ที่ที่เผ่าวิญญาณ หุ่นเชิด กับดัก หรือค่ายกลจะรอคอยอยู่ ผู้บุกรุกคนใดก็ตามที่เข้ามาสำรวจอุโมงค์เหล่านี้จะตกอยู่ท่ามกลางทำนบการโจมตีที่ดุร้ายมหาศาล

นี่คือวิธีการที่เมืองมืดมนปกป้องตนเอง

พื้นดินเองก็รับหน้าที่เป็นเปลือกป้องกันสำหรับเมืองมืดมน ตัวมันเองซ้อนทับด้วยค่ายกลต้นกำเนิดป้องกันที่เบาบาง รวมถึงลดกำลังของการโจมตีใดก็ตามที่ตั้งเป้าหมายมายังเมืองมากขึ้นไปอีก

ระบบการป้องกันสามชั้นนี้ทำให้เมืองมืดมนไม่อาจถูกห้อมล้อมได้ และเป็นเหตุผลที่เผ่าวิญญาณได้มีตัวตนอยู่ที่นี่อย่างสงบสุขมาเป็นเวลากว่าหลายหมื่นปี

เผ่าวิญญาณที่อาศัยอยู่ที่นั่นมักจะยังคงอยู่ใน ‘โลงศพ’ ของตนและคอยดำเนินงานวิจัย หรือบางครั้ง พวกเขาก็จะหนีไปที่อื่นเพื่อรวบรวมข้อมูลงานวิจัยเพิ่มเติมหรือเพื่อเหตุผลที่ต่างออกไปอันไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยเลย

แต่ในวันนี้ ระฆังประหลาดได้เข้ามารบกวนความสงบสุขของเมืองมืดมน

แก๊ง แก๊ง แก๊ง !

เมื่อเสียงระฆังลั่นขึ้นในท้องฟ้า เผ่าวิญญาณทุกตนต่างก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจ ร้องเรียกให้พวกเขาตอบสนองไม่ว่าจะห่างไกลออกไปเท่าไรก็ตาม

“นี่มัน…” อูเอ่อร์หลีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่เขากำลังจดจ่อพินิจพิเคราะห์ หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกขึ้นได้ถึงความสำคัญของเสียงระฆังนี้ “ระดมพลทั้งหมดหรือ ? เสียงระฆังพวกนี้จะต้องมาจากระฆังเรียกระดมผลเป็นแน่ ระฆังฆาตอาวรณ์ เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่ข้าได้ยินเสียงนี้เมื่อครั้งก่อน”

อูเอ่อร์หลีพึมพำสิ่งเหล่านี้กับตัวเองอย่างสงบนิ่งทีเดียว เผ่าวิญญาณนั้นเคยชินกับความสันโดษมาเป็นเวลานาน นานเสียจนถึงจุดที่อูเอ่อร์หลีได้หลงลืมจุดประสงค์ของระฆังฆาตอาวรณ์ไปชั่วขณะทีเดียว

หากระฆังฆาตอาวรณ์ถูกตี การประชุมแห่งความตายก็จะถูกจัดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การประชุมแห่งความตายถูกจัดขึ้นเมื่อเผ่าวิญญาณทั้งหมดรวมตัวกัน ในบางแง่ นี่คือการรวมตัวครั้งสำคัญที่สุดของเขาก็ว่าได้

บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

อูเอ่อร์หลีวางหนังสือลงและก้าวออกมาข้างนอกตำหนัก

เมื่อเขาเดินออกมาก็พบเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ อยู่โดยรอบ ซึ่งกำลังลอยตรงไปยังจัตุรัสกลาง

“นี่ อูเอ่อร์หลี เจ้ารู้ไหมว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ?” เผ่าวิญญาณตนหนึ่งซึ่งหยุดลงตรงหน้าเขาถามขึ้น

“ขอโทษด้วย ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” อูเอ่อร์หลีส่ายหัว

“ข้าไม่รู้ แต่ก็รู้สึกไม่ดีเลย เสียงระฆังฆาตอาวรณ์คงไม่ได้นำข่าวดีมาให้พวกเราในคราวนี้”

“ข้าขออภัย แต่ระฆังฆาตอาวรณ์เคยเป็นผู้ส่งข่าวดีด้วยหรือ ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินอะไรเช่นนั้นมาก่อนเลย ?”

“คราวนี้ต่างออกไป ! ความนี้มันต่างออกไป” เผ่าวิญญาณตอบอย่างขึงขัง

ห่วงโซ่ที่จางริบหรี่ปรากฏขึ้นรอบร่างกายโปร่งแสงของอีกฝ่าย เพราะความปั่นป่วนและความวิตกกังวลที่กำลังรู้สึก

“ใจเย็นก่อน !” อูเอ่อร์หลีกล่าวปลอบประโลม “ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น เวลาจะแบ่งเบาทุกสิ่งลงเอง”

“ความอมตะโปรดปกป้องพวกเรา !”

เผ่าวิญญาณทั้งสองสวดภาวนากันสักพักหนึ่งก่อนที่จะตกสู่ความเงียบงันและมุ่งหน้าไปยังจัตุรัสกลาง

เมื่อพวกเขาไปถึงปลายทางก็พบว่า จัตุรัสนั้นได้อัดแน่นไปด้วยเผ่าวิญญาณเรียบร้อยแล้ว และยังมีอีกมากที่ยังคงอยู่ระหว่างการเดินทาง

ชาวเผ่าวิญญาณนั้นคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ภายใต้สถานการณ์ปกติ เป็นเรื่องหายากที่เผ่าวิญญาณสักสิบตนจะรวมตัวอยู่ด้วยกันเสียด้วยซ้ำ

หลังจากเวลาผ่านไปอีกสักระยะก็ไม่มีเผ่าวิญญาณตนใดลอยเข้ามาในทิศทางนี้อีก ซึ่งหมายความว่าพวกเขาแทบทั้งหมดได้มาถึงยังสถานที่แห่งนี้แล้ว

เสียงทุ้มต่ำดูจริงจังลอยต่ำลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน “พลเมืองเผ่าวิญญาณของข้า”

“มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล !” ชาวเผ่าวิญญาณต่างกล่าวต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง

เผ่าวิญญาณตนหนึ่งเข้ามาในทิวทัศน์ของจัตุรัสกลางอย่างเชื่องช้า

เขามีหมอกห่อหุ้มอยู่รอบกายทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าได้ยากยิ่งนัก ทว่าด้วยคลื่นพลังจิตที่แข็งแกร่งอันกระจายแผ่ออกมาจากกายนั้น ทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่คือผู้นำของพวกเขา ราชันแห่งเผ่าวิญญาณ มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกล

มั่วเนี่ยลาซือกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง “มีข่าวร้ายบางอย่างที่ข้าต้องบอกพวกเจ้าทุกคน… เผ่ามนุษย์กำลังบุกรุก”

งั้นพวกเขาก็กำลังถูกโจมตีโดยเผ่ามนุษย์หรือ ?

นี่ไม่ได้ทำให้เผ่าวิญญาณประหลาดใจมากเท่าไรนัก อย่างไรแล้ว เสียงของระฆังฆาตอาวรณ์ก็มักจะเกี่ยวข้องกับการบุกรุกเช่นนี้ คำแถลงการณ์นี้จึงเป็นเพียงการยืนยันข้อสงสัยของพวกเขาเท่านั้น

แต่การบุกรุกของมนุษย์ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจนัก พวกเราจำเป็นต้องจัดการประชุมแห่งความตายเพียงเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นหรือ ?

มั่วเนี่ยลาซือตอบคำตอบนี้ให้แก่พวกเขาอย่างรวดเร็ว

“กว่าพวกเราจะได้รับข่าว เผ่ามนุษย์ก็ได้ยึดครองที่ราบเส้นทางวงแหวนไปเรียบร้อยแล้ว”

อะไรนะ ?

ข่าวที่สองนี้ทำให้ชาวเผ่าวิญญาณตกตะลึง

อัตราการก้าวหน้านี้เร็วเกินไป ข่าวสารเพิ่งจะมาถึงเมืองมืดมน แต่ชาวมนุษย์ได้ยึดครองที่ราบเส้นทางวงแหวนไปเรียบร้อยแล้ว และที่ราบเส้นทางวงแหวนเองก็สำคัญไม่น้อย เผ่าวิญญาณใช้เวลาและพลังงานมหาศาลเพื่อตั้งค่ายกลต้นกำเนิดไว้ภายใน ในสายตาของเผ่าวิญญาณ ที่ราบเส้นทางวงแหวนควรจะขัดขวางศัตรูใดก็ตามที่บุกรุกเข้ามา ไม่มีผู้บุกรุกคนใดต้องการที่จะเดินหน้าต่อหลังจากที่ถูกซัดกระหน่ำเช่นนั้น

แต่ทำไมค่ายกลยักษ์ถึงไม่ได้ผลล่ะ ?

ขณะที่เผ่าวิญญาณต่างกระซิบกระซาบกัน ความผันผวนของพลังจิตโดยรอบก็พุ่งสูงขึ้นหลายร้อยครั้ง

ดวงวิญญาณที่ทรงพลังดวงหนึ่งขัดขวางบทสนทนานี้ไว้ “พอแล้ว ! ข่าวได้ถูกยืนยันแล้ว ไม่จำเป็นต้องสงสัยถึงความจริงในคำแถลงการณ์นี้อีกต่อไป ข้อถกเถียงหลักในตอนนี้คือเราควรตอบโต้อย่างไรต่างหาก”

“จะมีวิธีไหนอีกล่ะ ? เราจะสู้กับพวกมันจนสิ้นอย่างแน่นอน !” เผ่าวิญญาณตนหนึ่งตะโกนลั่น

เผ่าวิญญาณนั้นเลือดเย็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไร้ซึ่งอารมณ์

หากมนุษย์กล้าบุกรุก งั้นพวกเขาก็จะได้รับรสชาติความแข็งแกร่งขั้นสุดของเผ่าวิญญาณ !

“ข้าต้องเกณฑ์กองทัพที่หยุดยั้งพวกเขาไว้ได้ก่อนที่จะไปถึงยังอารามยมทูต” มั่วเนี่ยลาซือพูดต่อ

นั่นคือเป้าหมายหลักของการประชุมแห่งความตายนี้

เพื่อเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพ

เผ่าวิญญาณแต่ละตนนั้นแข็งแกร่งทีเดียว และพวกเขาทุกคนยังสามารถต่อสู้ได้อีกด้วย แต่นี่ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขายังไม่มีกองทัพอย่างเป็นทางการเช่นกัน

ทุกครั้งที่สงครามครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะก่อกำเนิดขึ้น เผ่าวิญญาณจะจัดตั้งกองทัพขึ้นในหมู่พวกตน แล้วจึงกลับไปสู่บทบาทเดิมของแต่ละคนในตอนจบ

สำหรับเผ่าวิญญาณ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเคยชินอยู่แล้ว

“พวกเราพร้อมรับใช้ท่าน !” เผ่าวิญญาณทุกตนตอบเป็นเสียงเดียวกัน

“หากเป็นเช่นนั้น แม่ทัพเหมิงทัวฝ่าจะเป็นผู้รับหน้าที่กำจัดผู้บุกรุกเผ่ามนุษย์ออกไป”

“ตามที่ท่านสั่ง” เผ่าวิญญาณตนหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัด เผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ไม่ได้ตอบแม้แต่คำเดียว

เผ่าวิญญาณเป็นผู้ตัดสินใจเองในสนามรบ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะแต่งตั้งผู้นำในสงคราม และเนื่องจากความไม่แยแสแต่กำเนิดต่อชนชั้นทางสังคมและสถานะ การเลือกผู้บัญชาการจึงยิ่งไม่เป็นทางการมากขึ้นไปอีก

ตอนนี้เมื่อผู้บัญชาการได้ถูกเลือกแล้ว มั่วเนี่ยลาซือจึงพูดขึ้น “เผ่าวิญญาณทั้งหมดจะรายงานตัวต่อแม่ทัพเหมิงทัวฝ่า ด้วยข้อยกเว้นสำหรับผู้อาวุโส เราจะพบกันเป็นรายบุคคลเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนของพวกเรา”