บทที่ 92 การประชุมเผ่าวิญญาณ
มีผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณอยู่มากมาย ตราบใดที่เผ่าวิญญาณสักตนไปถึงระดับของเผ่าวิญญาณระดับสูง พวกเขาจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสไปโดยธรรมชาติ
แต่ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นเพียงผู้อาวุโสทั่วไป
ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการประชุมสงครามครั้งนี้คือผู้อาวุโส ‘ดำรงตำแหน่ง’
อูเอ่อร์หลีคือหนึ่งในผู้อาวุโสดำรงตำแหน่งเช่นกัน เมื่อเผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ จากไปแล้ว อูเอ่อร์หลีและผู้อาวุโสดำรงตำแหน่งคนอื่น ๆ จึงเข้าไปในหอประชุม
หอประชุมนี้มีเป็นทรงกลมขนาดใหญ่ ที่พื้นเต็มไปด้วยเก้าอี้ทรงกลมจำนวนมหาศาล
อูเอ่อร์หลีนั่งลงบนเก้าอี้ที่เป็นของตน ข้างหน้าโถง มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกลนั้นนั่งอยู่ก่อนแล้ว
หลังจากที่ผู้อาวุโสดำรงตำแหน่งทุกคนนั่งลงแล้ว มั่วเนี่ยลาซือจึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เราก็เริ่มการประชุมได้ ก่อนอื่น ข้าจะบอกข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้บุกรุกของเรา คราวนี้ไม่ใช่อาณาจักรนกฮูก มันคือนิกายไร้ขอบเขต”
นิกายไร้ขอบเขตหรือ ?
เหล่าผู้อาวุโสเริ่มถกเถียงกันอย่างคึกคักเมื่อพวกเขาได้ยินชื่อนี้
ชื่อนี้เคยโผล่ขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง
นิกายไร้ขอบเขตเป็นชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดเมื่อครั้งได้เข้าไปสำรวจหุบเหวนรก
“พวกนั้นมานี่ที่เพื่อวิญญาณอำมฤต” หนึ่งในผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณกล่าว
“ใช่แล้ว ตอนนี้เจ้านิกายนั่นได้ทำข้อตกลงโสมมส่วนหนึ่งกับหยงเยี่ยหลิวกวงลุล่วงแล้ว และมันก็กำลังกางกรงเล็บขยายมายังเขตแดนของเผ่าวิญญาณต่อ”
“แต่คราวนี้มันไม่ได้พยายามสร้างข้อตกลงกับพวกเรา กลับกัน มันแค่กะจะโจมตีเท่านั้น”
“นั่นเป็นเพราะพวกนั้นไม่มีเหตุผลที่จะร่วมมือกับพวกเราในครั้งนี้”
“หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกนั้นไม่คิดว่ามีความจำเป็นที่จะร่วมมือกับพวกเราอีกต่อไป อย่างไรแล้ว เจ้าพวกนิกายนั่นก็สามารถพิชิตหุบเหวนรกได้”
“อย่าโง่นักเลย พวกเราสามารถพิชิตหุบเหวนรกได้ไม่ใช่เพราะพวกมันแข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิอสูรที่นั่น แต่เป็นเพราะพวกมันได้พัฒนายาพิเศษที่ลบล้างผลขอท้องสมุทรโศกาขึ้นมาต่างหาก !”
“และใครจะบอกได้ล่ะ ว่าพวกนั้นพัฒนายาใหม่นี้ขึ้นมาเพื่อใช้กับพวกเราหรือไม่ แต่จากข่าวที่ข้าได้รับมา ดูเหมือนว่า… พวกนั้นได้มาจนถึงจุดที่ว่าแล้ว”
“ไม่ว่าพวกมันจะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือภายนอกชนิดใด พวกมันก็จะไม่อาจทะลวงผ่านการป้องกันของพวกเราได้ !”
“พวกมันเริ่มบุกฝ่ามาได้แล้ว เราได้สูญเสียที่ราบเส้นทางวงแหวนไปแล้ว”
หอประชุมเกิดความโกลาหลวุ่นวายขึ้น
“ข้าคิดว่าเราควรส่งเผ่าสามเพศกับเผ่าข่าปู้เลอไปยังป่าฝันร้าย และหยุดพวกนั้นไว้” หนึ่งในผู้อาวุโสเสนอ
เผ่าสามเพศคือเผ่ารองของเผ่าวิญญาณ
มีด้วยกันสามเพศ รวมถึงหญิงและชาย
เผ่าสามเพศนั้นเป็นเผ่าที่แปลกประหลาด สมาชิกทั้งหมดปกคลุมร่างกายของพวกตนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยลายสัก นอกจากนี้ยังชอบร่วมประเวณีกันอย่างเป็นสาธารณะ พวกนั้นกระทั่งจัด ‘งานเฉลิมฉลอง’ สาธารณะในตอนพลบค่ำ และความสำส่อนของพวกนั้นก็เป็นแหล่งรวมความอับอายสำหรับเผ่าอัจฉริยะอื่นทั้งหมด
เผ่าข่าปู้เลอคือเผ่าพันธุ์รูปร่างเตี้ยที่แทบจะไร้พรสวรรค์ในทุกสิ่ง พวกเขาทั้งเกรี้ยวกราดและขี้ขลาดเยี่ยงนักเลง ยามใดเมื่อเผ่านี้เป็นฝ่ายได้เปรียบ ก็จะรุมกระหน่ำเข้าหาศัตรู แต่เมื่อพวกตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็จะพากันกระจายตัวทันที ชื่อเสียงของเผ่าข่าปู้เลอนั้นน่าสะพรึงกลัวไม่ต่างจากเผ่าสามเพศแม้แต่น้อย
ทั้งสองเผ่านี้ต่างก็ไม่น่านับถือทั้งสิ้น แต่เผ่าวิญญาณไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
เผ่าวิญญาณได้สูญเสียความสามารถในการสืบพันธุ์ไปจนหมดสิ้น สิ่งที่เผ่าสามเพศทำอย่างเป็นสาธารณะจึงไม่เข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย และสำหรับเผ่าข่าปู้เลอ ความขี้ขลาดของพวกเขาก็มีประสิทธิภาพต่อการทำให้ผู้คนหมดคำพูด แต่อัตราการสืบพันธุ์ของพวกเขาก็ช่วยส่งเสริมจำนวนของเผ่าวิญญาณได้อย่างมหาศาลทีเดียว พวกเขาคือทหารเกณฑ์สมบูรณ์แบบนั่นเอง
ดังนั้นแล้ว กองทัพข่าปู้เลอจึงมักจะถูกโยนเข้าไปกลางสนามรบในจังหวะคับขันอยู่เสมอ ตามด้วยชนชั้นสูงของเผ่าสามเพศก่อนที่เผ่าวิญญาณจะปรากฏขึ้นด้วยซ้ำ
สถานะของทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นแปรผกผันกับประชากรของพวกเขา ยิ่งพวกเขามีจำนวนน้อยเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีสถานะสูงเท่านั้น
ผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณบางส่วนเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้
แน่นอนว่ามีเสียงต่อต้านความคิดนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว
“ไม่จำเป็นต้องสูญเสียชีวิตของเผ่าชั้นรองเหล่านั้นหรอก เราควรจับกลุ่มทั้งสองเผ่านี้เข้ากับกำลังหลักของพวกเรามากกว่า แล้วก็รอคอยผู้บุกรุกที่หุบเขาทรุด นั่นคือสถานที่ที่ดีที่สุดในการตั้งฐานทัพ”
“เจ้าคิดว่ามนุษย์พวกนั้นจะสามารถฝ่ามาได้จนถึงหุบเขาทรุดเลยหรือ ? ตลกสิ้นดี”
“ข้าคิดว่าหากเรายังคงปิดหูปิดตาหหยิ่งยโสต่อไป ก็อาจเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมาถึงเมืองมืดมน”
การหารือนี้พัฒนาไปสู่การโต้เถียงที่ไร้จุดหมายอีกครั้ง
มั่วเนี่ยลาซือยกมือขึ้น ทำให้เผ่าวิญญาณตนอื่น ๆ ทั้งหมดเงียบลงในทันที
เขาพูดขึ้น “อูเอ่อร์หลีได้แลกเปลี่ยนหมัดกับนิกายไร้ขอบเขตมาก่อน และเจ้าก็เคยได้ชะลอการเคลื่อนไหวของพวกนั้นไว้ ฉะนั้นแล้ว เจ้าควรจะมีความคุ้นเคยกับกลยุทธ์ของฝ่ายนั้น ทำไมเจ้าไม่บอกวิธีการของพวกนั้นให้เราฟังสักหน่อยล่ะ ?”
อูเอ่อร์หลียืนขึ้น “ผู้อาวุโสที่เคารพ อูเอ่อร์หลีขอทักทายท่าน เมื่อหกปีก่อนครั้งนิกายไร้ขอบเขตมาถึงหุบเหวนรกเป็นครั้งแรก ข้าเพียงแค่ผ่านไปเพื่อตามหาวัตถุดิบพิเศษที่นั่นและพบเข้ากับพวกนั้นโดยบังเอิญ เมื่อข้ารู้ว่านิกายไร้ขอบเขตกำลังรวมหัวกับชาวสมุทรเพื่อจัดการกับท้องสมุทรโศกา ข้าก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเมืองล่องนภานั้นมีแนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องด้วย และพวกเราชาวเผ่าวิญญาณก็คงจะเป็นรายต่อไป ข้าจึงตัดสินใจที่จะลองก่อปัญหาให้พวกเขาสักหน่อย… ข้าควบคุมสมุนของพวกมันเล็กน้อย…”
อูเอ่อร์หลีเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาทำบนเกาะพิสุทธิ์ชั่วกาล
“ด้วยผู้รับใช้เหล่านั้น ข้าสามารถรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งทั้งหมดที่นิกายไร้ขอบเขตมี นี่ยังเป็นสถานที่ที่ข่าวของนิกายไร้ขอบเขตแพร่กระจายมาเป็นแห่งแรกอีกด้วย”
“งั้นเจ้าก็เป็นผู้มอบข้อมูลพวกนั้นให้กับเราสินะ ขอบใจเจ้ามาก อูเอ่อร์หลี เจ้าคือผู้ที่ช่วยให้เราเข้าใจศัตรูได้ดีที่สุด”
“มิน่าล่ะ ความแข็งแกร่งของเจ้าถึงลดลงมากนักตั้งแต่นั้นมา จนถึงจุดที่เจ้าแทบจะร่วงลงจากตำแหน่งระดับสูงทีเดียว มันต้องเป็นเพราะเจ้าต้องใช้วิชาพลังจิตสู่ทาสหลายต่อหลายครั้งที่นั่นเป็นแน่”
“และไม่แปลกเลยที่ผู้นำของเราจะยืนยันให้รักษาตำแหน่งของเจ้าในฐานะผู้อาวุโสไว้ …เจ้าได้สร้างผลงานอันสำคัญยิ่งนักให้แก่เผ่าวิญญาณ”
ผู้อาวุโสดำรงตำแหน่งต่างเยินยออูเอ่อร์หลี
อูเอ่อร์หลีตอบ “มันเป็นเพียงหน้าที่ของข้าก็เท่านั้น ข้าคิดว่าข้าสามารถชะลอพวกนั้นไว้ได้ แต่ข้าก็ใสซื่อเกินไปที่คิดเช่นนั้น เจ้านิกายของนิกายไร้ขอบเขตนั้นเป็นคนที่รับมือได้ยากอย่างเหลือเชื่อ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่สิ่งที่น่าเกรงขามที่สุด หากแต่เป็นพรสวรรค์ในการวิจัยของเขา ไม่ว่าความแข็งแกร่งของศัตรูจะเป็นสิ่งใด เขาก็สามารถจับจุดอ่อนของพวกเขาเพื่อใช้งานและเข้าควบคุมได้เสมอ นิกายไร้ขอบเขตแต่เดิมนั้นไร้การป้องกันต่อข้าโดยสมบูรณ์ แต่พวกนั้นก็สร้างแผนการเพื่อให้ค้นพบตัวข้าได้อย่างรวดเร็ว ข้าทำได้เพียงหลีกเลี่ยงพวกเขาเพราะโชคช่วยก็เท่านั้น ที่จริงแล้ว พวกนั้นก็เกือบจะพบตัวข้าอยู่หลายครั้งทีเดียว”
มั่วเนี่ยลาซือเอ่ยขึ้น “แต่เจ้าก็ยังประสบความสำเร็จในตอนท้าย เจ้าต่อยหมัดหนักใส่นิกายไร้ขอบเขตในช่วงวิกฤตและยังสามารถกักขังซูเฉินไว้ภายในแดนพลังสูญได้อีกด้วย”
อูเอ่อร์หลีส่ายหัว “นั่นยังเป็นแค่โชคช่วยเท่านั้นอีกด้วย ข้าได้ค้นพบสมุนไพรประหลาดที่ทำให้ข้าสามารถก้าวข้ามวิธีการตรวจจับของนิกายไร้ขอบเขตได้ โชคไม่ดีนักที่มันเป็นสมุนไพรที่แปรปรวน ข้าจงสามารถหามันได้เพียงชิ้นเดียว ข้าใช้มันได้เฉพาะกับศิษย์คนสนิทที่ข้าได้เข้าควบคุม และข้าก็จะไม่สามารถทำเช่นนั้นซ้ำได้สำเร็จอีก ยิ่งไปกว่านั้น… ซูเฉินยังไม่ตาย ข้าไม่เข้าใจว่าเขาเอาชีวิตรอดอยู่ในแดนพลังสูญได้อย่างไรทั้งปี แต่เขาก็ทำได้ มิหนำซ้ำยังกลับมาอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเสียด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของอูเอ่อร์หลีจริงจังทีเดียว
มั่วเนี่ยลาซือพูดขึ้น “นั่นก็จริง แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้า เอาล่ะ เจ้านั่งลงได้”
อูเอ่อร์หลีกลับไปยังที่นั่งของเขา
มั่วเนี่ยลาซือดำเนินการประชุมต่อไปโดยการถามขึ้น “งั้นตอนนี้ ทุกคนควรจะเข้าใจชัดเจนแล้วว่าเรากำลังเผชิญกับศัตรูเช่นไรใช่ไหม ?”
เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้า
ตอนนี้เมื่อพวกเขาใช้เข้าใจในความแข็งแกร่งของนิกายไร้ขอบเขตมากขึ้นเล็กน้อย เหล่าผู้อาวุโสก็ยอมแพ้ต่อการพยายามขัดขวางนิกายไร้ขอบเขตไว้ที่ป่าฝันร้ายอย่างรวดเร็ว แม้ว่าป่าฝันร้ายจะไม่ใช่ตำแหน่งที่โจมตีได้ง่ายนัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถชะลอการเดินหน้าของนิกายไร้ขอบเขตได้แม้แต่น้อย
หนึ่งในผู้อาวุโสชี้ “การรวบรวมกองกำลังของเราให้สมบูรณ์จะต้องใช้เวลา และเราคงไปไม่ทันสงครามที่ป่าฝันร้าย เราควรเรียกเผ่าจิตวิญญาณทมิฬทุกตนที่ยังอยู่ที่นั่นกลับมา”
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬคือสิ่งมีชีวิตก่อนการเปลี่ยนแปลงของเผ่าวิญญาณ ดังนั้น พวกเขาจึงนับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเผ่าวิญญาณและกระจัดกระจายอยู่ทั่วเขตแดนเผ่าวิญญาณ พวกเขาส่วนมากอาศัยอยู่ในเมืองมืดมน แต่ก็มีสถานที่อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
เพราะเผ่าวิญญาณสามารถกำเนิดได้จากเผ่าจิตวิญญาณทมิฬเท่านั้น เผ่าจิตวิญญาณทมิฬจึงถูกปฏิบัติราวกับเด็กน้อยในสายตาของเผ่าวิญญาณ และถูกปกป้องประหนึ่งไข่ในหิน ก่อนสงครามสำคัญทุกครั้ง พวกเขาจะถูกดึงตัวกลับมายังแนวหลังเพื่อรักษาตัวไว้
มีชาวเผ่าจิตวิญญาณทมิฬอยู่ไม่มากนักในตอนนี้ ซึ่งล้วนเป็นเหตุผลให้พวกเขาต้องถูกปกป้อง
สำหรับเผ่าวิญญาณ เผ่าจิตวิญญาณทมิฬคือทรัพยากรทางกลยุทธ์ชิ้นสำคัญ
สำหรับข้อเสนอแนะของผู้อาวุโสเหล่านั้น ชาวเผ่าวิญญาณส่วนมากจึงไม่มีปัญหาอะไร
การดึงตัวเผ่าจิตวิญญาณทมิฬกลับมายังแนวหลังกลายเป็นฉันทามติระหว่างชาวเผ่าวิญญาณอย่างง่ายดาย
แต่คำถามที่ว่าพวกเขาควรจะตั้งฐานทัพหลักที่ใดได้กลายเป็นจุดขัดแย้งอย่างหนัก
คราวนี้ กระทั่งข้อมูลของอูเอ่อร์หลีก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาตัดสินใจได้อย่างชัดเจน
“พวกเราควรจู่โจมศัตรูที่สวนภูตผี”
“หุบเขาทรุดดูเหมาะสมกว่ามาก”
“ข้าว่าอารามยมทูตดีกว่า นั่นคือตำแหน่งที่ดีที่สุดในการตั้งฐานทัพ”
“งั้นก็ต่อสู้ที่เมืองมืดมนแทนไปเลยสิ”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง
น่าประหลาดใจที่มั่วเนี่ยลาซือผู้มองไกลไม่ได้พูดสิ่งใดเพื่อหยุดการโต้เถียงในคราวนี้
ภายในป่าฝันร้าย
ตามที่ชื่อของมันระบุไว้ ป่าแห่งนี้มีคุณสมบัตินำพาความฝันเข้าหาผู้ใดก็ตามที่ก้าวเท้าเข้ามาข้างใน
ป่าฝันร้ายประกอบด้วยต้นไม้โครงกระดูกเป็นหลัก
ต้นไม้เหล่านี้ดูเก่าแก่และเหี่ยวเฉาตั้งแต่ลำต้นไปจนถึงรากไม้ กิ่งก้านยืดเหยียดออกไปในอากาศราวกับกรงเล็บ ซึ่งนี่คือสภาพปกติของพวกมันจริง ๆ
ต้นไม้โครงกระดูกเรียงรายกันออกไปจนลับสายตา แต่ละต้นยื่น ‘แขน’ อันบิดเบี้ยวของพวกมันขึ้นไปในอากาศขณะที่ข้อกิ่งของมันปริแตกเพื่อส่งยิ้มแสนชั่วร้ายให้แก่ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาใกล้
ลมส่งเสียงร้องหวีดหวิวผ่านกิ่งก้านของต้นไม้
เยี่ยเฟิงหานมองไปยังป่าอันน่าขนลุกและเอ่ยขึ้น “ป่าฝันร้ายอยู่เบื้องหน้าพวกเราแล้ว ทุกคน ระวังตัวเองไว้ ต้นไม้เหล่านี้สามารถปล่อยกลิ่นประหลาดที่จะทำให้ใครก็ตามที่ได้ดมเข้าไปสู่สถานะบ้าคลั่ง หากจิตใจของเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ เจ้าก็จะถูกทรมานจนตายไปอย่างง่ายดาย”
“พวกเรารู้อยู่แล้วน่า” ฉางเหอตอบอย่างเกียจคร้าน “การโจมตีเช่นนี้อยู่ในระดับจนกระทั่งผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตก็สามารถต้านทานมันได้ด้วยซ้ำ”
“ใช่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังตามหาคือภัยคุกคามเช่นนั้นที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารรือผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณก็สามารถรับมือได้” เยี่ยเฟิงหานกล่าว
“…” ฉางเหอรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อตนได้ยินคำพูดของเยี่ยเฟิงหาน แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถตอกกลับไปได้
ในฐานะกลุ่มสอดแนม หน้าที่ของพวกเขาคือการระบุอันตรายระดับสูงสุดที่กำลังรอคอยพวกเขาอยู่ภายในป่า
“ไปกันเถอะ ไม่ว่าอันตรายใดจะแฝงอยู่ข้างใน เราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าไปแล้วเท่านั้น”
ขณะที่เยี่ยเฟิงหานพูด เขาก็ก้าวเข้าไปข้างในป่าทะมึน