กงเจี้ยนฟานรู้อยู่เหมือนกันว่าสิ่งที่เข้าใจมันอาจจะคลาดเคลื่อนกับสิ่งที่อาจารย์ของเขาเคยสอน
แต่พอมาตอนนี้เมื่อหลิงตู้ฉิงเตือนเขา เขาจึงเข้าใจมากขึ้นไปอีกว่าสิ่งที่เขาเข้าใจนั้นมันผิดพลาดมากกว่าที่เขาเคยคิด
แนวทางเดิมที่เขาเคยเข้าใจนั้น หากเขายึดมั่นมันไปเรื่อย ๆ อนาคตตระกูลของเขาก็คงปฏิบัติตัวไม่เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าในท้ายที่สุดคนในตระกูลของเขาคงทนไม่ไหวและมันคงจะกลายเป็นหายนะในที่สุด
แต่โชคของเขายังดีที่ได้มาเจอกับหลิงตู้ฉิง ซึ่งทำให้เขาสามารถกลับตัวมาอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องได้ทัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของหลิงตู้ฉิงเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่าในเวลาเดียวกันมันทำให้เขาได้รู้ว่า หลิงตู้ฉิงนั้นไม่ธรรมดาเหมือนอย่างรูปลักษณ์ภายนอกที่คนอื่น ๆ เห็น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “หากเป็นตามที่เจ้าเล่ามา ถ้างั้นเรื่องนี้ก็คงไม่อาจโทษเจ้าได้! พูดได้ว่าสาเหตุที่เจ้าเข้าใจผิดทั้งหมดมันเป็นเพราะอาจารย์ของเจ้านั้นขาดความรับผิดชอบทิ้งเจ้าไปในขณะที่สอนเจ้าเพียงแค่ครึ่ง ๆ กลาง ๆ เจ้ามีภาพวาดของอาจารย์เจ้ารึเปล่า? หากมีก็เอามาให้ข้าดูเผื่อเอาไว้หากข้าเจอเขา ข้าจะได้บอกเขาให้รู้ถึงความผิดที่ตัวเขาเองก่อไว้!”
ต่อจากนี้หลิงตู้ฉิงต้องไปที่สำนักเที่ยงธรรมอยู่แล้วเพื่อช่วยถังชี่หยุนให้กลายเป็นมหาปราชญ์ ซึ่งเขาจึงแน่ใจว่าเขาน่าจะได้เจอกับปราชญ์ผู้นี้ที่เป็นอาจารย์ของกงเจี้ยนฟานแน่นอน
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่จะเอาไปเอาผิดอาจารย์ของเขา กงเจี้ยนฟานรีบพูดขึ้นอย่างร้อนรนทันที “คุณชายอู๋! มันไม่น่าจะเป็นความผิดของอาจารย์ข้าหรอก มันน่าจะเป็นความของข้ามากกว่…”
“หืม?” หลิงตู้ฉิงขึ้นเสียงสูงขัดกงเจี้ยนฟาน
กงเจี้ยนฟานรู้ตัวทันทีว่าเขาทำผิดพลาดอีกรอบ เขารีบพูดใหม่ทันทีโดยที่เหงื่อเม็ดโต ๆ เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา “อะ…เอ่อ คุณชาย นี่คือรูปภาพของอาจารย์ของข้า…”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่รูปภาพอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะข้าจำเขาได้แล้ว เอาไว้เดี๋ยวข้าจะทวงถามเขาให้”
กงเจี้ยนฟานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า “คุณชาย จะเป็นการล่วงเกินไปไหมหากข้าขอถามสักหน่อยว่าแท้จริงแล้วคุณชายเป็นใครกันแน่?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “หากเจ้าอยากรู้ เมื่อถึงเวลาคัดเลือกมหาปราชญ์เจ้าก็จงไปที่นั่นแล้วเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รับคำตอบเอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กงเจี้ยนฟานก็ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ตอนนี้เขาเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงน่าจะเป็นหนึ่งในปราชญ์อันดับต้น ๆ ของสำนักเที่ยงธรรม ดังนั้นเขาจึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นและถามขึ้นว่า “คุณชาย ถ้าหากข้าขอตามท่านไปที่สำนักเที่ยงธรรมด้วยท่านจะว่าอะไรไหม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “หากเจ้าต้องการไปที่สำนักเที่ยงธรรม เจ้าจะต้องไปด้วยตัวเองคนเดียวเพราะหลังจากเสร็จธุระที่นี่ข้าจะยังไม่ไปสำนักเที่ยงธรรมในทันที ข้าจำเป็นต้องแวะที่อื่นเพื่อทำธุระของข้าต่อ ส่วนพิธีสู่ขอของพวกเจ้าสองตระกูล เจ้าก็จงจัดพิธีตามทำเนียมได้เลยโดยไม่ต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพื่อทำให้ตระกูลหลินสบายใจก็เท่านั้น”
กงเจี้ยนฟานพยักหน้าด้วยอารมณ์ผิดหวัง เพราะเขาไม่อาจติดตามปราชญ์ผู้นี้ไปที่สำนักเที่ยงธรรมได้!
แต่แล้วเมื่อเขานึกถึงเรื่องอะไรบางอย่างออก กงเจี้ยนฟานจึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ว่าแต่คุณชายมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลหลินงั้นเหรอ? ตามข้อมูลที่สายของข้ารายงานมา ตอนนี้ตระกูลหลินกำลังตกเป็นเป้าของคนบางกลุ่มอยู่ ข้าเกรงว่าหากคุณชายยังคงรั้งอยู่ที่ตระกูลหลินต่อไปท่านอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วงข้า เจ้าสนใจธุระของตัวเองก็พอ” หลิงตู้ฉิงโบกมือขัด
“ข้าเข้าใจแล้วคุณชาย” กงเจี้ยนฟานโค้งตัวส่งหลิงตู้ฉิง
หลังจากทั้งคู่คุยกันจบ กงเจี้ยนฟานก็ออกไปทำพิธีส่งเจ้าสาวให้กับตระกูลหลินด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ดีว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงกับตระกูลหลินนั้นมีความเกี่ยวข้องกันยังไง?
จากนั้นเมื่อพิธีส่งตัวเจ้าสาวเสร็จสิ้น กงเจี้ยนฟานก็พาคนของเขาตามขบวนตระกูลหลินกลับไปที่เกาะหนานชานเพื่อร่วมพิธีแต่งงานใหญ่ที่จะจัดขึ้นที่เกาะหนานชาน ซึ่งในระหว่างเดินทางนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะเตือนหลินหงเหวินว่า ในตอนนี้มีคนบางกลุ่มกำลังเพ่งเล็งเกาะหนานชานอยู่
หลินหงเหวินถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…เอาเป็นว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ ข้าก็คงได้แต่ขอร้องให้สหายกงมาช่วยตระกูลของข้าสักหน่อยก็แล้วกัน และแน่นอนว่านับจากนี้หากท่านจะส่งคนของท่านมาที่เกาะหนานชานเพื่อขอยืมใช้อำนาจของหอคอยเสียงสวรรค์ในการทะลวงระดับท่านก็สามารถทำได้เลย ข้ายินดีช่วยเหลือท่านเต็มที่ในเรื่องนี้เช่นกัน”
กงเจี้ยนฟานยิ้มและพูดว่า “นับจากนี้พวกเราสองตระกูลก็ถือว่าเกี่ยวดองกันแล้ว ดังนั้นสหายหลินไม่ต้องเป็นห่วง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นข้าจะรีบมาช่วยท่านทันที”
เมื่อทุกคนกลับไปถึงเกาะหนานชาน พวกเขาก็เตรียมที่จะเริ่มพิธีแต่งงานทันที ซึ่งแขกจำนวนมากมายต่างก็มารอเข้าร่วมแสดงความยินดีเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่หลินหงเหวินไม่รู้ก็คือแขกส่วนใหญ่ที่มาร่วมงานนั้นต่างได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหอคอยเสียงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาต่างก็มีแผนการกันอยู่ในใจ
แต่แล้วก่อนที่พิธีแต่งงานจะเริ่มขึ้น เผิงติงเทียนก็พาคนของเขามาปรากฏกายขึ้น ซึ่งหลินหงเหวินก็ออกไปรับด้วยตัวเอง
“ขอบคุณพี่เผิงที่อุตส่าห์มีน้ำใจมาร่วมงานสมรสของหลานข้า!” หลินหงเหวินกล่าวทักทาย แต่ในใจของเขานั้นระมัดระวังเจ้าเมืองผู้นี้อย่างเต็มที่
เผิงติงเทียนหัวเราะเสียงดัง “ตระกูลหลินจัดงานมงคลทั้งที มีหรือที่ข้าจะพลาด?”
“พี่เผิง เชิญด้านในก่อนเถอะ” หลินหงเหวินหัวเราะพร้อมกับรับของขวัญจากเผิงติงเทียน และจากนั้นเขาจึงพาเผิงติงเทียนเดินเข้าไปที่ลานของคฤหาสน์ เป็นสถานที่ที่เตรียมไว้จัดงานสมรส ซึ่งมันมีขนาดใหญ่พอจะจุคนได้นับพับคน
จากนั้นเมื่อบรรดาแขกระดับสูงทุกคนนั่งลงประจำที่ หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญที่มากับเผิงติงเทียนกลับถามขึ้นว่า “ผู้นำตระกูลหลิน ข้าได้ยินมาว่าหอคอยเสียงสวรรค์ของท่านสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะอย่างเรา ๆ สามารถเข้าใจพลังแห่งกฎได้ง่ายขึ้นงั้นเหรอ?”
แต่ก่อนที่หลินหงเหวินจะได้ทันตอบอะไรกลับไป เผิงติงเทียนกลับพูดแทรกขึ้นว่า “ถูกต้อง! ก่อนหน้านี้ข้าได้มีโอกาสทดสอบอำนาจของมันมาแล้ว ซึ่งมันทำให้ข้าเข้าใจกฎต่าง ๆ ของสวรรค์และโลกได้มากขึ้น แถมยังทำให้ข้าเข้าใกล้กับการทะลวงระดับต่อไปมากขึ้นอีกต่างหาก!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้นำของสำนักอื่น ๆ ที่มาร่วมงานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร้องขอให้หลินหงเหวินเปิดใช้งานหอคอยเสียงสวรรค์เพื่อที่พวกเขาจะได้สัมผัสความมหัศจรรย์ของมันบ้าง แถมบางคนยังอ้างใช้เหตุผลที่หลินหงเหวินเป็นคนใจกว้างสรุปกันไปว่า หลินหงเหวินจะต้องให้พวกเขาได้สัมผัสกับอำนาจของหอคอยเสียงสวรรค์แน่นอน
หลินหงเหวิน เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของเขาก็กลายเป็นมืดหม่นทันที
“วันนี้คือวันมงคลของหลานชายข้า ดังนั้นเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ค่อยพูดกันวันหลัง!” หลินหงเหวินพูดขึ้น “ตอนนี้หอคอยเสียงสวรรค์นั้นยังไม่พร้อมที่จะให้พวกท่านเข้าไปเยือน เอาเป็นว่าเมื่อไหร่ที่หอคอยเสียงสวรรค์พร้อม ข้าจะแจ้งพวกท่านทุกคนที่ยินดีจะเป็นสหายของข้าอีกทีเพื่อที่พวกเราจะได้มาสัมผัสอำนาจของมันพร้อม ๆ กัน แต่ตอนนี้พวกท่านทุกคนต้องสงบใจเอาไว้ก่อน!”
เหล่าผู้นำสำนักอื่น ๆ ต่างกลอกตาเมื่อได้ยินเช่นนี้
จะเชิญแต่สหายให้มาสัมผัสอำนาจ? ถ้างั้นหากใครไม่ใช่สหายก็จะไม่มีโอกาสงั้นเหรอ?
ในเมื่อวันนี้พวกเขามากับเผิงติงเทียนแล้ว พวกเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนหลินหงเหวินได้ยังไงกัน?
หรือต่อให้พวกเขาอยากจะย้ายฝั่ง พวกเขาเองก็ไม่กล้าเช่นกันเพราะไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถต่อกรกับเผิงติงเทียนได้เลย!
ในระหว่างที่คนอื่น ๆ กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อดี เผิงติงเทียนกลับหัวเราะเสียงดังและพูดขึ้นว่า “วันนี้เป็นวันมงคลของตระกูลหลิน ดังนั้นข้าคิดว่าทุกคนควรจะพักเรื่องหอคอยเสียงสวรรค์เอาไว้ก่อน แต่ว่าข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอร้องน้องหลินเช่นกัน ไม่รู้ว่าน้องหลินจะยอมตกลงหรือไม่?”
“เรื่องอะไรงั้นเหรอพี่เผิง?” หลินหงเหวินรู้ได้ทันทีว่าต่อจากนี้ความวุ่นวายกำลังจะบังเกิดขึ้นแล้วแน่นอน
“บังเอิญว่าข้าเองก็มีหลานชายอยู่คนหนึ่งเช่นกัน ซึ่งเขานิยมชมชอบหลานสาวของท่านมานานแล้ว และก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ เขาก็ตื้อข้าอยู่นานสองนานขอให้ข้าช่วยสู่ขอหลานสาวของท่านให้เขาสักหน่อย ไม่ทราบว่าน้องหลินจะยินดีตอบรับคำขอนี้รึเปล่า เพื่อที่ในอนาคตพวกเราสองตระกูลจะได้เกี่ยวดองกันเช่นกัน” เผิงติงเทียนพูดขึ้น
หลินหงเหวินก่นด่าอยู่ในใจ เนื่องจากเขารู้แล้วว่าตอนนี้เผิงติงเทียนกำลังจะทำอะไร แต่เขายังแกล้งตีหน้าซื่อถามกลับไปว่า “สู่ขอหลานสาวของข้างั้นเหรอ? พี่เผิง ข้าสงสัยว่าหลานสาวคนไหนของข้างั้นเหรอที่หลานชายของท่านหมายตาไว้?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นหลินหรูซวน หลานสาวคนโตของท่านอยู่แล้วที่หลานชายของข้าหมายปองอยู่!” เผิงติงเทียนหัวเราะ