หลินหงเหวินมาแจ้งกับหลิงตู้ฉิงอย่างรวดเร็วว่าเขาต้องการให้หลิงตู้ฉิงร่วมขบวนสู่ขอไปกับพวกเขาด้วย ซึ่งหลังจากที่แจ้งเสร็จเขาก็จากไปในทันทีเพราะเขาทนความกระอักกระอ่วนไม่ไหว
เนื่องจากเรือนรับรองเหลือแต่ซากไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้หลิงตู้ฉิงจึงย้ายมาอยู่ที่เรือนของหลินหรูซวนแทน ซึ่งถ้ามองด้วยเหตุผลแล้วการกระทำเช่นนี้มันดูไม่งามสักเท่าไหร่ แต่หลินหงเหวินก็ไม่สามารถท้วงอะไรได้เพราะเขาได้อนุญาตไปแล้ว
ในทางกลับกัน เมื่อหลินหงเหวินจากไป หลินหรูซวนก็ไม่ได้คิดอะไรมากเลยกับเรื่องที่ปู่ของนางมาชวนหลิงตู้ฉิงให้ไปที่ตระกูลกงกับพวกเขา “บรรพบุรุษ ท่านจะไปตระกูลกงกับปู่ของข้ารึเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยหน้าเหนื่อยใจ “ปู่ของเจ้านี่ก็วิตกกังวลไปได้ซะทุกเรื่องจริง ๆ เฮ้อ…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็คงต้องไปด้วยสักหน่อยนั่นล่ะ ส่วนเจ้าเองก็ตามข้าไปด้วย ตอนนี้ตัวของเจ้าเองก็มีความเสี่ยงไม่น้อย ดังนั้นอยู่ใกล้ ๆ ข้าเอาไว้จะดีที่สุด”
ต่อให้หลินหงเหวินจะยอมมอบหลินหรูซวนให้กับเขา แต่สถานะของเขาตอนนี้มันก็ยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี ซึ่งการที่หลินหงเหวินชวนเขาไปแบบนี้มันก็เห็นได้ชัด ๆ ว่าหลินหงเหวินอยากให้เขาไปช่วยคุ้มกัน
ส่วนเหตุผลที่เขาพาหลินหรูซวนไปด้วยนั้นก็เพราะตอนนี้ทุกคนต่างรู้กันหมดแล้วว่านางครอบครองวิธีการทำให้หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจ ดังนั้นการปล่อยให้นางอยู่คนเดียวมันจึงเหมือนเป็นการล่อให้เหล่าศัตรูมาโจมตี ซึ่งนางอาจจะมีอันตรายได้ เขาจึงจำเป็นต้องพานางไปด้วย
ในระหว่างที่ตระกูหลินกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมขบวนสู่ขอ ทางด้านของถังเหวินหลี่จึงใช้โอกาสนี้ที่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่ ส่งพ่อบ้านของเขาซึ่งปกปิดระดับการบ่มเพาะมานานแล้วว่าอยู่ในระดับสวรรค์สามัญแต่อันที่จริงแล้วอยู่ในระดับเหนือล้ำให้ออกไปส่งข่าวให้กับเจ้านายของพวกเขา
ในเวลาเดียวกัน เผิงติงเทียนก็แอบส่งข่าวให้กับหลินซือหยวนเพื่อเตรียมที่จะลงมือเช่นกัน
แต่ว่าหลินซือหยวน ซึ่งโดนหลิงตู้ฉิงล้างความทรงจำไปเรียบร้อย เมื่อเขาได้รับคำสั่งจากเผิงติงเทียนมา เขาจึงรีบรุดหน้ามาแจ้งกับหลิงตู้ฉิงในทันที
“ให้มันเข้ามาได้เลย!” หลิงตู้ฉิงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่แน่ใจว่าเขาจะเปลี่ยนชะตากรรมของคนที่มีสายเลือดเดียวกับกับเขาเหล่านี้ให้เป็นแบบไหนในอนาคต แต่สิ่งที่เขารู้ในตอนนี้ก็คือหากมีใครบังอาจมาปองร้ายคนของเขา มันก็เท่ากับว่าคนผู้นั้นมันรนหาที่ตาย!
การเดินทางไปตระกูลกงครั้งนี้แน่นอนว่าหลินหงเหวินเป็นผู้นำขบวนเพื่อเป็นการให้เกียรติตระกูลกง
ระหว่างทาง หลิงตู้ฉิงถามหลินเหรินเจี๋ยว่า “เหรินเจี๋ย ข้ามีคำถามจะถามเจ้า หากเจ้าสามารถเลือกชีวิตได้สองแบบระหว่างอยู่แบบคนธรรมดาแต่สงบสุขกับอยู่อย่างราชาแต่ชีวิตกลับมีแต่อันตรายรอบด้าน เจ้าจะเลือกแบบไหน?”
หลินเหรินเจี๋ยยิ้มและตอบกลับทันที “ข้าคิดว่าชีวิตของข้าในตอนนี้สมบูรณ์แบบแล้ว!”
“เจ้าคิดว่าตอนนี้ชีวิตของเจ้าตอนนี้สมบูรณ์แบบงั้นเหรอ? เจ้ารู้รึเปล่าว่าตอนนี้หอคอยเสียงสวรรค์ที่ตั้งอยู่บนเกาะของตระกูลเจ้ากำลังตกเป็นเป้าจากผู้คนมากมาย หากตระกูลของเจ้าไม่รับมือกับสถานการณ์นี้ให้ดี อย่างน้อย ๆ สิ่งที่เจ้าจะต้องเผชิญก็คือตระกูลของเจ้าจะต้องถูกขับไล่ออกจากเกาะหนานชานไป หรือถ้าแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือพวกเจ้าทั้งหมดจะกลายเป็นศพ!” หลิงตู้ฉิงถามกลับ
หลินเหรินเจี๋ยถอนหายใจ “ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของข้าอยู่แค่ขอบเขตนภาเท่านั้น ข้าจะไปมีปัญญาทำอะไรกับเรื่องใหญ่แบบนั้นได้ แถมตอนนี้ทั้งปู่และพ่อของข้าก็ยังอยู่ ดังนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาในการตัดสินใจทุกอย่างก็แล้วกัน”
“ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นผู้นำตระกูล ข้าขอถามเจ้าอีกครั้งว่าถ้าเจ้าเลือกได้เจ้าจะเลือกชีวิตแบบไหน?” หลิงตู้ฉิงถามอีกรอบด้วยสีหน้าที่จริงจังกว่าเดิม
หลินเหรินเจี๋ยมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความสับสน ว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงต้องจริงจังขนาดนี้ จากนั้นเขาตอบกลับว่า “ข้าสามารถเลือกชีวิตได้อย่างอิสระงั้นเหรอ? เจ้าเองก็น่าจะอยู่มานานแล้ว ดังนั้นเจ้าควรจะรู้ดีว่าชีวิตไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถเลือกได้ เพราะงั้นไม่ว่าชีวิตในอนาคตต่อไปของข้าจะเป็นแบบไหน ข้าจะก็ไม่หันหลังให้มันและจะอยู่ร่วมกับมันให้ได้ ส่วนเจ้าเองก็เช่นกันถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นจิตรกรที่สุดแสนจะแข็งแกร่งแต่เดี๋ยวในอนาคตเมื่อเจ้าเป็นสามีน้องของข้า เจ้าเองก็เลือกชีวิตของเจ้าไม่ได้เหมือนกันที่เจ้าจำเป็นต้องให้ความเคารพข้าจริงไหม?”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่จากนั้นเขาก็ไม่ถามอะไรต่อ
ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าหลินเหรินเจี๋ยนั้นเป็นผู้ที่ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้นำตระกูลเป็นอย่างมาก เพราะเขามีแนวความคิดแค่อยากใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสงบเท่านั้น เขาไม่มีความคิดที่จะรับผิดชอบต่อตระกูลสักเท่าไหร่
ต่อให้ตระกูลจะล่มสลาย คนประเภทนี้ก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปหรือต่อให้ตระกูลรุ่งโรจน์ขึ้นเขาก็จะไม่พัฒนาไปไหนเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาถามอะไรกับคนประเภทนี้ต่อ
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและเดินจากไปถามสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินคนอื่น ๆ ต่อในคำถามเดียวกันนี้
แน่นอนว่าเมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินคำถามนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็ตอบกันแบบไม่คิดอะไรมาก ซึ่งมันทำให้กลายเป็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ฟังคำตอบที่พวกเขาพูดออกมา แต่หลิงตู้ฉิงกลับลอบสังเกตจากอารมณ์ของพวกเขาที่เผยออกมาให้เห็นว่ามีความรู้สึกยังไง
หลังจากที่ถามคนไปทั่วอยู่สักพัก หลิงตู้ฉิงก็เดินกลับมาหาหลินหรูซวนและถามว่า “นังหนู เจ้าคิดคำตอบที่ข้าถามออกรึยัง?”
หลินหรูซวนครุ่นคิดอยุ่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามกลับว่า “บรรพบุรุษ ที่ท่านเคยพูดว่าข้าจะมีชีวิตที่มีแต่คนต้องแหงนมองท่านหมายความว่ายังไง? แล้วอันตรายที่ท่านพูดถึงมันเป็นแบบไหน?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเคยได้ยินระดับการบ่มเพาะของเขตราชันไหม? ชีวิตที่มีแต่คนต้องแหงนมองที่ข้าพูดถึงมันหมายถึงว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะมีบริวารเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนับไม่ถ้วน และแค่เพียงการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวเจ้าก็สามารถทำให้พวกเขาหายไปจากโลกได้ นั่นคือชีวิตที่ข้าพูดถึง! ส่วนสมบัติระดับสวรรค์ที่เจ้าคิดว่ามันล้ำค่านักหนาเมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะเห็นว่าพวกมันมีค่าต่างอะไรกับของใช้บ้านๆ ซึ่งจนท้ายที่สุดหากไม่ใช่สมบัติระดับจักรพรรดิ เจ้าจะไม่แลตามองพวกสมบัติระดับต่ำกว่านั้นอีกเลย”
“ส่วนเรื่องอันตราย ถึงแม้ว่าเจ้าจะคิดว่าเจ้าไม่เคยไปยั่วยุใครมาก่อน แต่คืนหนึ่งเจ้าอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่จู่ ๆ ก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนับร้อยมารุมสังหารเจ้ารวมไปถึงบริวารหรือผู้ติดตามของเจ้าแท้จริงแล้วคนเหล่านั้นอาจจะเป็นสายสืบหรือไม่ก็มือสังหารที่ถูกส่งมาให้ล้วงลับความลับหรือสังหารเจ้า ซึ่งชีวิตแบบนี้มันจะไม่มีสักคืนที่เจ้าจะได้นอนหลับอย่างเต็มตา!”
ในตอนที่หลิงตู้ฉิงอธิบายว่าชีวิตมันดีอย่างไร หลินหรูซวนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะนางเคยได้ยินเรื่องเล่าของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันจากในตำนานที่ถูกเล่าขานมาเหมือนกัน แถมยังมีสมบัติระดับจักรพรรดิที่นางจะได้ครอบครองมากมายอีก! แบบนี้นางจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง?
แต่พอนางฟังจนถึงท่อนที่หลิงตู้ฉิงอธิบายถึงอันตรายที่นางต้องเผชิญ ความรู้สึกตื่นเต้นก่อนหน้านี้ก็ถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้นเหลือไว้เพียงแต่ความกลัว
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หลินหรูซวนจึงตัดสินใจถามขึ้นอีกว่า “ท่านบรรพบุรุษ ข้าอยากรู้ว่าชีวิตคนเราเกิดมาเพื่ออะไร?”
“คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตยังไงล่ะ!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม
“ถ้างั้นการที่ข้าสามารถได้ขึ้นไปอยู่ถึงจุดที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถไปถึงได้และได้มีประสบการณ์นั้นมันก็นับได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตที่ถูกต้องสินะ?” หลินหรูซวนพึมพำกับตัวเอง “ส่วนเรื่องอันตราย หากข้าไม่บ่มเพาะให้ไกลกว่านี้ไม่ว่าช้าหรือเร็วข้าก็ต้องตายอยู่ดีเหมือนกัน!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “ดีมาก ตอนนี้ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าต้องการแล้ว!”
ในเวลาเดียวกับที่พวกเขาคุยกันเสร็จ พวกเขาก็เดินทางถึงตระกูลกงพอดี
ทางด้านของตระกูลกงเองก็ให้ความสำคัญกับงานนี้มากเช่นกันเพราะตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า หอคอยเสียงสวรรค์นั้นมีอำนาจเหมือนที่ในตำนานว่าเอาไว้จริง ๆ ถ้าหากการแต่งงานนี้ผ่านไปได้อย่างราบลื่น มันจะส่งผลให้ตระกูลกงได้รับประโยชน์ของหอคอยเสียงสวรรค์ไปด้วย และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อกงเจี้ยนฟานเห็นว่าหลิงตู้ฉิงร่วมขบวนมาด้วยเช่นกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกดีใจมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
หลังจากทักทายกันเสร็จ กงเจี้ยนฟานก็หาโอกาสคุยกับหลิงตู้ฉิงตามลำพัง เขาถามขึ้นด้วยท่าทีเคารพว่า “คุณชาย ท่านมาที่นี่ทำไมงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงไม่ตอบคำถาม แต่เขากลับเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “เจ้าน่าจะไม่เคยไปที่สำนักเที่ยงธรรมเลยใช่ไหม?”
กงเจี้ยนฟานตอบกลับด้วยสีหน้าอับอายว่า “ข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์ในนามของปราชญ์ผู้หนึ่งของสำนักเที่ยงธรรมที่บังเอิญมาแวะที่ตระกูลของข้าเมื่อ 600 ปีก่อนเท่านั้น และข้าได้ฟังหลักการของเขาแค่เพียงรอบเดียว ซึ่งหลังจากที่เขาจากไปแล้ว ข้าก็เอาหลักการที่ข้าจำได้มาวิเคราะห์ด้วยตนเองจนกลายเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดและส่งผลให้ตระกูลกงของข้ากลายสภาพมาเป็นแบบนี้ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะคุณชายช่วยดึงข้าเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ข้าเกรงว่าตระกูลของข้าคงยิ่งถลำลึกไปยังเส้นทางที่ผิดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมเรื่อย ๆ”