ส่วนที่ 5 สมรภูมิดอกไม้เหลือง ตอนที่ 120 สหายเก่ามากลางหิมะ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เปี๋ยยั่งหงไม่เคยพบกับหวังจือเช่อ อย่างไรก็ตาม หลายปีก่อนเขาได้ใช้เวลาคืนหนึ่งในหอหลิงเยียน พิจารณารูปภาพใต้แสงบุปผาเพลิงพิสุทธิ์เป็นเวลานาน บางทีอาจเป็นเพราะหวังจือเซ่อก็เป็นได้เพียงหวังจือเช่อ ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม เมื่อเขาเห็นบัณฑิตผู้นี้ เขาก็จำได้

สามปีก่อนเฉินฉางเซิงได้พบกับหวังจือเช่อที่หานซาน แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เขาไม่ได้บอกคนมากนัก อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง มีคนมากมายรู้ว่าหวังจือเช่อยังมีชีวิตอยู่ ทว่าเขาเดินทางท่องโลก ยากที่จะตามรอยได้ แน่นอนว่าคนพวกนั้นล้วนเป็นคนสำคัญเฉกเช่นเปี๋ยยั่งหงทั้งสิ้น

แม้ว่าพวกเขาล้วนเป็นคนสำคัญในโลกปัจจุบัน แต่ก็ยังรู้สึกตกใจและเป็นเกียรติที่ได้พบกับหวังจือเช่อ เปี๋ยยั่งหงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

เสียงเขาสั่นในยามที่ถาม “ใต้เท้าหวัง?”

หวังจือเซ่อไม่ตอบ

เปี๋ยยั่งหงสงบใจและเดินไปยังริมทะเลสาบใกล้ๆ ชี้ไปที่ร่องรอยการต่อสู้ เขาเอ่ยปากวิเคราะห์การต่อสู้ที่เกิดขึ้น

หวังจือเช่อยังคงไม่พูดอะไร เพียงแค่มองไปยังที่แห่งหนึ่งท่ามกลางต้นสนที่ปกคลุมด้วยหิมะ ดูเหมือนจะจมอยู่ในความคิด

เปี๋ยยั่งหงนึกถึงข่าวลือแล้วก็อดถามไม่ได้ “ใต้เท้า เผ่ามารเดินทัพลงใต้อย่างฮึกเหิม ใต้เท้าจะไม่ทำอะไรเลยหรือ”

มีเนินดินเล็กๆ อยู่ในป่า มีหิมะอยู่ด้านบนเล็กน้อย ดูอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างมาก

ราชามารตายที่นี่และก็ยังอยู่ที่นี่

หวังจือเช่อทราบ ทว่าเขาก็ไม่คิดจะบอกกับใคร ไม่คิดที่จะทำอะไรกับเพื่อนเก่าที่เหลืออยู่

เหมือนกับคนที่ถูกฝังใต้สำนักฝึกหลวง

ทิ้งร่างให้เป็นหนึ่งเดียวกับภูเขา

คนที่ควรจากไปก็ล้วนจากไป

ต่อให้ดิ้นรนมากเพียงใด ต่อให้สร้างสุสานให้ตัวเองที่ทอดยาวถึงท้องฟ้า คนก็ยังกลายเป็นเนินดินที่ไร้ความโดดเด่นอันใดในโลก

ราชามารตายลงในที่สุด

ฝ่าบาทกับพี่ใหญ่ก็ได้ตายไปหลายปีก่อนแล้ว

หวังจือเช่อคิดเรื่องมากมายในอดีต เพื่อนเก่าหลายคน และเขาก็เปี่ยมไปด้วยความเศร้าอย่างมาก

เขาส่ายหน้า เตรียมที่จะจากไป

เปี๋ยยั่งหงมองไปที่ร่างหดหู่และเอ่ย “ฝ่าบาทไท่จงปฏิบัติต่อท่านไม่ดี แต่ประชาชนรักท่านเคารพท่าน ใต้เท้าจะทิ้งพวกเขาได้ลงหรือ”

ในหมู่แปดมรสุม หวังจือเช่อชอบเปี๋ยยั่งหงที่สุด แค่รู้สึกว่าการเลือกคู่ครองของเขานั้นเลวร้ายอย่างแท้จริง เมื่อได้ยินคำโน้มน้าว เขาก็เพียงแต่ยิ้ม คิดกับตัวเองว่าเขาควรแนะนำให้เปี๋ยยั่งหงหย่าภรรยาดีไหม ทว่าเมื่อคำพูดออกจากปาก ก็กลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจแทน

เขามีสิทธิ์อะไรมาแนะนำคนอื่นในเรื่องนี้

……

……

ในทุ่งหิมะห่างไปพันลี้ แม่น้ำดวงดาวกลางราตรีค่อยๆ เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริง

ชุดดำมองไปที่เทือกเขาหิมะราวกับได้เห็นเพื่อนเก่า

สายลมปั่นป่วน เย็นเยียบและอ้างว้าง พัดผ้าคลุมหัวเปิดออก เผยให้เห็นมุมหนึ่งของใบหน้า

ผิวหนังมีสีเขียวแห่งความตาย แต่ก็ไม่อาจซ่อนความงดงามเอาไว้ได้ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันจะงดงามไร้ที่ติเพียงใดในอดีต

ราชามารก็มองไปทางเทือกเขาเช่นกัน ไฟลุกไหม้อยู่ในดวงตาสงบนิ่งของเขา เขาดูสนใจจนถึงกับตื่นเต้น

“คนที่มาเป็นหวังจือเช่อจริงหรือ น่าเสียดายจริงๆ ที่เราไม่อาจเห็นคนในตำนานเช่นนี้”

เสียงราชามารค่อนข้างแหบแห้งตอนที่กล่าว “หากเขาไล่ตามก็คงดี เราจะได้ดูได้เต็มตาก่อนจะหั่นเขาเป็นชิ้นๆ”

เรียกได้ว่าหวังจือเช่อเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเผ่ามารในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ตำราประวัติศาสตร์ของเมืองเสวี่ยเหล่าเต็มไปด้วยบันทึกที่ทำให้เขาเป็นกังวล

ในอันดับศัตรูที่เผ่ามารเกลียดที่สุด เขาจัดอยู่ในอันดับสูงกว่าจักรพรรดิไท่จง

นับจากพันปีก่อนและสืบเนื่องมาจนถึงตอนนี้ ผ่านมาหลายร้อยปีแล้วที่ได้ข่าวล่าสุดของหวังจือเช่อ เผ่ามารก็ยังหวังว่าหวังจือเช่อจะยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่ต้องการให้คนผู้นี้ตายเพราะความชรา ต้องการให้เขามีชีวิตอยู่เห็นมนุษยชาติพ่ายแพ้ ให้พวกเขาได้สับร่างเขาเป็นชิ้นๆ

ในบางแง่มุมคำพูดราชามารเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ ปัญหาก็คือหากหวังจือเช่อไล่ตามมาจริง เขากับชุดดำเอาความมั่นใจมาจากไหนที่จะเอาชนะหวังจือเช่อได้ตามลำพัง ป้องกันไม่ให้เขาหนีไปแล้วก็สับเขาเป็นชิ้นๆ ได้

เสียงตูมดังขึ้นบนทุ่งหิมะที่สั่นสะเทือน

ยักษ์ล้มภูเขาสูงหลายสิบจั้งเดินช้าๆ ออกมาราวกับว่ามันอาศัยอยู่ในความว่างเปล่าตลอดเวลา

บนเขาโค้งของยักษ์ล้มภูเขามีคนร่างผอมนั่งอยู่ ร่างนี้สวมชุดเกราะเต็มตัวมีลวดลายดอกทานตะวันที่ปักด้วยด้ายทองคำ ฝังไว้ด้วยอัญมณีสีเขียวที่แผ่ความรู้สึกงดงามและเน่าเปื่อยในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ไม่มีสิ่งใดที่เทียบกับแสงเย็นเยียบในดวงตาของเขาได้

นางคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพมาร ผู้บัญชาการมาร

นางซ่อนตัวอยู่ในทุ่งหิมะตลอดเวลา

ร่างใหญ่ยักษ์สิบกว่าร่างติดตามนางมาด้านหลัง ล้วนแต่เป็นขุนพลมาร

ขุมกำลังที่เผ่ามารจัดเตรียมมาคืนนี้เพียงพอที่จะฆ่ายอดฝีมือคนใดก็ได้ในโลกอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นคนในตำนานก็ตาม หลายปีก่อนนอกเมืองเสวี่ยเหล่า ซูหลีก็แทบล้มตายตอนที่พบกับขุมกำลังเช่นนี้ โชคยังดีเฉินฉางเซิงได้ส่งกระบี่ข้ามระยะทางหมื่นลี้ทำให้เขาสามารถหนีรอดไปได้ในที่สุด แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เสียงถอนหายใจที่เปี่ยมไปด้วยความเสียดายดังออกมาจากชุดเกราะของผู้บัญชาการมาร

ขุนพลมารด้านหลังนางก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

แสงดาวส่องต้องใบหน้าช่วงล่างของชุดดำ จนสีเขียวเจือจางไปบ้าง ทิ้งไว้แต่สีขาวซีดงดงามเท่านั้น

“แม้ว่าคนผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ตายไปแล้ว” ชุดดำกล่าว ดวงตายังมองไปที่เทือกเขา

น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แต่เผ่ามารทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้สามารถได้ยินความเย้ยหยันในน้ำเสียง ถึงกับมีความเกลียดชังอย่างล้ำลึกอยู่จางๆ

ตรงกลางของชุดเกราะที่เต็มไปด้วยสนิมของผู้บัญชาการมารเป็นแผ่นเกราะอกรูปวงกลมฝังเอาไว้ด้วยผลึกแก้วที่บริสุทธิ์ที่สุด

นางยื่นมือที่มีขนยาวและนำวัตถุในห่อผ้าออกมาจากเกราะอก

เห็นได้ชัดว่านางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นกับสิ่งที่อยู่ในห่อผ้า นางไม่ต้องการจะเก็บวัตถุนี้ไว้กับตัวนานนักและโยนมันลงกับพื้น

ห่อผ้าตกลงบนหิมะ ส่งเสียงทึบดังก้องที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับเสียงคนกัดฟันด้วยความเกลียดแค้น

“สมแล้วที่เรียกว่าหอบรรพบุรุษแห่งแดนใต้ที่มีทรัพยากรล้ำลึก ถึงแม้จะถูกซูหลีเข่นฆ่าถึงสองรอบ พรรคฉางเซิงก็ยังซ่อนลูกไม้ที่แข็งแกร่งและร้ายกาจเอาไว้ได้”

เสียงของผู้บัญชาการมารแหลมคมและไม่สบายหู “แต่เต๋าของมันก็มีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ข้าได้เชิญนักยันต์มืดจากสภาผู้อาวุโสมาดัดแปลงแก้ไข ตอนนี้มันจึงใช้งานง่ายขึ้นแล้ว”

ต่อให้หลังจากถูกโยนไปหลายสิบจั้งลงสู่หิมะเย็น วัตถุภายในก็ไม่มีทีท่าว่าจะเสียหาย ยังคงดิ้นไปมาดูเหมือนกับสัตว์อสูรตัวน้อย

ราชามารมองไปที่วัตถุนั้น สีหน้าขยะแขยงปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อได้ยินถึงนักยันต์มืดจากสภาผู้อาวุโส เขาก็ดูเหมือนหวาดกลัวเล็กน้อย ในสายตาเขา วัตถุนี้เกิดมาเป็นสัตว์ประหลาด แล้วตอนนี้ก็ยังถูกดัดแปลง แผ่กลิ่นอายประหลาดอาบเลือดไปทั่ว

“กลับสู่แดนใต้แล้วทำภารกิจของเจ้าให้สำเร็จ หากเฉินฉางเซิงยังมีชีวิตอยู่ จำไว้ว่าต้องฆ่าเขาหลายรอบหน่อย”

เชือกป่านส่องแสงสีทองตกลงบนมือราชามารแล้วห่อผ้าบนพื้นหิมะก็คลายออก

เงาดำกระโดดออกมา พุ่งห่างไปหลายจั้งในทันที

ใต้แสงดาวจะเห็นได้ว่ามันคือมนุษย์ตัวน้อย แต่ร่างของมันเต็มไปด้วยขนสีดำ ดูคล้ายกับรูปลักษณ์ของเผ่าปีศาจตอนที่ยังไม่ได้แปลงสภาพเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันจ้องมองบางสิ่ง ประกายความบ้าคลั่งก็ฉายขึ้นในดวงตาเอื่อยเฉื่อยราวกับสัตว์อสูรพบเจอกับการทรมานมาอย่างไร้สิ้นสุด