ภาคที่ 6 บทที่ 94 ป่าฝันร้าย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 94 ป่าฝันร้าย

หลังจากที่ซูเฉินได้รับความเข้าใจพื้นฐานในหลักการเมล็ดจิตมากขึ้น ชายหนุ่มก็สามารถค้นพบวิธีการลบล้างมันได้ง่ายยิ่งขึ้น

ด้วยพลังของผลึกจิตวิญญาณ ซูเฉินก็สามารถพัฒนาวิธีการตอบโต้อำนาจชั่วร้ายของเมล็ดจิตได้อย่างรวดเร็ว

ที่จริงแล้ว วิธีการของเขาใช้ทฤษฎีที่คล้ายคลึงกันคือการสร้างเมล็ดจิตอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา แต่เมล็ดจิตนี้จะคอยปกป้องผู้ใช้มันแทน จิตวิญญาณของเด็กน้อยที่กำเนิดออกมาจากจิตวิญญาณของผู้ใช้นั่นเอง

ทันทีที่สิ่งแปลกหน้าพยายามบุกรุกเข้ามาในทะเลความรู้ของผู้ใช้ จิตวิญญาณแห่งเด็กนี้จะโต้กลับไปอย่างเต็มกำลังโดยธรรมชาติ

เพราะจิตวิญญาณเด็กนี้คือชิ้นส่วนจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ใช้ การอาศัยอยู่ในทะเลความรู้ของผู้ใช้จึงจะช่วยบำรุงรักษามัน และด้วยข้อได้เปรียบทางการป้องกัน ก็จะเป็นเรื่องยากทีเดียวในการล้มจิตวิญญาณเด็กนั่น ตราบใดที่ผู้บุกรุกไม่ได้ทรงพลังกว่าผู้ใช้อย่างมหาศาล

ซูเฉินตัดสินใจที่จะเรียกวิชานี้ว่าวิชากลั่นจิต

ในตอนนี้ เป้าหมายเดียวของซูเฉินเกี่ยวกับวิชากลั่นจิตคือการใช้มันเพื่อป้องกันเผ่าวิญญาณ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าทั้งมันและวิชาการฝึกสู่อมตะจะกลายเป็นสองเสาหลักอันยิ่งใหญ่ของการฝึกตนสำหรับเผ่ามนุษย์ในอนาคต

สองวันหลังจากที่ซูเฉินเก็บรายละเอียดของวิชาใหม่นี้จนเสร็จสิ้น นิกายไร้ขอบเขตก็สามารถควบคุมแทบจะทั่วทั้งที่ราบเส้นทางวงแหวนได้อย่างมั่นคง

และสองวันหลังจากนั้น เยี่ยเฟิงหานก็กลับมาจากป่าฝันร้าย

เขานำผลไม้ที่ได้จากการสำรวจกลับมาด้วย มันไม่มีค่ายกลแสนทรงพลังจนน่าประหลาดใจอย่างในที่ราบเส้นทางวงแหวน มีก็แต่ค่ายกลต้นกำเนิดเบญจธาตุปรากฏอยู่ และพื้นที่นั้นก็เป็นของเผ่าสามเพศเป็นหลัก

เผ่าสามเพศนั้นบ้ากามโดยกำเนิด แต่พวกมันก็มีลูกไม้พิเศษแอบซ่อนไว้ ยกตัวอย่างเช่น วิชาภาพลวงตาของพวกนั้นทรงพลังไม่น้อย ฉะนั้นแล้ว ซูเฉินจึงนึกขึ้นได้ทันทีว่าการป้องกันของป่าฝันร้ายจะต้องเป็นภาพลวงในธรรมชาติเป็นหลักไม่ผิดแน่

เนื่องจากซูเฉินพึ่งจะสร้างวิชากลั่นจิตขึ้นมาได้สำเร็จ ชายหนุ่มจึงกระตือรือร้นจะทดลองมันสักหน่อย เขาเลยออกคำสั่งให้นิกายไร้ขอบเขตออกเดินทางทันที

ในวันนั้น ทั้งกองทัพได้มาถึงยังป่าฝันร้าย… ณ จุดนี้ เผ่าวิญญาณก็ได้เตรียมพร้อมรับการมาถึงของพวกเขาไว้เป็นอย่างดี แม้ว่าป่าฝันร้ายจะดูเงียบเชียบอย่างที่เคย ซูเฉินก็สามารถสัมผัสได้ว่ามีพลังบางอย่างแฝงตัวอยู่ในความมืด

ฟุ่บ !

เสียงโอดครวญเบา ๆ ทำลายความเงียบสงัดอันหมองหม่นลง

ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตนับพันคนเข้าไปในป่าฝันร้ายเป็นสิ่งแรก

ศิษย์เหล่านี้ล้วนอยู่ในด่านสู่พิสดาร ในกองทัพอื่นใด พวกเขาคงจะถูกมองเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแสนทรงพลัง แต่ที่นี่ พวกเขาเป็นได้เพียงแค่กองทหารทั่วไปเท่านั้น

ถึงอย่างนั้น หากเหล่าศิษย์โจมตีออกไปพร้อมกันในคราวเดียว สถานะต่ำเตี้ยของพวกเขาก็ไม่ได้ลดทอนพลังของการโจมตีเหล่านั้นแม้แต่น้อย

ท้องนภาเต็มไปด้วยดาบแสงขนาดมโหฬาร ซึ่งลอยต่ำลงมาจากเบื้องบนในไม่ช้า

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กิ่งไม้เหี่ยวเฉาที่แผ่ซ่านไปในป่าฝันร้ายกลับบานสะพรั่งออกมาในทันใด มันงอกใบออกมาเป็นลวดลายกากบาทขนาดไม่เท่ากันมากมาย ใบไม้เหล่านั้นประกอบกันขึ้นเป็นตาข่ายที่ปกปิดพื้นดินไว้จากท้องฟ้าโดยสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว

เมื่อลำแสงดาบพลังปราณลอยต่ำลงมาในป่า ลำแสงสีเขียวดูชั่วร้ายก็พลันพุ่งออกมาจากด้านในป่าเพื่อตอบโต้

ในขณะเดียวกัน ก้อนเปลวเพลิงมากมายก็เดือดพล่านขึ้นมาจากพื้นดินและพุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า

เช่นเดียวกันเผ่าปักษา เผ่าวิญาณนั้นเชี่ยวชาญในวิชาอาร์คาน่าทีเดียว ดังนั้น พวกมันจึงใช้วิชาอาร์คาน่าเก่งแทบจะมากพอ ๆ กับที่ใช้วิชาจิตเลยทีเดียว

ส่วนเผ่ามนุษย์ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พวกเขาได้พัฒนาระบบการฝึกฝนขึ้นมาเองแล้วจึงปลดปล่อยตัวเองจากการพึ่งพาวิชาอาร์คาน่าอย่างเดิม ทำการไล่ตามหาความสามารถในการโจมตีอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเสริมแกร่งความยืดหยุ่นในการต่อสู้

คมดาบเหล่านั้นปะทะเข้ากับก้อนเพลิงเหลวมากมาย เติมเต็มผืนฟ้าด้วยลำแสงประกายแวววาวที่สว่างจ้าจนน่าประหลาดใจ

แต่เมื่อการแสดงแห่งแสงสิ้นสุดลง ลูกไฟเหล่านั้นก็ได้ถูกทำลายลงจนหมดสิ้นในขณะที่แสงดาบยังคงฉายแสงสว่างจ้า

ตอนที่ลำแสงดาบมากมายกำลังจะเจาะทะลวงผ่านแนวใบไม้นั่นเอง พวกมันก็เปิดออกและร่างที่ดูคล้ายหินขนาดยักษ์ก็ก้าวออกมาข้างหน้า กระโดดสูงขึ้นไปในอากาศ พวกมันต่อยออกไปด้วยกำหมัดเปล่า สร้างแรงเหวี่ยงอันน่าสะพรึงกลัวที่เคลื่อนย้ายกระแสพลังงานเชี่ยวกรากซึ่งเข้าปะทะกับคมดาบที่ฟาดลงมา และหยุดพวกมันลงกลางทาง

กระนั้นลำแสงดาบก็ยังคงลอยต่ำลงมาหลังจากนั้น การเคลื่อนไหวของพวกมันหลั่งไหลออกมาราวกับกระแสน้ำ พลังรุนแรงกระแทกเข้ากับร่างหินยักษ์นั่น บดขยี้พวกมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ระหว่างพายุพลังงานอันโกลาหล แม่น้ำที่เอ่อล้นก็พลันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินด้วยเสียงดังกึกก้องอยู่ลึกภายใน มันพุ่งทะลุทะลวงขึ้นไปบนท้องฟ้า ฟาดงวงฟาดงาและขู่คำรามราวกับมังกร

แต่ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ในทางกลับกัน พวกเขาจดจ่ออยู่กับการโจมตีร่วมกันของพวกตนโดยผลักฝ่ามือออกไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

การโจมตีฝ่ามือห่าใหญ่นี้ผสานรวมกันเพื่อก่อเกิดเป็นพายุหมุนที่ทั้งทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่สามารถทำลายสายน้ำเชี่ยวกรากลงได้ เผ่าวิญญาณเบื้องล่างหวาดผวาอย่างหนักเมื่อพวกเขาเห็นผลของการแลกหมัดครั้งนี้

ไม่เพียงเพราะช่องว่างของระดับความแข็งแกร่งระหว่างสองฝ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นความแตกต่างพื้นฐานระหว่างวิชาบ่มเพาะและวิชาอาร์คาน่าอีกด้วยที่ทำให้เป็นเช่นนี้

วิชาอาร์คาน่านั้นเกี่ยวข้องกับการใช้งานพลังงานต้นกำเนิดโดยแท้จริง ดังนั้น มันจึงเพียงแค่หยิบยืมความแข็งแกร่งมาจากสิ่งแวดล้อมก็เท่านั้น มันไม่เคยถูกครอบครองโดยสมบูรณ์ จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าที่มันจะถูกกำจัดและจางหายไป

ส่วนวิชาบ่มเพาะ ในทางกลับกัน มันเป็นการจดจ่ออยู่กับการใช้พลังงานของธรรมชาติเพื่อเสริมแกร่งและเพิ่มพูนสถานะทางชีววิทยาของบุคคลโดยการได้รับพลังอันยิ่งใหญ่เป็นผลลัพธ์

ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างทั้งสองคือผู้ปฏิบัติตามสิ่งแรกจะได้รับพลังของพวกเขาจากการเชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลัง ในขณะที่อย่างหลังจะทำเช่นนั้นได้โดยการรวบรวมความแข็งแกร่งของตนเอง

ด้วยเหตุนี้ วิชาอาร์คาน่าจึงมักจะด้อยประสิทธิภาพกว่าเล็กน้อยในการต่อสู้แบบกลุ่ม

และด้วยอัจฉริยะอย่างซูเฉินที่คอยควบคุมสนามรบ ความสามารถของนิกายไร้ขอบเขตในการต่อสู้ในค่ายกลตายตัวจึงถูกเสริมแกร่งขึ้นไปอีก มันช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการไหลเวียนที่ยุ่งเหยิงของพลังต้นกำเนิด และยังเพิ่มประสิทธิภาพและการปล่อยพลังเมื่อโจมตีของพวกเขาอีกด้วย

ดังนั้น กลุ่มผู้ฝึกตนนับพันนี้จึงสามารถกดดันค่ายกลห้าธาตุของเผ่าวิญญาณได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ใช่ไพ่ตายแต่อย่างใด แต่ค่ายกลห้าธาตุก็ไม่ควรจะถูกเอาชนะได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ผู้ที่รับผิดชอบในการรักษาค่ายกลของเผ่าวิญญาณสั่นสะท้านด้วยความสิ้นหวังเมื่อพวกเขาเห็นว่าศัตรูสามารถพิชิตมันได้โดยไม่ต้องเสียเหงื่อแม้แต่หยดเดียว

การป้องกันของป่าฝันร้ายเริ่มพังทลายลงครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้แนวการโจมตีที่ไร้จุดสิ้นสุด

เมื่อชั้นแรกสลายลง มันก็ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกว่าสงครามนี้กำลังดำเนินมาจนถึงตอนจบแล้ว

อย่างที่คาดไว้ แนวหน้าของศัตรูสลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ทุกการต่อต้านหายวับไปในพริบตา ในตอนที่ทหารทั้งหนึ่งพันคนของนิกายไร้ขอบเขตบุกฝ่าเพดานใบไม้มาได้ พวกเขาก็ค้นพบว่าไม่มีศัตรูรอคอยอยู่ที่อีกฝั่งแม้แต่ชีวิตเดียว เผ่าวิญญาณได้หลบหนีไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือไว้กระทั่งหุ่นเชิดรับใช้ของพวกมันเสียด้วยซ้ำ

“นั่นมันง่ายเกินไปแล้ว” ทุกคนต่างหัวเราะขณะที่ลอยตัวต่ำลง

จากนั้นก็พากันแยกย้ายกันออกสำรวจพื้นที่บริเวณนั้น แต่ก็ไม่สามารถพบได้แม้แต่ร่องรอยของศัตรู

หนึ่งในเหล่าศิษย์กลับมาในไม่ช้าเพื่อรายงานผลการค้นหาให้แก่ซูเฉิน “เจ้านิกาย ศัตรูเบื้องหน้าเราได้ถอยทัพไปแล้ว เราควรเดินหน้าต่อไปหรือไม่ ?”

คิ้วของซูเฉินเลิกสูงขึ้นด้วยความสนอกสนใจ “พวกมันหนีไปแล้วหรือ ? อย่างที่คาดไว้… ถ้าเป็นอย่างนั้น มาดูกันว่าพวกมันเก็บอะไรไว้ให้เรากันแน่ เฉ่าเซวียน เจ้าไปลาดตระเวนก่อน นำกำลังหนึ่งหมื่นคนไปกับเจ้าด้วย”

“รับทราบ” หลินเฉ่าเซวียนออกบินไปจนลับสายตา

ไม่นานหลังจากนั้น ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตหนึ่งหมื่นคนก็เข้ามาสู่ป่าแห่งนี้ในฐานะแนวหน้า ในขณะที่คนที่เหลือยังคงรออยู่ข้างนอก

ไม่นาน รายงานก็กลับมา ไม่มีสัญญาณของสิ่งน่าสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น

ซูเฉินกระแอม “บอกพวกเขาให้เดินหน้าต่อไปจนกว่าป่าฝันร้ายจะทะลุปรุโปร่ง ข้าจะตามเข้าไปหลังจากนั้น”

“รับทราบ !”

คำสั่งถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว

ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มควันสีชมพูขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในทันใด พวกมันเข้ากลืนกินทั่วทั้งป่าฝันร้ายอย่างรวดเร็วขณะที่เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังกึกก้องไปทั่วทั้งผืนป่า

“งั้นพวกเขาก็ยังพยายามจะเล่นเกมภาพลวงไร้สาระเหล่านี้สินะ” ซูเฉินกล่าวอย่างเหยียดหยัน

เผ่าวิญญาณมีข้อได้เปรียบโดยสมบูรณ์เมื่อมาถึงเรื่องของพลังจิต วิชาภาพลวงและค่ายกลจึงเป็นรากฐานสำคัญในวิถีการต่อสู้ของพวกเขาโดยธรรมชาติ

นี่คือค่ายกลสังหารที่แท้จริงของป่าฝันร้าย !!

ในแง่นั้น มันไม่ได้ต่างไปจากค่ายกลที่ปกป้องสุสานจากผู้บุกรุกจากภายนอก ข้อแตกต่างเดียวคือความแข็งแกร่งของมัน

ค่ายกลของป่าฝันร้ายผสานศักยภาพในการสร้างภาพลวงที่แข็งแกร่งด้วยวิชาแต่กำเนิดประเภทภาพลวงของเผ่าสามเพศ ดังนั้น ภาพลวงจึงปรากฏขึ้นมาอย่างสมจริงเป็นพิเศษ ราวกับว่ามันสามารถทำให้วัตถุลวงตามีรูปธรรมทางกายภาพได้ โดยเฉพาะ มีภาพลวงตาบางส่วนที่สามารถกระทั่งสร้างความเสียหายทางกายภาพจริง ๆ ได้เสียด้วยซ้ำ

แม้ว่าอาการบาดเจ็บส่วนมากจะอยู่ในระดับจิตใจ อาการบาดเจ็บทางกายภาพเหล่านี้ก็ยังสามารถปลิดชีพได้

เผ่าวิญญาณเคยพึ่งพาค่ายกลลวงตาและเผ่าวิญญาณกว่าสามร้อยตนเพื่อกวาดล้างกองทัพห้าหมื่นคนอันแข็งแกร่งของราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ เช่นเดียวกันกับทั้งเผ่าคนเถื่อน แม้ว่าค่ายกลลวงตานี้อาจไม่ใช่หนึ่งในไพ่ตายของเผ่าวิญญาณ มันก็ยังเป็นหนึ่งในค่ายกลที่ทรงพลังที่สุดในทวีปแห่งนี้

แต่กระทั่งด้วยความช่วยเหลือของค่ายกลที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ เผ่าวิญญาณก็ยังเลือกที่จะถอยหนี

พวกมันไม่เลือกที่จะต่อสู้กับนิกายไร้ขอบเขตภายในป่าฝันร้าย กลับกันพวกมันทิ้งเผ่าวิญญาณบางส่วนซึ่งจะใช้งานค่ายกลเพื่อคอยสังเกตความแข็งแกร่งของศัตรู

พวกมันไม่คิดหวังว่าค่ายกลนี้จะหยุดยั้งการเดินหน้านิกายไร้ขอบเขตไว้ได้แม้แต่น้อย

และนี่ก็กลายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

หลังจากที่ค่ายกลถูกเปิดใช้งาน พวกมันก็ค้นพบว่าวิชาภาพลวงตาของพวกตนนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงต่อเหล่าศิษย์แห่งนิกายไร้ขอบเขต

คนพวกนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างรื่นเริงไม่ว่าจะถูกคุกคามหรือล่อลวงใจเช่นไรก็ตาม กระทั่งภาพลวงที่น่าเชื่อถือที่สุด ซึ่งสามารถขุดคุ้ยความทรงจำเก่าแก่และเป็นที่รักขึ้นมาจากหัวใจของคนได้ ก็ไม่สามารถทำอะไรศิษย์นิกายไร้ขอบเขตได้เพราะอีกฝ่ายสามารถมองทะลุผ่านภาพลวงใด ๆ ก็ตาม ราวกับว่าคนพวกนั้นกำลังตัดขาด ‘ผู้ปกครอง’ ‘พี่น้อง’ และ ‘คนรัก’ ไปอย่างไร้ความปรานี

ภาพลวงตาที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างความเสียหายทางกายภาพได้ก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน พวกมันส่วนมากแทบจะถูกทำลายลงทันที และส่วนที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีของนิกายไร้ขอบเขตมาได้ก็กลับกลายเป็นไร้พิษสง การโจมตีของค่ายกลภาพลวงตายังคงมุ่งเป้าไปยังจิตใจเป็นหลัก ผลคือ ประสิทธิภาพของพวกเผ่าวิญญาณถูกจำกัดไว้ไม่น้อยทีเดียว

ศิษย์จากนิกายไร้ขอบเขตเพิ่งจะปลูกฝังเมล็ดจิตไป พวกเขาจึงยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีจิตใจที่ทรงพลังอย่างถึงที่สุดได้ แต่สำหรับภาพลวงตาที่อ่อนแอเหล่านี้ เมล็ดพันธุ์นั้นก็มีประสิทธิภาพเหนือธรรมชาติและสามารถกำจัดพวกมันออกไปได้อย่างง่ายดาย

สิ่งนี้ทำให้เผ่าวิญญาณที่กำลังเฝ้ามองการต่อสู้อยู่ตะลึงงัน และทำให้พวกมันสูญเสียความปรารถนาที่จะต่อสู้ที่เหลืออยู่ไปจนหมดสิ้น

กลับกันแล้วซูเฉินนั้นมีความสุขมากทีเดียว เมื่อได้เห็นว่าวิชากลั่นจิตมีประสิทธิภาพอย่างที่ชายหนุ่มได้จินตนาการไว้

“ยินดีด้วย เจ้านิกาย ท่านได้ประดิษฐ์วิชาบ่มเพาะที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมาอีกแล้ว” หลี่ฉงซานกล่าวขณะที่เขามองไปยังซูเฉินด้วยดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส

แม้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนจะยังเยาว์วัยยิ่งนัก ทว่าชายผู้นี้ก็ได้สร้างปาฏิหาริย์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

วิชาบ่มเพาะที่น่าเหลือเชื่อมากมายหลายชนิดถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมือคู่นั้นของเขา ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งต่อมวลมนุษยชาติที่เหลือทั้งหมด

เผ่าพันธุ์มนุษย์จะต้องเด่นเป็นสง่าในที่สุด !

ความคิดอันยิ่งใหญ่นั้นแวบผ่านความคิดของหลี่ฉงซานไป

ความคิดเช่นเดียวกันก็ปรากฏขึ้นในใจของซูเฉินด้วย

เขายิ้มออกมาเล็กน้อยและชำเลืองมองไปยังสนามรบเบื้องหน้า “ใช่ ข้าเห็นด้วย วิชานี้ได้ข้ามผ่านความคาดหวังของข้ามามากมาย บางทีข้าอาจสามารถพัฒนามันให้ก้าวไกลได้ยิ่งกว่านี้ในอนาคต ยุคแห่งความเฟื่องฟูของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างแท้จริง”

“ยินดีด้วย ท่านเจ้านิกาย ! ท่านได้สร้างอนาคตไร้ที่สิ้นสุดให้แก่ทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ !” ผู้คนรอบตัวเขาเริ่มส่งเสียงยินดีด้วยเช่นกัน

ซูเฉินยอมรับคำ ‘เยินยอ’ แล้วจึงกล่าว “ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีสิ่งใดให้เราต้องประหลาดใจ ไปมอบคำสั่งแก่กองทัพที่เหลือให้เดินทางออกไป ข้าต้องการยึดครองทั้งป่าฝันร้ายมาเป็นของเราก่อนค่ำ”

“รับทราบ !”

สองเค่อต่อมา ค่ายกลภาพลวงตาของป่าฝันร้ายก็ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์

หนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น ป่าฝันร้ายก็ปราศจากเผ่าวิญญาณและเผ่าสามเพศ

ในวันต่อมา นิกายไร้ขอบเขตก็ได้พิชิตทั้งพื้นที่ของป่าฝันร้ายและเขตแดนโดยรอบ

ทว่าโชคไม่ดีนักที่เผ่าวิญญาณไม่ได้ทิ้งทหารหรือทรัพยากรไว้แม้แต่น้อย พวกมันได้ถอยทัพกลับไปนานแล้ว