ภาคที่ 6 บทที่ 95 ใส่ความ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 ใส่ความ

หลังจากที่นิกายไร้ขอบเขตยึดป่าฝันร้ายมาได้สำเร็จ พวกเขาก็ตั้งค่ายที่นั่นแล้วหยุดการเดินหน้าต่อชั่วคราว

ทั้งหมดพักอยู่ที่นี่เป็นเวลายี่สิบสองวัน มันแทบจะดูเหมือนว่านิกายไร้ขอบเขตไม่คิดจะเดินหน้าไปต่ออีก

ไม่มีใครรู้ว่าซูเฉินกำลังทำสิ่งใดระหว่างช่วงเวลานี้ แต่เพราะพวกเขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ เหล่าศิษย์จากนิกายไร้ขอบเขตจึงปักหลักโดยไร้ซึ่งเสียงโอดครวญ

ทุกคนได้ต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานานและตอนนี้ก็เป็นเวลาที่ดีที่จะพักผ่อน

เวลาผ่านพ้นไป ในพริบตาเดียว อีกสิบวันก็ได้ผ่านไปแล้ว

ในวันนี้ เยี่ยเฟิงหานกำลังฝึกฝนลักษณ์เจ็ดสายเลือดของตน

ในตอนนี้ชายหนุ่มสามารถทำได้เพียงแค่สำแดงพลังของหนึ่งลักษณ์เท่านั้น ‘ลักษณ์ฝันวิจิตร’ ซึ่งเขาได้เลือกมาเพราะภารกิจในตอนนี้ เพื่อสำรวจป่าฝันร้ายในฐานะแนวหน้า ลักษณ์ฝันวิจิตรเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในภาพลวงตาของผู้ครอบครอง ทำให้สามารถทะลวงผ่านภาพลวงตาต่าง ๆ ได้ง่ายยิ่งขึ้น ในระดับที่สูงกว่านี้ กระทั่งจะพิสูจน์ภาพลวงตาก็ยังได้ ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มสามารถเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ หรือส่งผลต่อสัมผัสทั้งหกของผู้อื่นได้อย่างอิสระ

เยี่ยเฟิงหานเริ่มรวบรวมความแข็งแกร่งของตน ทำให้หมอกสีขาวปรากฏขึ้นรอบกาย

หมอกในกระแสลมหมุนวนรอบตัวเขาอย่างเชื่องช้า ต่อมา หมอกนั้นควบแน่นเป็นใบหน้าประหลาดที่ผสานเข้ากับใบหน้าของเยี่ยเฟิงหาน ทันใดนั้น รูปลักษณ์ของเยี่ยเฟิงหานก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

จมูกใหญ่ขึ้น ดวงตาเล็กลง รวมถึงปากก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย เขาได้เปลี่ยนจากชายหนุ่มรูปหล่อเป็นชายวัยกลางคนธรรมดา ๆ

เยี่ยเฟิงหานพึงพอใจทีเดียวเมื่อมองไปยังรูปลักษณ์ใหม่ของตนในกระจก

นี่คือหนึ่งในความสามารถในการแทนที่ภาพลวงตาของสายเลือดฝันวิจิตร ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเขาไป แต่แทนที่จะปรับเปลี่ยนรูปหน้าที่แท้จริง วิชานี้กลับดูเหมือนสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นหน้ากากหนังมนุษย์ที่วางไว้ด้านบนใบหน้าของชายหนุ่มอีกทีหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอย่างหลังนั้นก้าวหน้าน้อยกว่าอย่างก่อนอยู่มากโข

ถึงจะซับซ้อนมากนัก พวกมันก็ยังมีเสน่ห์เย้ายวนใจบางอย่าง ที่ทำให้ข้อบกพร่องที่มีถูกมองข้ามไป ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่พบเห็นรูปลักษณ์ของเยี่ยเฟิงหานคงจะต้องการเชื่อว่ามันคือของจริง นั่นเป็นเพราะพลังอำนาจของสายเลือดฝันวิจิตร และผลของมันก็จะเสริมแกร่งภาพลวงตาเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าผลลัพธ์นี้ถูกลดลงอย่างมหาศาลเมื่อเผชิญกับเผ่าวิญญาณ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาเลือกที่จะปกปิดการเคลื่อนไหวของตนระหว่างการสำรวจป่าฝันร้ายแทนที่จะปลอมกายไป

เนื่องด้วยข้อจำกัดนี้ เยี่ยเฟิงหานจึงสลดไปเล็กน้อยเมื่อรู้เข้าว่ากลยุทธ์นี้จะไร้ประโยชน์ต่อเผ่าวิญญาณ

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกเลิกการปลอมกาย และลองอีกหนึ่งในหลากหลายความสามารถของลักษณ์ฝันวิจิตรแทน …การส่งผลต่อประสาทสัมผัสต่าง ๆ นั่นเอง

ศิษย์แห่งนิกายไร้ขอบเขตคนหนึ่งบังเอิญเดินผ่านมาในตอนนั้นพอดี

ความคิดหนึ่งเข้ามาในสมองของเยี่ยเฟิงหาน ก่อนจะลงมือใช้งานมัน โดยพุ่งเป้าไปยังวิสัยทัศน์ของศิษย์คนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว

ศิษย์คนนั้นยังคงเดินต่อไปจนออกห่างจากเยี่ยเฟิงหานไปราวหนึ่งจั้ง แล้วเขาก็หยุดลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “เยี่ยเฟิงหาน ท่านเจ้านิกายกำลังตามหาเจ้า”

ท่านเจ้านิกายกำลังตามหาข้า ?

เยี่ยเฟิงหานเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจแฝงในน้ำเสียง “เจ้ารู้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไร ?”

เสียงของชายหนุ่มยังคงดังมาจากตำแหน่งเดิม ศิษย์คนอื่น ๆ จึงหันไปมองที่ข้างทางด้วยท่าทีประหลาดชวนหัวเราะ “หืม ? ทำไมเสียงของเจ้าถึงมาจากตรงนู้น ทั้งที่เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ ?”

เยี่ยเฟิงหานขำคิกคัก “คิดว่าข้าจะต่อยเจ้าได้หรือไง ?”

ขณะที่พูด เขาก็ปล่อยหมัดออกไป

ในสายตาของศิษย์คนนั้น เยี่ยเฟิงหานต่อยออกไปด้านข้าง แต่แล้วเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แขนด้านซ้ายขึ้นในทันใด

กำปั้นนี้ไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่มันก็ทำให้ศิษย์ผู้น่าสงสารหวาดกลัวไม่น้อย

“อะไรเนี่ย ? เจ้าต่อยข้าได้ยังไง ?”

แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น “เจ้าควบคุมการมองเห็นของข้าหรือ ? เจ้าไม่ได้อยู่ข้างหน้าข้าหรอกหรือ ?”

ศิษย์ผู้นั้นไหลเวียนพลังต้นกำเนิดมายังบริเวณตาและใช้วิชาที่ทำให้สามารถตรวจจับเผ่าวิญญาณได้ในทันที

แต่ตำแหน่งของเยี่ยเฟิงหานก็ยังไม่แปรเปลี่ยน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?

เนตรเห็นวิญญาของเขาไม่ได้ผลจริง ๆ หรือ ?

เยี่ยเฟิงหานหัวเราะออกมาอีกครั้ง

แน่นอนว่าในบางครั้ง ระดับขั้นของวิชาก็สำคัญยิ่งกว่าตัววิชานั้นเอง

แม้ว่าสายเลือดฝันวิจิตรจะไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงนักต่อเผ่าวิญญาณ ทว่ามันก็ยิ่งกว่ามีประสิทธิภาพเสียอีกเมื่อถูกใช้กับสมาชิกเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ

ศิษย์แห่งนิกายไร้ขอบเขตดูจะนึกบางสิ่งขึ้นได้หลังจากที่เนตรเห็นวิญญาณของตนไม่เป็นผล “นี่จะต้องเป็นรางวัลจากเจ้านิกายแน่ ๆ ใช่ไหม ? น่าประทับใจทีเดียว !”

แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูไม่แตกต่าง ทว่าสายตากลับเปี่ยมไปด้วยความริษยาอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าเพิ่งจะอยู่ในขั้นตอนของความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” เยี่ยเฟิงหานกล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจขณะที่กำจัดภาพลวงตานั้นออก พร้อมเปิดเผยตำแหน่งที่แท้จริงของตนให้แก่ศิษย์คนอื่น ๆ

สำหรับศิษย์คนนี้ เขาไม่ได้รำคาญชายหนุ่มแม้แต่น้อย ก่อนจะโยนแผ่นจารึกให้ “เอาล่ะ เลิกเล่นไร้สาระได้แล้ว อย่าปล่อยให้เจ้านิกายต้องรอ”

“รู้แล้วน่า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เยี่ยเฟิงหานตอบขณะที่ยังคงหัวเราะร่วน

ช่างเป็นเหตุการณ์ที่หาพบยากยิ่งนัก ที่จริงแล้วซูเฉินนั้นไม่ได้ง่วนอยู่กับงานวิจัยของตนในตอนนี้ กลับกัน เขากำลังเด็ดดอกไม้อยู่กับกู่ชิงลั่วและจูเซียนเหยาอย่างสบายใจเฉิบ

เยี่ยเฟิงหานตรงเข้าไปหาซูเฉินและกล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพยิ่ง “ท่านเจ้านิกาย”

เมื่อเห็นเยี่ยเฟิงหาน ซูเฉินก็เผยยิ้มบาง “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก”

เยี่ยเฟิงหานรีบร้อนกล่าว “ท่านชื่นชมข้าเกินไปแล้ว เผ่าวิญญาณต่างหากที่ตั้งใจทอดทิ้งเขตแดนของตนเอง ข้าไม่อาจรับคำเยินยอได้”

“ข้าไม่ได้หมายถึงการพิชิตป่าฝันร้าย แต่เป็นเรื่องที่เจ้าทำให้พวกเราสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างไร้ความเกรงกลัวด้วยการยืนยันว่าไม่มีภยันตรายใดแอบแฝงอยู่ลึกข้างในป่าฝันร้ายนั่น แม้ว่ามันอาจรู้สึกเหมือนว่าการเดินทางลาดตระเวนของเจ้าจะไม่ได้มีประโยชน์มากนัก แต่การยืนยันว่าไม่มีอันตรายใดรออยู่ก็นับเป็นผลงานชิ้นใหญ่ทีเดียว” ซูเฉินอธิบายอย่างใจเย็น “เผ่าวิญญาณเองก็มีชีวิตรอดมากว่าหลายหมื่นปีไม่ต่างไปจากเรา พื้นฐานของพวกเขานั้นลึกซึ้งและไม่อาจดูถูกได้ แม้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราก็ไม่ควรคาดหวังว่าจะสามารถต้อนให้ศัตรูเป็นฝ่ายยอมจำนนเองได้ ไม่อย่างนั้น เราคงจะต้องเผชิญกับชะตากรรมอันน่าสยดสยองไม่ผิดแน่”

ซูเฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อไป “เผ่าวิญญาณคงจะถอนทัพจากป่าฝันร้ายเพียงเพราะพวกเขามองไม่เห็นโอกาสที่จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ ด้วยตรรกะนั้น ต่อไปพวกเขาจะรวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่เชื่อว่าจะทำให้พวกตนสามารถรักษาชัยชนะไว้ได้อย่างแน่นอน ด้วยความรู้นี้ เราจะสามารถคาดการณ์สถานที่ที่เผ่าวิญญาณได้จัดเตรียมกับดักและสถานที่ที่ปลอดภัยได้อย่างง่ายดายทีเดียว”

แล้วเขาก็แผ่วเสียงลง “กองทัพเผ่าวิญญาณได้รวมตัวกันที่บริเวณสวนภูตผีแล้ว”

เยี่ยเฟิงหานเข้าใจอีกฝ่ายในทันที “งั้นเจ้านิกายก็กำลังบอกว่า เผ่าวิญญาณเชื่อว่าตัวเองสามารถเอาชนะเราได้ที่นั่นสินะ พวกนั้นจะต้องมีกับดักอันทรงพลังรอคอยเราอยู่ที่นั่นแน่ ๆ”

“ใช่แล้ว แต่แค่รู้ว่าพวกเขามีกับดักนั้นไม่พอหรอก เราต้องรู้ให้แน่ชัดว่ามันคืออะไร เจ้าทำได้ดีมากที่ป่าฝันร้าย และข้าก็หวังว่าเจ้าจะสร้างผลงานที่น่าประทับใจเช่นนี้ต่อไป แน่นอนว่าข้าไม่ได้บังคับเจ้า การกระทำของเจ้านั้นก็เกินกว่าสิ่งที่ข้ามอบให้ไปแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธคำขอข้อต่อไปของข้า ว่าไงล่ะ ? เจ้าจะรับภารกิจนี้ไหม ?”

เยี่ยเฟิงหานเข้าใจสิ่งที่ซูเฉินกำลังพูดถึงและลุกขึ้นยืนตรงอย่างกล้าหาญพร้อมคารวะ “แค่สั่งข้ามาก็พอ เจ้านิกาย ศิษย์คนนี้ยินดีมุ่งหน้าไปยังสวนภูตผีและยุแหย่เผ่าวิญญาณที่นั่นด้วยความเต็มใจ”

ซูเฉินไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อยกับคำตอบที่เฉียบขาดของเยี่ยเฟิงหานและพยักหน้า “เยี่ยมมาก แต่สวนภูตผีนั้นแตกต่างจากป่าฝันร้าย ต้นไม้ในป่านี้มีคุณสมบัติภาพลวงตาและถูกใช้เพื่อการซ่อนเร้นเป็นหลัก อีกอย่าง การป้องกันของป่าฝันร้ายก็ไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพระหว่างการต่อสู้ครั้งก่อนของเรา แต่สวนภูตผีจะอัดแน่นไปด้วยชาวเผ่าวิญญาณและกองทัพของพวกนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าคงจะแฝงตัวเข้าไปได้อย่างยากลำบากไม่น้อยทีเดียว เราจึงจำเป็นต้องเตรียมการอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่เจ้าจะเดินทางออกไป”

ขณะที่ซูเฉินพูดก็หันไปพยักหน้าให้แก่จูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาทำท่าทางด้วยมือของนาง แล้วเงาโปร่งแสงก็ลอยเข้าไปหาเยี่ยเฟิงหานอย่างเชื่องช้า

“เผ่าวิญญาณนี่ !?” เยี่ยเฟิงหานขวัญหนีดีฝ่อ

“ใช่ แต่มันอยู่ใต้การควบคุมของเซียนเหยา และกำลังรับใช้นางแล้วในตอนนี้” ซูเฉินตอบ

เยี่ยเฟิงหานตะลึงงัน

เป็นเวลากว่าหลายหมื่นปีที่เผ่าวิญญาณคือฝ่ายควบคุมเสมอมา เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นวันที่มนุษย์สามารถควบคุมเผ่าวิญญาณได้มาก่อน

แต่ถึงอย่างนั้น ความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว และเยี่ยเฟิงหานก็ไม่อาจปฏิเสธมันได้อีกต่อไป

นี่คือผลของวิชากลั่นจิตนั่นเอง !

วิชากลั่นจิตไม่ใช่วิชาประเภทควบคุมด้วยตัวเอง แต่มันเพิ่มพูนผลของวิชาประเภทควบคุมอื่น ๆ ได้อย่างมหาศาล มันกระทั่งสามารถทำลายเกราะป้องกันและส่งเสริมระดับของการควบคุมได้เสียด้วยซ้ำ

แน่นอนว่ามันยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อยในการจะกำราบเผ่าวิญญาณสักตน

ในการเข้าควบคุมเผ่าวิญญาณตนนี้ ซูเฉินได้ปราบจิตใจของเผ่าวิญญาณผู้โชคร้ายลง ทำให้ความแข็งแกร่งของมันลดฮวบลงจากระดับกลางสู่ระดับต่ำทีเดียว แล้วจูเซียนเหยาก็ได้ใช้เวลาแทบทั้งเดือนในการปลูกฝังเมล็ดจิตด้วยการช่วยเหลือโดยตรงจากซูเฉินก่อนที่จะประสบความสำเร็จในที่สุด

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่นิกายไร้ขอบเขตได้หยุดการเคลื่อนไหวลงที่นี่เป็นเวลากว่าสามสิบวัน

ตอนนี้เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ประหลาดใจอีกต่อไปแล้ว วิธีการเดียวที่จะเดินหน้าต่อไปก็คือการเปิดการเผชิญหน้าเท่านั้น ความเร็วไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญในสงครามนี้อีกต่อไป และทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือการเดินหน้าต่อไปทีละก้าว ๆ อย่างระมัดระวังก็เท่านั้น

“ชื่อของเขาคือเหยียนท่า เขาเป็นหนึ่งในเผ่าวิญญาณที่มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดการค่ายกลในป่าฝันร้าย หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ในสงคราม เขาก็หลบหนีไป ข้าแผ่ขยายพลังงานออกไปเล็กน้อยเพื่อช่วยในการควบคุมเขา และเซียนเหยาก็เสียสละเวลาในการฝึกตนกว่าสามปีมาเพื่อทำให้วิชานี้เสร็จสมบูรณ์ แค่ผู้รับใช้ตนนี้ก็คุ้มค่าแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะเป็นผู้รับใช้ของเจ้า แต่แน่นอนว่าจากภายนอกนั้น มันจะดูตรงกันข้าม”

ใจความสำคัญของซูเฉินนั้นชัดเจนทีเดียว

ดูเหมือนว่าเยี่ยเฟิงหานจะเข้าไปในสวนภูตผีโดยการแฝงตัวเป็นนักโทษ เขาจะแสร้งว่าเป็นทาสของเหยียนท่า และเหยียนท่าก็จะแสร้งว่าเป็นเจ้านายของเขา

เยี่ยเฟิงหานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ข้ามีคำถามหนึ่ง”

ซูเฉินหัวเราะ “เจ้ากำลังหมายถึงวิชากำแพงใจหรือ ?”

“ท่านเจ้านิกายนี่ช่างรอบรู้จริง ๆ !”

ศิษย์ในนิายไร้ขอบเขตแทบทุกคนต่างฝึกฝนวิชากำแพงใจในรูปแบบที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งจะทำให้พวกเขาต้องเข้าสู่สภาวะหมดสติทันทีที่ใครก็ตามพยายามจะเข้าควบคุมจิตใจ นี่คือเหตุผลที่ชาวเผ่าวิญญาณไม่อาจควบคุมศิษย์นิกายไร้ขอบเขตได้แม้แต่คนเดียว

สำหรับเหยียนท่าที่จู่ ๆ ก็พาศิษย์ของนิกายไร้ขอบเขตกลับมาด้วยในฐานะเชลยศึก …นั่นจะต้องดึงดูดความสงสัยเข้ามาบ้างอย่างแน่นอน

และไม่มีทางเลยที่เยี่ยเฟิงหานจะเป็นทาสที่เหยียนท่าได้รับมา

เพราะเผ่าวิญญาณตนใดก็ตามที่คุ้นเคยกับเหยียนท่าก็จะเคยพบกับเหล่าทาสของเขามาก่อน นอกจากนี้ หุ่นเชิดตัวใดที่อาศัยอยู่ในบริเวณนี้มาเป็นเวลานานจะสูญเสียความฉลาดหลักแหลมไปเพราะอิทธิพลของปราณมืด ทำให้ใบหน้าของพวกเขากลับกลายเป็นสีเทา ในขณะที่ผิวหนังและกระดูกของผู้โชคร้ายเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นราวกับเหล็กกล้า

เยี่ยเฟิงหานได้แต่แฝงตัวเป็นทาสคนใหม่เท่านั้น

ซูเฉินคาดการณ์ถึงปัญหานี้ไว้เมื่อนานมาแล้ว

เขาตอบอย่างสงบเย็น “ไม่ต้องห่วง ข้าได้รวบรวมกลุ่มสยบทะเลไว้แล้ว พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนวิชากำแพงใจ เพราะฉะนั้นเจ้าก็สามารถแกล้งทำเป็นหนึ่งในพวกเขาแทนได้”

หลังจากที่สงครามในหุบเหวนรกเข้าใกล้สู่จุดสิ้นสุด กลุ่มสยบทะเลก็ถูกยุบรวมเข้ากับนิกายไร้ขอบเขตโดยสมบูรณ์ นอกจากผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อผู้นำคนเก่าอย่างถึงที่สุด และเป็นผู้ที่ซูเฉินอนุญาตให้กลับไป ทหารและเจ้าหน้าที่ส่วนมากก็ได้ถูกหลอมรวมเข้ากับนิกายแห่งนี้ แต่เพราะพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเรือ คนเหล่านั้นจึงปักหลักอยู่ใกล้กับท้องทะเลเพื่อบุกเบิกและยึดครองเขตแดนต่อไป

เพราะกองกำลังนี้ไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเผ่าวิญญาณ ซูเฉินจึงไม่เคยสอนวิชากำแพงใจให้แก่พวกเขามาก่อน

แต่ในตอนนี้ ซูเฉินได้ออกคำสั่งใหม่เพื่อให้กลุ่มกองกำลังทหารนี้เข้าร่วมกับแผนการครั้งนี้ด้วย

เหตุผลของเรื่องนี้นั้นเรียบง่ายยิ่งนัก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ตัวตนปลอมของเยี่ยเฟิงหานนั่นเอง

ทั้งกองทัพถูกโยกย้ายไปเพื่อคนเพียงคนเดียว

แต่ซูเฉินก็รู้ว่ามันจะต้องคุ้มค่าเป็นแน่

การเสียสละใดก็ยอมรับได้ทั้งสิ้นหากเขาสามารถค้นหาได้ว่ากลยุทธ์แบบใดที่เผ่าวิญญาณแอบแฝงไว้เบื้องหลังกันแน่ !!!