ตอนที่ 677 ซิงซิง ข้ากลับมาแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

แรงกดดันมหาศาลครอบคลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า ถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นน้ำ ทำให้เหล่าเทพที่เดิมทีเหาะเหินอยู่กลางอากาศ ยามนี้ต้องร่วงหล่นลงมาบนพื้นเพราะสูญเสียการควบคุม 

 

 

ราวกับเกี๊ยวนึ่งที่ถูกเขวี้ยงลงบนพื้น 

 

 

แม้ว่าแดนสวรรค์จะล่องลอยอยู่ในอากาศแต่ว่าสิ่งก่อสร้างแต่ละหลังล้วนจัดสร้างอยู่บนพื้นดินแถบหนึ่ง 

 

 

แต่ละคนร่วงลงด้วยเสียงอันดังครึกโครม 

 

 

เจ็บไปทั้งร่าง ปวดไปถึงหัวใจ 

 

 

แต่สายตาของพวกเขาก็ไม่อาจละไปจากหมอกควันสีดำนั้นได้เลย 

 

 

หมอกดำ….คือสิ่งที่แดนสวรรค์ชิงชังที่สุด 

 

 

บุรุษผู้นั้น……แท้ที่จริงแล้วคือมหาเทพที่มาจากที่ใดกันแน่? 

 

 

แล้วเข้ามาในแดนสวรรค์ได้อย่างไร? 

 

 

นับตั้งแต่ที่นางมารผู้นั้นบุกขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ประตูสวรรค์ทั้งสี่ล้วนเพิ่มจำนวนเวรยาม ด้วยความที่หวาดกลัวว่าจะมีตาสีตาสาจากที่ใดบุกเข้ามาอีก 

 

 

ยามนี้กลับปรากฏบุรุษผู้หนึ่งที่มีแรงกดดันครอบฟ้าคลุมดินบุกเข้ามา โดยที่พวกเขามิได้ทันรู้สึกตัวเลย? 

 

 

เขายังไม่ทันได้ลงมือ พวกเทพอย่างตนที่กระอักเลือดก็กระอักเลือดออกมา ที่ร่วงหล่นก็พากันร่วงหล่นลงไปเสียแล้ว 

 

 

พลังตบะของคนผู้นี้ นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง! 

 

 

………………. 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ดาบของตี้เสียที่แทงออกไป กลับถูกเขาตรึงเอาไว้ 

 

 

ตรึงเอาไว้ด้วยมือเปล่า! 

 

 

หมอกสีดำที่มืดมิดเหล่านั้นเลื่อนไหลไปยังดาบของพระองค์ ปกคลุมเอาไว้ในช่วงเสี้ยววินาที ทั้งยังหลอมละลายดาบของตี้เสียทิ้งไปต่อหน่าต่อตาของพระองค์ในทันที! 

 

 

ดาบน้ำแข็งของตี้เสียกลับกลายเป็นฝุ่นละอองทั้งๆที่อยู่ตรงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ หมอกสีดำบางๆนั้น กำลังจะไหลไปทางพระพักตร์ไปอย่างแผ่วเบา! 

 

 

ตราประทับดวงสุริยะบนพระนาลาฏของตี้เสียก็ทวีความร้อนแรงขึ้นมาในทันที 

 

 

ความร้อนขุมนั้นแผ่จากพระขนงไปทั่วทั้งพระวรกายสีทอง จนทั่วพระองค์ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ยามที่ควันและเถ้าถ่านเหล่านั้นพัดลอยมาถึง ก็ถูกเปลวเพลิงรอบพระองค์เผาผลาญจนหมดสิ้นไป 

 

 

นับตั้งแต่วินาทีแรกที่บุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา ดวงเนตรของตี้เสียก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของบุรุษผู้นั้นตลอดเวลา 

 

 

ดวงตาหงส์คู่นั้น ลึกล้ำดุจความดำมืดที่มืดมิดที่สุดในโลกเบื้องล่าง 

 

 

จนแม้แต่แสงทองจากพลังหยางของพระองค์ก็ยังไม่อาจสาดส่องไปได้ถึง เพียงได้สบตาแวบเดียวก็เหมือนถูกลากลงไปสู่ความมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด 

 

 

เพียงแค่หมอกสีดำบนร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็สามารถทำให้สีสันทั้งมวลบนแดนสวรรค์สูญสิ้นไป 

 

 

แม้แต่ตี้เสียยังต้องทรงยอมรับว่า เขาช่างมีแรงดึงดูดสายตามากเกินไปแล้ว! 

 

 

ดวงหน้านั้นถึงแม้จะแปลกตา แต่ว่าหมอกสีดำบนร่าง และพลังกดดันที่น่าเกรงขาม ทำให้พระองค์ทรงคิดถึง…. 

 

 

“ซีเหอ” 

 

 

ชื่อนั้น ถูกกลบฝังไปกระแสของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเนิ่นนานมากแล้ว พระองค์ทรงคิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งคนผู้นั้นจะกลับมา 

 

 

ทั้งยังบุกเข้ามาในแดนสวรรค์ ปรากฏตัวตรงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ และทำให้พระองค์ตกอยู่ในหมอกสีดำอันมืดหม่น 

 

 

ดาบของพระองค์ สร้างขึ้นจากงาช้างของพญาคชสารกลืนหมื่นนภา แต่กลับถูกเขาทำลายกลายเป็นฝุ่นผงลงไปได้อย่างง่ายดาย? 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ซือเป่ยและฮว๋ายยู่ต่างก็หน้าถอดสีไปตามๆกัน 

 

 

ยามที่อยู่ในหุบเขาปีศาจของโลกปัจจุบัน ซือเป่ยก็เคยได้พบกับจีเฉวียนมาแล้ว 

 

 

ในตอนนั้น เขามิได้เห็นบุรุษผู้นี้อยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย  

 

 

แต่ว่าตอนนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังต้องตกตะลึง ยามที่บุรุษผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา ต้องเรียกว่าได้ผ่านการะชำระล้างผลัดเปลี่ยนแก่นกระดูกไปแล้ว! 

 

 

แรงกดดันอันมหาศาลบีบคั้นลงมา ทำให้หัวใจของทุกผู้ทุกนามต้องเหน็บหนาว 

 

 

ฮว๋ายยู่ถูกแรงกดดันจากบนร่างกายของเขา บีบคั้นจนถึงกับหายใจไม่ออก 

 

 

นัยตาของนางยืดขยาย ยิ่งเมื่อได้ยินชื่อซีเหอสองคำนั้น พระทัยของนางก็ถึงกับกระตุกขึ้นมา 

 

 

จู่ฮว๋ายกลับมาเกิดใหม่….. ซีเหอก็ตามมาเกิดใหม่ด้วยหรือ? 

 

 

เป็นไปได้อย่างไร……. 

 

 

ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างก็คนหนึ่งจิตวิญญาญแตกสลาย อีกคนที่หาบสาปสูญ ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ตอนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน? 

 

 

ใบหน้าและเรือนร่างนั้นแม้จะมิใช่ของซีเหอ แต่ก็งดงามเป็นหนึ่งไม่มีสองเช่นเดียวกับซีเหอ 

 

 

แม้แต่ฮว๋ายยู่ยังคิดไม่ออกเลยว่า บนแดนสวรรค์และในหกภพภูมินี้ นอกเสียจากซีเหอแล้วยังจะมีผู้ใดที่มีพลังที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นเช่นนี้ได้อีก! 

 

 

พวกเขากลับมาแล้ว กลับมาแล้วทั้งคู่ หรือพวกเขาจะกลับมาแก้แค้น? 

 

 

….. 

 

 

ที่ด้านนอกของเจดีย์กำราบเทพมาร เมื่อจีเฉวียนปรากฏตัวขึ้น เหล่าสัตว์อสูรที่ตอนแรกพึ่งจะสงบเสงี่ยมลง ก็พากันเหาะลงมา ยืนอยู่บนพื้น จนทำให้เกิดเสียงโครมครามจากสิ่งก่อสร้างต่างๆที่พังทลาย 

 

 

ชั้นเมฆถูกกระทืบจนแตกร้าว เหล่าสัตว์อสูรต่างหมอบอยู่บนพื้น แหงนหน้ามองดูจีเฉวียนด้วยสายตาที่หวาดกลัว 

 

 

แม้แต่เจ้านกยักษ์ตัวนั้น ยังต้องเกาะหมอบอยู่บนยอดเจดีย์ ไม่กล้าขยับเขยื้อนตามใจชอบ 

 

 

…………………….. 

 

 

ดวงตาของจีเฉวียน เย็นเฉียบดุจแผ่นน้ำแข็ง 

 

 

ร่างของเขากำบังตู๋กูซิงหลันอยู่ด้านหน้า ฝ่ามือข้างหนึ่งสกัดดาบของตี้เสียเอาไว้ แต่แม้กระทั้งสายตาก็มิได้มองไปที่พระองค์ 

 

 

ยิ่งมิได้เหลียวแลซือเป่ยและฮว๋ายยู่เลยสักนิด 

 

 

เขาหันศีรษะกลับไป แววตาที่เดิมทีเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ทันทีที่มองเห็นตู๋กูซิงหลัน แววตาก็หลอมละลายลงไปดุจน้ำแข็งที่สัมผัสสายลมในฤดูใบไม้ผลิ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันทรุดอยู่ในมุมเล็กๆมุมหนึ่ง 

 

 

โดดเดี่ยว เปราะบาง และน่าสงสาร 

 

 

หากแต่สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก็คือดวงตาที่เย็นชาคู่นั้น แม้ว่าจะได้พบกับจีเฉวียนก็ยังคงไม่มีปฏิกริยาใดๆแม้แต่น้อย 

 

 

ในที่สุด ดวงหน้าดุจแผ่นน้ำแข็งของจีเฉวียน ก็ผุดรอยยิ้มอ่อนๆขึ้นมา 

 

 

พอเห็นว่าเขากำลังจะยื่นมือไปหาตู๋กูซิงหลัน ตี้เสียก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

พระองค์รีบเรียกแส้ทลายนภาออกมา หวดเข้าใส่จีเฉวียนอย่างรวดเร็ว 

 

 

“นางเป็นสตรีของเรา!” ตี้เสียคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธกริ้ว 

 

 

ต่อให้พระองค์ต้องการสังหารตู๋กูซิงหลัน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องที่จะให้นางเป็นสตรีของพระองค์! 

 

 

สตรีผู้นี้ ต้องเป็นของตี้เสีย ของพระองค์เท่านั้น! 

 

 

ก่อนหน้านี้ใช่ ตอนนี้ก็ต้องใช่! 

 

 

มิว่าจะฆ่าหรือทารุณมีแต่พระองค์เท่านั้นที่ทำได้! 

 

 

ซีเหอไม่อาจมีสิทธิ์! 

 

 

แส้นี้พอฟาดออกไป จีเฉวียนกลับมิได้หลบหลีก เขาหันหลังให้กับเทียนตี้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งที่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลันและยื่นมือไปหานาง  

 

 

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสกับดั้งจมูกของนางอย่างแผ่วเบา พลางเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “ซิงซิง ข้ากลับมาแล้ว” 

 

 

น้ำเสียงที่ลึกล้ำ ท่วมท้นด้วยความรู้สึก 

 

 

ประโยคเดียว ที่คิดจะบอกกับนางมานับครั้งไม่ถ้วน 

 

 

แส้นั้นของตี้เสีย ถูกเขาละเลยอย่างหมดสิ้น! 

 

 

และทันทีที่ฟาดมาถึง ก็ถูกหมอกสีดำบนร่างของจีเฉวียนกลืนกินลงไป 

 

 

พระพิโรธของตี้เสียพุ่งสูงอย่างรุนแรง จนแทบจะระเบิดออกมา ดวงเนตรจับจ้องมองดูจีเฉวียนที่บังอาจเข้าใกล้ตู๋กูซิงหลันต่อหน้าต่อตาของพระองค์! 

 

 

แต่ว่าร่างของคนผู้นั้น คล้ายจะมีหมอกสีดำที่มีพลังบางอย่าง ที่มิว่าพลังใดก็ตามที่ส่งไปถึง ก็จะถูกกลืนกินจนหมดสิ้น 

 

 

จนแม้แต่ตี้เสียเองก็ทรงไม่เข้าพระทัย 

 

 

“เราไม่อนุญาตให้เจ้าแตะต้องนาง!” 

 

 

ความต้องการยึดครองของตี้เสียช่างรุนแรง จนแม้ว่าพระองค์จะต้องการสังหารตู๋กูซิงหลัน ก็จะไม่ยอมให้บุรุษอื่นมาสัมผัสนางแม้แต่ปลายเส้นผม! 

 

 

อย่าว่าแต่บรรยากาศรอบกายของคนผู้นั้นเหมือนกับซีเหออย่างที่สุด! 

 

 

จีเฉวียนคร้านจะสนใจพระองค์ตั้งแต่ต้นแล้ว เขายังคงคุกเข่าตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน ในแววตามีความเสียใจอยู่บางๆ 

 

 

แต่ในความเสียใจนั้นก็ยังมีความยินดีอยู่เล็กน้อย 

 

 

“ซิงซิงของข้า ยังคงซุกซนอยู่เช่นเดิม” 

 

 

เมื่อมองดูสาวน้อยที่ไม่ขยับไปไหนตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา 

 

 

ปลายนิ้วของเขาขยับน้อยๆ สัมผัสลงไปเบาๆที่หน้าผากของนาง ทันใดนั้นจิตวิญญาณที่มีชีวิตอยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นยันต์สีแดงใบหนึ่ง 

 

 

บนยันต์โลหิตแผ่นนั้น มีจิตวิญญาณเบาบางผนึกอยู่ และเศษเสี้ยวเล็กๆของหยกสรรพชีวิต 

 

 

ยันต์โลหิตใบนั้นปลิวลงมาอยู่บนมือของจีเฉวียน 

 

 

คราวนี้ ตี้เสียและคนอื่นๆต่างก็ตาค้างกันไปหมดแล้ว 

 

 

โดยเฉพาะซือเป่ยยิ่งมีสีหน้าอ้ำอึ้ง 

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน?! 

 

 

เขตอาคมที่เขาทุ่มเทพลังวิญญาณทั้งหมดในร่างสร้างขึ้นมา ที่แท้แล้วกลับกักขังเอาไว้แต่เพียงแค่ร่างแบ่งภาคกระนั้นหรือ?! 

 

 

ปฏิกริยาโต้ตอบและความเร็วของนางกลับเหนือกว่าที่ซือเป่ยคาดคิดเอาไว้มาก! 

 

 

สตรีที่เจ้าเล่ห์และกลิ้งกลอกอย่างที่สุด! 

 

 

เพื่อให้ร่างแบ่งนี้สามารถปิดบังสายตาของทุกผู้คนได้ นางถึงกับยินยอมฉีกแบ่งส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณออกมา ทั้งยังกล้าสละเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตเอาไว้!? 

 

 

การฉีกแบ่งจิตวิญญาณก็ไม่ต่างอะไรกับการเฉือนเลือดเนื้อชิ้นหนึ่งออกมาจากร่าง เพื่อให้ร่างแบ่งภาคนี้มีไอวิญญาณเฉกเช่นเดียวกันกับตัวตนของนาง! 

 

 

ทั้งยังใช้พลังของเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตมายื้อเวลาการคงสภาพของร่างแบ่งภาคนั้นเอาไว้! 

 

 

เช่นนี้ นางจึงสามารถหลอกลวงผู้คนทั้งหมดได้สำเร็จ! 

 

 

รวมไปถึงบุรุษผู้น่าสะพรึงกลัวที่ปรากฏขึ้นมากลางอากาศผู้นั้นด้วย! 

 

 

…………………