ตอนที่ 678 เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ผู้อื่นคิดถึงเจ้าแทบตายแล้ว!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซือเป่ยโกรธแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขากำหมัดแน่น ด้วยความคาดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วเขาจะต้องถูกตู๋กูซิงหลันหลอกลวง! 

 

 

ที่ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจไปกักขัง กลับเป็นเพียงแค่ยันต์ใบหนึ่ง! 

 

 

สตรีผู้นั้นช่างสมควรตายอย่างที่สุด! 

 

 

สีพระพักตร์ของตี้เสียเองก็ย่ำแย่ พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิสวรรค์ผู้สูงส่ง ทั้งยังอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ แต่ว่าพระองค์กลับมิได้รู้สึกเลยว่า ตู๋กูซิงหลันที่อยู่เบื้องหน้านั้นเป็นเพียงแค่ร่างแบ่งที่ประกอบกับยันต์ร่างหนึ่ง….. 

 

 

นี้จะต้องเป็นเพราะทรงตกอยู่ในพระพิโรธ จึงได้บดบังพระสติปัญญา 

 

 

หากเปรียบเทียบกับจู่ฮว๋ายแล้ว แววตาของนางยังดำขลับและกลิ้งกลอกมากกว่าเสียอีก! 

 

 

เหล่าเทพทุกผู้ต่างก็ถูกนางหลอกลวงจนหมด! 

 

 

ฮว๋ายยู่ยืนอยู่ข้างกายของซือเป่ย ยามที่จีเฉวียนปรากฏตัวขึ้นมา ตี้เสียถึงกับลืมนางไปแล้ว 

 

 

พระองค์เปี่ยมไปด้วยความโกรธกริ้ว ดวงเนตรลุกเป็นไฟ ในพระหัตถ์กุมแส้ทลายนภาเส้นนั้นเอาไว้ 

 

 

“เจ้ากับนางต่างก็นัดแนะกันเอาไว้อย่างดีแล้ว พวกเจ้าจงใจสร้างละครฉากนี้ขึ้นมา” บาดแผลตรงพระอุระประสานกันอย่างรวดเร็ว 

 

 

โลหิตที่แห้งกรัง ถูกเปลวเพลิงจากธาตุหยางในร่างของพระองค์เผาผลาญจนกลายเป็นสีดำ 

 

 

คราวนี้ตี้เสียทรงประจักษ์แก่พระทัยแล้วว่า ตู๋กูซิงหลันไม่เพียงแต่เล่นละครตบตาพระองค์ แต่ยังแสดงละครชั่วช้าฉากใหญ่ 

 

 

ฉากหน้าทำเป็นตอบสนองยอมรับความรักของพระองค์ แต่อีกด้านหนึ่งก็ประสานเสริมกับบุรุษที่คล้ายคลึงกับซีเหออย่างที่สุดผู้นี้ คิดก่อความวุ่นวายในแดนสวรรค์ 

 

 

ความชั่วร้ายของนาง ยังเหนือล้ำกว่าที่พระองค์คาดคิดเอาไว้มากนัก! 

 

 

ในยุคบรรพกาลนั้น จิตใจของนางเป็นของซีเหอแต่เพียงผู้เดียว และแม้กระทั่งตอนนี้ทั้งหัวใจและนัยตาก็ยังคงมีแต่เขาผู้นั้น! 

 

 

พระองค์ไม่เข้าพระทัยเลยว่า ตนเองไม่อาจสู้ซีเหอได้ในที่ใด จึงทำให้นางอุทิศตนให้กับซีเหอถึงเพียงนี้! 

 

 

จีเฉวียนไม่สนใจเขา เพียงเก็บยันต์โลหิตแผ่นนั้นเอาไว้ในอกอย่างทนุถนอม แม้แต่แสงจากแววตาที่มองดูยันต์แผ่นนั้นก็ยังคงอ่อนโยน 

 

 

พอหมุนร่างกลับมา เผชิญหน้ากับเหล่าทวยเทพ ดวงตาหงส์คู่นั้นก็กลับเป็นเยือกเย็นและเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที เสื้อผ้าและเส้นผมโบกโบย รัศมีสีดำอมทองนั้นทำให้ผู้คนต้องหวาดผวา 

 

 

เหล่าเทพต่างก็เห็นว่าแค่เพียงคนผู้นั้นโบกมือขึ้นมา ก็แผ่พุ่งแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนหายใจไม่ออกได้แล้ว 

 

 

ต่อให้เทียนตี้ทรงประทับอยู่ตรงนี้ก็ไม่อาจสะกดข่มแรงกดดันที่หนาวเย็นของเขาลงได้ 

 

 

ในที่สุด สายตาของจีเฉวียนก็หันไปหยุดอยู่บนร่างของตี้เสียด้วยความเย็นชา 

 

 

“เจ้ารังแกนางส่วนหนึ่ง เราก็จะรังแกเจ้าร้อยส่วน นางเจ็บแม้เพียงปลายนิ้ว เจ้าต้องชดใช้คืนพันทวี” 

 

 

น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกดุจแผ่นน้ำแข็งที่เรียบลื่น แต่เย็นเฉียบเข้าไปถึงในกระดูก 

 

 

หมอกสีดำรอบกายเคลื่อนไหว ราวกับฝ่ามือที่ฉุดกระชากผู้คนลงสู่นรก 

 

 

ในเมื่อจีเฉวียนมาแล้ว ย่อมต้องไม่วางมือแค่เพราะว่าตู๋กูซิงหลันสามารถหลบหนีไปได้ปลอดภัย จนต้องให้นางถูกรังแกแต่ฝ่ายเดียว 

 

 

ในเมื่อนางยอมฉีกแบ่งวิญญาณออกมาส่วนหนึ่ง ย่อมต้องเจ็บปวดยิ่งกว่ากรีดเลือดเฉือนเนื้อ ความเจ็บปวดนี้ ย่อมต้องเอาคืนร้อยเท่าพันเท่าจึงจะได้ 

 

 

ทันใดนั้น ก็เห็นว่าท่ามกลางหมอกสีดำเข้มข้น มีพินไม้สีดำแบบโบราณที่ดูธรรมดาคันหนึ่งปรากฏขึ้นมา 

 

 

ด้านหน้าของพิณโบราณ มีเงาจันทร์สายหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างเลือนลาง 

 

 

“พิณสุริยันต์จันทรา!” (ไท่เย่วกู่ฉิน) 

 

 

สีพระพักตร์ของตี้เสียเปลี่ยนไปในทันที หากบอกว่าเมื่อครู่นี้ พระองค์ยังไม่แน่พระทัยว่าบุรุษตรงหน้าใช่ซีเหอหรือไม่ ตอนนี้เมื่อพิณสุริยันต์จันทราปรากฏ….. 

 

 

สมองของตี้เสียโคลงเคลงขึ้นมา  

 

 

พิณคันนี้ ต่อให้กลายเป็นเถ้าถ่านพระองค์ก็ยังคงจดจำมันได้! 

 

 

นับตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ทั่วทั้งหกภพภูมิ มีอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น! 

 

 

นั่นคือพิณที่รวมพลังของตะวันและจันทราเอาไว้ด้วยกัน ตัวพิณสร้างจากแก่นแท้ของจู่ฮว๋าย ใช้จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเทพบิดรเป็นสายพิณ หล่อหลอมขึ้นมาเป็นพิณหลังนี้! 

 

 

ตี้เสียไม่ทรงเสียเวลาใคร่ครวญอีกต่อไป พระหัตถ์ที่กุมแส้ทลายนภาเอาไว้ ปลุกพลังวิญญาณท่วมท้นขึ้นมาและสะบัดออกไปในทันที พระองค์จะต้องชิงลงมือก่อน เพื่อไม่ให้จีเฉวียนมีโอกาสลงมือ! 

 

 

แส้ยังฟาดไปไม่ทันถึงร่างของจีเฉวียน แม้แต่ความว่างเปล่ารอบด้านต่างก็ถูกฉีกสะบั้นแล้ว 

 

 

ฮว๋ายยู่เองก็ได้รับผลสะท้อนจากแรงกดดัน จนนางต้องถอยกรูดไปด้านหลัง 

 

 

ซือเป่ยปกป้องนางเอาไว้ที่ด้านหลัง และถอยห่างออกไปอีกจนไกล 

 

 

 

 

 

สายตาของเขาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้หยุดอยู่ที่ร่างของจีเฉวียนตลอดเวลา ….เขาเปลี่ยนไปแล้ว มิเช่นผู้ที่เคยอยู่ในภูเขาปีศาจในตอนนั้นอีกแล้ว 

 

 

เหล่าเทพที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น ตอนนี้ต่างก็ถูกแรงกดดันจากแส้ของเทียนตี้บีบคั้นจนหัวใจสั่นสะท้าน 

 

 

เทียนตี้….ทรงเอาจริงแล้ว? 

 

 

ความเร็วของแส้ยิ่งทียิ่งเพิ่มพูน แม้แต่หมอกสีดำที่อยู่รอบกายของจีเฉวียนยังถูกฉีกกระชากออกไป ขณะที่เห็นอยู่ว่ามันกำลังจะกระทบถูกร่างของเขา 

 

 

“ติ้ง…..” 

 

 

ทันใดนั้นเองเสียงพิณที่ลึกล้ำเสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนออกมา ปลายนิ้วที่เรียวยาวของเขากวาดผ่านเพียงเบาๆ 

 

 

ก็เกิดเป็นคลื่นเสียงที่รุนแรงยิ่งกว่ากองทัพหมื่นอาชาเสียอีก! 

 

 

พลังเสียงที่แข็งแกร่งสั่นสะเทือนแผ่นฟ้าจนเลื่อนลั่น ทำให้กว่าครึ่งของแดนสวรรค์สั่นสะท้าน 

 

 

ขณะเดียวกัน หมอกสีดำที่ล่องลอยอยู่รอบกายของเขาก็รวมตัวกัน กลายเป็นดาบสีดำทองนับพันนับหมื่นเล่มอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นเองดาบสีดำทองที่คมกริบยิ่งกว่าดาบใดๆทั้งหมด ก็พุ่งออกจากข้างกายของจีเฉวียนตรงเข้าใส่ตี้เสียและเหล่าเทพทั้งหลาย 

 

 

เหล่าเทพต่างมีสภาพอเนจอนาถ ทั้งๆที่จีเฉวียนก็ยังยืนอยู่ในที่เดิม ตั้งแต่แรกเริ่มจนจบมิได้ขยับเขยื้อนไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว 

 

 

กระทั้งเส้นผมก็มิได้ยุ่งเหยิง 

 

 

เสียงพิณพอดังออกไป แม้แต่เหล่าสัตว์อสูรยังต้องหมอบกราบลงไปกับพื้น พวกมันตะกุยตะกายกรงเล็บ คิดแต่จะถอยออกไปท่าเดียว 

 

 

บนชั้นที่เก้า สัตว์ประหลาดที่กำลังสะลึมสะลือพลันลืมตาโตตื่นขึ้นมา 

 

 

………………. 

 

 

บริเวณประตูสวรรค์ตะวันตก ตู๋กูซิงหลันเหาะทลวงตรงเข้ามาชนิดที่ว่าไม่มีเวลาจะหันกลับไปมอง 

 

 

หลังล้มนักรบสวรรค์ไปสิบกว่าคนติดต่อกัน ในที่สุดนางก็สามารถเหยียบลงไป บนขอบประตูของประตูสวรรค์ตะวันตกได้แล้ว แต่ในทันใดนั้น ก็พลันได้ยินเสียงพิณที่ดังสะท้อนไปกว่าครึ่งของแดนสวรรค์ 

 

 

เท้าของนางหยุดชะงักไปในทันที 

 

 

นางหันหน้ากลับไป มองไปยังทิศทางที่มีตั้งของเจดีย์กำราบเทพมาร 

 

 

ที่นั่นมีแสงสว่างเรืองรองขึ้นมาปกคลุมทั่วท้องฟ้า ในอากาศยังปรากฏดาบสีดำอมทองจำนวนมากมายมหาศาล คมดาบนับพันตวัดผ่านฟากฟ้า เร็วจนแม้แต่สายฟ้าก็ยังไม่อาจรั้งเอาไว้ได้ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไป ทันใดนั้นก็ยิ่งได้ยินเสียงพิณดังติดๆกันออกมา 

 

 

พริบตานั้น ดวงตาของนางก็เปียกชื้น 

 

 

เสียงพิณนั่น ….นางคุ้นเคยจนไม่อาจจะคุ้นไปกว่านี้ได้อีกแล้ว 

 

 

นั้นเป็นพิณของท่านอาจารย์ เป็นท่วงทำนองของอาจารย์ ที่ชื่อว่า ‘ทัณฑ์เทพ’  

 

 

และดาบสีดำอมทองที่ระบำอยู่บนท้องฟ้า ก็เหมือนกับดาบที่จีเฉวียนเคยใช้….ไม่มีผิดเพี้ยน 

 

 

แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ห่างไกลกันมาก แต่เมื่อตู๋กูซิงหลันเร่งเร้าพลังวิญญาณขึ้นมา ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน 

 

 

เขามาแล้ว….. 

 

 

นางปิดดวงตาลง รับสัมผัสที่ได้จากเสี้ยวจิตวิญญาณที่ฉีกขาดไปของตนเอง 

 

 

จิตวิญญาณที่ถูกผนึกอยู่ในยันต์โลหิตแผ่นนั้นแนบสนิทอยู่กับทรวงอกของจีเฉวียน 

 

 

เพียงแต่ว่าครั้งนี้ ทรวงอกของเขามิได้เย็นยะเยือกอีกต่อไปแล้ว  

 

 

อุณหภูมิบนร่างของเขา มีความอบอุ่น 

 

 

ก่อนหน้านี้เพราะมุ่งมั่นจะหลบหนี ตู๋กูซิงหลันจึงมิได้แบ่งสมาธิไปยังจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ในยันต์โลหิตแผ่นนั้นเลย จึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างแบ่งภาคของตนร่างนั้นบ้าง ตอนนี้พอรับสัมผัสมา ถึงได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด…..เขากลับมาแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นหัวใจของนางก็ต้องเต้นถี่ยิบ 

 

 

ตื่นเต้น ยินดี ทั้งยังเจ็บช้ำเสียใจอย่างรุนแรง 

 

 

ราวกับเด็กน้อยที่ถูกผู้อื่นทุบตีอย่างทารุณ แม้ต้องหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนก็ไม่ยอมหลั่งน้ำตาแม้แต่น้อย แต่แล้วในทันใดนั้นบิดาแท้ๆก็พลันปรากฏตัวขึ้นมา ย่อมต้องชอกช้ำเสียใจ เจ็บใจเสียจนอยากจะถลาเข้าไปร่ำไห้เสียงดังในอ้อมอกของเขา ร้องไห้เสร็จแล้วก็จะออดอ้อน ให้โอบอุ้ม 

 

 

ฝ่าเท้าที่พึ่งจะยื่นออกไป พลันชักกลับเข้ามา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิได้ลังเลแม้แต่น้อย แต่หันหลังแล้วมุ่งหน้ากลับไปยังเจดีย์กำราบเทพมารในทันที 

 

 

อ๋ายย่าห์….นางต้องคิดๆดูสักหน่อย ว่าอีกเดี๋ยวสมควรจะถลาเข้าไปในอ้อมแขนของเขาเช่นไรจึงจะดีกว่ากัน 

 

 

พุ่งเข้าไปตรงๆ แล้วบอกเขาว่า “เสี่ยวเฉวียนเฉวียน ผู้อื่นคิดถึงเจ้าแทบเป็นแทบตายแล้ว!” 

 

 

หรือว่าจัดการประกบปาก จูบเขาต่อหน้าเหล่าเทพทั้งหลาย จูบแบบขาดใจตายไปเลย? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดๆดูแล้ว คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วย่อมไม่เลือกมาก จัดการกอดก่อน ค่อยจูบ จะอย่างไรนางล้วนต้องการทั้งหมด! 

 

 

……………………..