บทที่ 841 เจ้าอยากตายรึเปล่า

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญที่หลุดแนวป้องกันมาได้นั้นรู้สึกลิงโลดอยู่ในใจ เพราะถ้าหากเขาสามารถจับตัวหลินหรูซวนเอาไว้ได้ มันก็หมายความว่าเขาได้ทำผลงานใหญ่ให้กับเผิงติงเทียน ซึ่งหลังจากนี้เขาคงจะได้รับรางวัลเป็นอย่างงามแน่นอน!

แต่แล้วฝันของเขาก็ดับลงแทบจะในทันทีเมื่อเขาพุ่งตัวเข้ามาอยู่ในระยะ 10 เมตรห่างจากหลินหรูซวนและหลิงตู้ฉิง เพราะจู่ ๆ ก็มีเปลวไฟปริศนาลุกท่วมร่างของเขาส่งผลให้ร่างของเขากลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา!

บรรดาผู้คนที่เห็นภาพนี้ต่างก็หยุดชะงักด้วยอาการตกตะลึง เนื่องจากว่าพวกเขาไม่เห็นเลยว่าหลิงตู้ฉิงลงมืออย่างไร หรือแม้กระทั่งหลินหรูซวนที่อยู่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิงแท้ ๆ นางก็ไม่เห็นเหมือนกัน!

หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ จากนั้นเขาหยิบยันต์เคลือบหยกออกมาปึกหนึ่งและยื่นมันให้กับหลินหรูซวน และพูดว่า “นังหนู จงเอาภาพวาดเหล่านี้ไปและจงใช้มันฆ่าใครก็ตามที่เจ้าอยากให้คนผู้นั้นตาย”

“รับทราบ!” หลินหรูซวนรีบรับยันต์เคลือบหยกมาจากหลิงตู้ฉิง และจากนั้นนางก็ดึงมันออกจากปึกมาแผ่นหนึ่งและเริ่มโคจรพลังวิญญาณของนางเปิดใช้งานมันทันที

ภาพวาดที่นางได้รับมาทั้งหมดนั้นคือฝนอุกกาบาต ซึ่งเมื่อมันถูกเปิดใช้งานแล้ว อุกกาบาตเพลิงเส้นผ่าศูนย์กลางราว 1 เมตรก็ปรากฏขึ้นลอยนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือเกาะหนานชาน

หลิงตู้ฉิงชี้แนะนางอีกที “จงเพ่งจิตของเจ้าไปที่เป้าหมายแล้วพวกอุกกาบาตเหล่านั้นจะพุ่งไปหาเป้าที่เจ้าต้องการจะทำลายเอง”

“อืม!” หลินหรูซวนพยักหน้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลินหรูซวนกวาดสายตามองหาคนที่นางอยากจะสังหารเป็นคนแรกทันที ซึ่งหลังจากกวาดสายตาเพียงแค่ชั่วครู่นางก็ได้เห็นว่าตอนนี้พ่อของนางกำลังสู้อยู่กับผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง นางจึงเพ่งจิตของนางสั่งให้อุกกาบาตโจมตีผู้เชี่ยวชาญที่กำลังสู้กับพ่อของนางทันที

เมื่อได้รับคำสั่งของนาง อุกกาบาตเพลิงที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าก็พุ่งเข้าไปหาเป้าหมายของมันด้วยความเร็วระดับที่ผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญไม่มีวันหลบได้ทัน และแน่นอนว่าเมื่อมันกระทบเป้าหมาย ร่างของผู้เชี่ยวชาญผู้โชคร้ายผู้นั้นก็ระเบิดเป็นจุณไปในทันที

บรรดาผู้คนที่อยู่ฝั่งเดียวกับเผิงติงเทียน เมื่อเห็นภาพอันน่าสยดสยองเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก และเมื่อพวกเขาเห็นอีกว่าหลินหรูซวนกำลังหยิบภาพวาดอันต่อไปขึ้นมา พวกเขาก็หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อและเริ่มถอนตัวออกจากไปเกาะหนานชานไปเรื่อย ๆ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าภาพวาดอุกกาบาตนี้ไม่มีอำนาจพอที่จะสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญขึ้นไปได้ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ต่างอยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญหรือไม่ก็เหนือล้ำกันทั้งนั้น

ดังนั้นเมื่อเจอกับพลังระดับนี้ พวกเขาจะรั้งอยูที่นี่รนหาที่ตายไปทำไม?

และยิ่งไปกว่านั้นระดับการบ่มเพาะของเผิงติงเทียนนั้นอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นต้นเท่านั้น แต่หลินจ้านเผิงนั้นอยู่ในขั้นสูงสุด

หลินจ้านเผิงนั้นรู้ดีว่าหลังจากศึกนี้เขาจะต้องตายแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะลากเผิงติงเทียนลงนรกไปกับเขาให้ได้

ในทางกลับกัน เผิงติงเทียนก็ไม่ได้โง่ ตั้งแต่แรกเริ่มที่สู้เผิงติงเทียนเอาแต่บินหลบไปหลบมาตลอดเวลาเพื่อถ่วงเวลาให้พลังชีวิตของหลินจ้านเผิงหมดลง แต่น่าเสียดายที่หลังจากสู้ไปได้พักใหญ่ หลิงจ้านเผิงก็ยังไม่ตายสักที แต่สถานการณ์ทางฝั่งของเขาเองกลับแย่ลงเรื่อย ๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ เผิงติงเทียนจึงตัดใจตะโกนว่า “พวกเจ้าคอยก่อนเถอะอีกไม่กี่วันข้าจะกลับมาที่นี่ใหม่อีกรอบ! ทุกคนถอยกลับไปที่เมืองหนานหัวของข้า!”

เมื่อได้รับคำสั่ง บรรดาผู้คนที่มากับเผิงติงเทียนทุกคนต่างก็ผละออกจากการต่อสู้และบินถอยกลับไปในทันที ซึ่งแน่นอนว่าในบรรดาผู้คนที่ถอยกลับไปก็รวมไปถึงหลินซือหยวนและหลินหงตู่ที่ตามกลับไปด้วยเช่นกัน

หลินจ้านเผิงอยากจะติดตามไปฆ่าเผิงติงเทียนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเขาคิดว่าเวลาของเขาไม่น่าจะพอ ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่มองเผิงติงเทียนจากไปด้วยสายตาอาฆาต

ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเห็นว่าเผิงติงเทียนและคนอื่น ๆ ได้จากไปแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และโทรจิตบอกกับหลินซือหยวนว่า “เจ้าจงเปิดใช้งานภาพวาดที่ข้ามอบให้เจ้าได้แล้ว!”

เมื่อได้รับคำสั่ง หลินซือหยวนรีบทำตามทันที ส่งผลให้ยันต์เคลือบหยกในมือของเขาสลายออกและควันพิษที่ไร้สี ไร้กลิ่น ไร้รส ก็ฟุ้งกระจายออกไปปกคลุมทุกคนรอบข้างเขาแบบเงียบ ๆ ซึ่งไม่มีใครรู้ตัวเลยว่าพวกเขากำลังจะพบกับจุดจบ

จากนั้นเมื่อกลุ่มของเผิงติงเทียนบินต่อไปได้อีกราว 100 กิโลเมตร ร่างของพวกเขาก็ค่อย ๆ หล่นลงจากท้องฟ้าทีละคน ๆ รวมไปถึงกองทัพเมืองหนานหัว เผิงติงเทียนและคนอื่น ๆ ต่างตายกันหมดไม่มีเหลือ!

ในอีกด้านหนึ่งบนเกาะหนานชาน หลินหงเหวินมองไปที่หลินจ้านเผิงด้วยแววตาเจ็บปวด “ท่านพ่อ…”

ในตอนนี้เขามั่นใจว่าพ่อของเขากำลังจะตายจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องโกหกแบบที่แล้วมา

หลินจ้านเผิงยิ้มอย่างสงบและพูดว่า “จงอย่าเศร้าไปเลย ข้าเองอยู่มานานหลายพันปีแล้ว ซึ่งแค่นี้ข้าคิดว่ามันก็คุ้มมากพอ นับจากนี้มันจะเป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องดูแลลูกหลานของพวกเราให้ดีที่สุด แต่ก่อนที่พ่อจะไป พ่อต้องขอชมเจ้าจากใจจริงว่าเจ้าเก่งมากที่พัฒนาตระกูลมาได้จนถึงขั้นนี้ เจ้าทำได้ดีกว่าพ่อซะอีก!”

หลินหงเหวินไม่รุ้ว่าจะตอบกลับอย่างไรเมื่อได้ยินแบบนี้

หลินเหวินปิงเดินเข้ามาเช่นกัน จากนั้นโค้งคำนับและพูดว่า “หลานขอน้อมส่งท่านปู่!”

หลินจ้านเผิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนช่างพัฒนากันมาได้ดีจริง ๆ เอาล่ะข้าไปก่อนล่ะ!”

แต่ก่อนที่หลินจ้านเผิงจะทันได้จากไป หลินหงเหวินก็นึกเรื่องของหอคอยเสียงสวรรค์ออกพอดี ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกนห้ามไว้ “ท่านพ่อช้าก่อน! ข้าลืมบอกท่านไปเลยว่าตอนนี้หอคอยเสียงสวรรค์นั้นสามารถเปล่งอำนาจได้เหมือนกับที่ตำนานว่าไว้แล้ว ซึ่งถ้าท่านลองไปงก่อนมันอาจจะทำให้ท่านทะลวงไปถึงระดับนภาครามก็ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นอายุขัยท่านก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วยอีกต่างหาก!”

“หอคอยเสียงสวรรค์เปล่งอำนาจได้งั้นเหรอ?” หลินจ้านเผิงถามกลับด้วยสีหน้างุนงง

หลังจากนั้นหลินหงเหวินก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้หลินจ้านเผิงฟังจนหมดอย่างรวดเร็ว แต่ หลินจ้านเผิงกลับยังคงส่ายหัวและพูดว่า “มันไม่ทันหรอก! ในตอนนี้พลังชีวิตของข้าเหลือน้อยเกินไปแล้วไม่ว่ายังไงมันก็ไม่มีทางทำอะไรแน่นอน ว่าแต่ซวน หลานสาวของเจ้าอยู่ไหน? ขอข้าเห็นหน้านางสักหน่อยก่อนที่ข้าจะจากโลกนี้!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนจึงรีบตะโกนหาหลินหรูซวนมาในทันที

ในทางกลับกัน เมื่อหลินหรูซวนรู้ว่าปู่ทวดของนางตามนางให้ไปพบ นางก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล เนื่องจากหลิงตู้ฉิงได้พูดเอาไว้ว่าหากปู่ทวดของนางเดินมาหาตนเอง เขาถึงจะช่วยชีวิตปู่ทวดของนาง แต่ในตอนนี้ปู่ทวดของนางกลับตามให้นางไปพบซะอย่างนั้น ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้มันก็ไม่เข้ากับเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงกำหนดเอาไว้!

ทางด้านของหลินเหวินปิง เมื่อเห็นว่ารู้สาวของเขาไม่ยอมเดินเข้ามาหาหลินจ้านเผิง เขาก็ตะโกนขึ้นอีกรอบด้วยอารมณ์โมโหว่า “ทำไมเจ้ายังไม่เข้ามาคารวะปู่ทวดของเจ้าอีก? ส่วนเจ้าก็ด้วยหลานอู๋ เจ้าเองก็จงมาคารวะด้วยเช่นกัน!”

หลินหรูซวนเหลือบไปมองหลิงตู้ฉิงที่อยู่ข้าง ๆ และเมื่อนางเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่มีท่าทีที่จะขยับไปไหนเลย นางจึงกลั้นใจฝืนคำสั่งของพ่อนางโดยที่นางไม่ยอมขยับตัวไปไหนด้วยเช่นกัน

ที่นางทำเช่นนี้เพราะนางหวังว่าปู่ทวดของนางจะเดินเข้ามาหานางด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็เข้ากับเงื่อนไขที่หลิงตู้ฉิงเคยบอกเอาไว้ว่าถ้าปู่ทวดของนางเข้ามาหาเขาโดยที่ยังมีลมหายใจอยู่ เขาจะช่วยปู่ทวดของนาง!

หลินเหวินปิงมองลูกสาวของเขาเองกับหลิงตู้ฉิงที่ไม่ยอมขยับเข้ามาหาด้วยสายตางุนงง เนื่องจากเขาไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนนี้ถึงได้ปฏิเสธไม่ยอมมาร่ำลาหลินจ้านเผิง?

ทางด้านของหลินจ้านเผิงก็เห็นเหตุการณ์นี้เช่นกัน ซึ่งเขาเองก็รู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อยแต่เวลาของเขาใกล้จะหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพุ่งเข้ามาหาหลินหรูซวนด้วยตัวเองเพื่อร่ำลา

เมื่อเห็นว่าปู่ทวดของนางพุ่งตัวมาหยุดอยู่ตรงหน้า หลินหรูซวนก็แทบจะตะโกนร้องออกมาด้วยความดีใจว่าในที่สุดแผนของนางก็สำเร็จ! นางรีบหันกลับไปมองหลิงตู้ฉิงทันทีพลางดึงแขนเสื้อของเขา เพื่อเตือนว่าเขาต้องรักษาคำพูดที่เคยเอ่ยกับนางเอาไว้

หลินจ้านเผิงยิ้มให้กับหลินหรูซวน และพูดว่า “ว่าไงเด็กน้อย มาให้ข้าดูหน้าเจ้าใกล้ ๆ เป็นครั้งสุดท้ายหน่อ…”

แต่ก่อนที่หลินจ้านเผิงจะได้ทันพูดจบประโยค หลิงตู้ฉิงกลับถามแทรกขึ้นว่า “เจ้าพอแล้วรึยังกับการมีชีวิตอยู่? หรือว่าเจ้าอยากจะตายเลยตอนนี้ให้มันจบ ๆ ไป?”

“หะ?” หลินจ้านเผิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้จากปากของผู้เชี่ยวชาญที่ดูจากภายนอกน่าจะอยู่รุ่นเดียวกับเหลนของเขาแบบนี้!