ทุกคนรู้เหตุผลของความแตกต่างนี้ นักเรียนสำนักฝึกหลวงได้รับการปกป้องจากทั้งราชสำนักและพระราชวังหลี เห็นได้ชัดจากการที่สำนักฝึกหลวงเริ่มรับนักเรียนใหม่เมื่ อสามปีก่อน และตอนนี้มีนักเรียนมากกว่าสามร้อยคน แต่มีนักเรียนแค่ไม่กี่คนที่มายังแนวรบ ทั้งหมดล้วนทำงานธุรการ
ทว่าไม่มีใครตำหนิสำนักฝึกหลวง
นั่นก็เพราะทุกคนเข้าใจการปองร้ายเบื้องหลังการจัดการของราชสำนักในครั้งนี้ พวกเขาเข้าใจว่าทำไมพระราชวังหลีถึงเป็นกังวล
ที่สำคัญที่สุด นอกจากนักเรียนที่ทำหน้าที่ธุรการแล้ว สำนักฝึกหลวงยังมีอีกคนหนึ่งในแนวรบ
แม้ว่าคนผู้นั้นจะลืมตัวตนของเขาไป แต่ซูม่ออวี๋ที่ดูแลสำนักฝึกหลวงในจิงตูไม่ลืม หรือเหล่านักบวชของพระราชวังหลีที่รับผิดชอบในเรื่องที่เกี่ยวข้องก็ไม่ลม โดยเฉพาะพวกที่มาจากสำนักการศึกษากลาง เขาเป็นคนของสำนักฝึกหลวง เป็นคนที่สำคัญมาก
วั่วฟูเจ๋อซิ่วเป็นคนรุ่นเยาว์เผ่าหมาป่าที่แข็งแกร่งที่สุด และยังเป็นรองผู้คุมกฎสำนักฝึกหลวงอีกด้วย
หลังจากโจวทงตาย เจ๋อซิ่วก็ออกจากจิงตูมายังแนวรบเพื่อต่อสู้กับเผ่ามาร กลับคืนสู่วิถีชีวิตที่เขาคุ้นเคยที่สุดอีกครั้ง
ไม่ทราบว่าเขายังจำชีวิตในจิงตูและสำนักฝึกหลวงได้หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นรองผู้คุมกฎสำนักฝึกหลวง ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบกับนักเรียนของสำนักฝึกหลวงที่ถูกส่งมาแนวรบเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่ออกคำสั่งให้พวกเขาทำอะไรเลย เขาเองก็ไม่ยอมรับคำสั่งทหารที่จะเป็นผู้บังคับการด่านหลานกวน และเมื่อรองเจ้าสำนักเด็ดดาราสื่อสารผ่านขุนพลเทพเซวียเหอที่ได้รับอภัยโทษแล้วในตอนนี้ เพื่อต้องการแสดงความปรารถนาดีโดยให้เจ๋อซิ่วฝึกทหารม้าเกราะดำของกองทัพเฮยซาน เขาเองก็ปฏิเสธไป แต่กลับไปทำหน้าที่เดิมในกองทัพ
สอดแนม สืบข่าว ซุ่มโจมตี ลอบสังหาร…จะเรียกอย่างไรก็ได้ แต่ทั้งหมดล้วนมีความหมายเดียวกัน
เจ๋อซิ่วยังมีชีวิตอยู่และต่อสู้ตามวิถีทางของตน
ชีวิตเขาเดิมก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วนอยู่แล้ว
ตามวิถีของเขา ย่อมต้องสู้ตามลำพังเป็นธรรมดา
ดังเช่นหลายปีที่ผ่านมา ทุกคนรู้สึกว่าวิธีการต่อสู้นี้โบราณเกินไป ป่าเถื่อนเกินไป กระหายเลือดและชั้นต่ำ ยากจะดำรงอยู่บนทุ่งหิมะได้นานนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกว่าจะได้ข่าวการตายของเขาได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ยังดื้อดึงรอดชีวิตมาได้ในขณะที่เก็บเกี่ยวผลจากการรบ
ในเวลาสองปีนี้ ผลงานทางทหารที่เขาทำไว้ด้วยตัวคนเดียวเทียบเท่ากับผลงานของบางพรรคบางสำนักเลยทีเดียว
เจ้าหน้าที่และทหารของศูนย์บัญชาการกองทัพเฮยซานและด่านหลานกวนเคยคิดว่าเรื่องนี้จะถูกเล่าขานไปอีกหลายปี
เจ๋อซิ่วเป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำผลงานทางทหาร
และตอนนี้ ผลงานทางทหารของเขาก็เป็นผลงานทางทหารของสำนักฝึกหลวง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะตำหนิสำนักฝึกหลวงได้
ในป้อมปราการสิบกว่าแห่งทางตอนเหนือ มีคนเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่มีผลงานทางทหารเทียบกับเจ๋อซิ่วได้
น่าสนใจที่เจ๋อซิ่วมีชื่อเสียงในขณะที่คนผู้นั้นไม่มีใครรู้จัก
คนผู้นั้นเคยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในกองบัญชาการทหารพิชิตอุดร ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างเขาถูกลดขั้นไปอยู่ชีหลี่ซีที่ห่างไกล กลายเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาในกองทัพม้าลาดตระเวน บางทีอาจเพราะเขามีทักษะในเชิงกลยุทธ์ มีความแข็งแกร่งอย่างมาก หรือไม่ก็มีโชคอันน่าทึ่ง ตอนที่เขาอยู่ชีหลี่ซีเขาได้นำทัพลาดตระเวนไปกับหัวหน้าแซ่เฉินสร้างปาฏิหาริย์นับไม่ถ้วน ได้รับชัยชนะมากมาย สะสมคุณงามความดีเอาไว้มากมายเหลือคณา
อย่างไรก็ตาม บางทีอาจเพราะเขาถือดีเกินไป กลั่นแกล้งผู้ใต้บังคับบัญชา หรืออาจเป็นคนน่ารังเกียจ หรืออาจเป็นเพราะเขามาจากทางใต้ไม่ใช่คนของต้าโจว เจ้าหน้าที่คนนี้มีความสัมพันธ์กับคนในค่ายย่ำแย่มาก เขาอาจตบหัวผู้มีอำนาจและปฏิเสธกฎกองทัพ ความดีความชอบที่เขาสะสมมาอย่างมากมายมหาศาลก็ทำให้เขาได้รับโทษน้อยลงและไม่เคยถูกรายงานอย่างเป็นทางการแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมีชื่อเสียงเหมือนกับเจ๋อซิ่ว
ว่าตามเหตุผลแล้ว ด้วยความสามารถและความเร็วในการสะสมผลงานของคนผู้นี้ ตราบใดที่เขามีปัญญาสักหน่อย เขาย่อมเป็นสมาชิกที่กองบัญชาการทหารพิชิตอุดรให้ความสำคัญ มีโอกาสกลายเป็นขุนพลเทพที่อายุน้อยที่สุดของกองทัพต้าโจวในอีกไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม คนสำคัญในกองบัญชาการทหารพิชิตอุดรไม่เคยให้โอกาสนี้กับเขา หลังจากนั้นผู้คนก็เริ่มเข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร
การกดขี่ภายในที่มีต่อเจ้าหน้าที่หนุ่มรวบรวมความไม่พอใจและการตำหนิเรื่องความไม่ยุติธรรมของค่ายทหารที่ชีหลี่ซี หลังจากการต่อสู้เมื่อสามเดือนก่อน อารมณ์เหล่านี้ก็ระเบิดออกในที่สุด หลังจากดื่มเหล้าคืนหนึ่ง กองทหารม้าก็ถล่มถนนที่คึกคักที่สุดของชีหลี่ซีให้กลายเป็นซากปรักหักพัง
ที่เกิดขึ้นตามมานั้นง่ายมาก เจ้าหน้าที่หนุ่มถูกไล่ออกจากกองทหารม้าลาดตระเวนด้วยคำสั่งโดยตรงจากกรมทหารในจิงตู ถึงกับถูกขับไล่ออกจากกองบัญชาการทหารพิชิตอุดรและถูกส่งไปยังพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลอย่างยิ่ง
ที่แห่งนี้เรียกว่าผาชัน ตั้งอยู่ในเชิงเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของหานซาน นี่ไม่ใช่ป้อมปราการยุทธศาสตร์ที่ถูกเผ่ามารโจมตีอย่างหนัก หรือปกป้องเส้นทางขนส่งเสบียงอันสำคัญ เป็นแค่ที่เลี้ยงม้าห่างไกลและน้อยคนนักที่จะรู้จัก
ที่แห่งนี้ไม่มีพืชพรรณใดนอกจากหญ้าสีน้ำค้างแข็งที่เติบโตท่ามกลางหน้าผา เป็นสถานที่เปลี่ยวร้างอย่างมาก แม้แต่นกที่อพยพกลับสู่แดนเหนือจากทางใต้ก็ยังไม่หยุดที่นี่ เหตุผลเดียวที่มีคอกม้าอยู่ในที่แห่งนี้ก็คือหญ้าสีน้ำค้างแข็งเป็นอาหารโปรดของม้ามังกร
ม้ามังกรเป็นสัตว์พาหนะที่สำคัญที่สุดของกองทัพต้าโจว สร้างคอกม้าเพื่อเห็นแก่ความชอบของพวกมันนับได้ว่าเป็นการกระทำที่เห็นคุณค่าของพวกมันมาก แต่กับคนที่ถูกขับไล่มาที่แห่งนี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย
เจ้าหน้าที่หนุ่มเป็นอีกหนึ่งคนโชคร้ายที่ถูกขับไล่มายังผาชันในช่วงหลายร้อยปีมานี้
เจ้าหน้าที่และทหารในผาชันรู้ประวัติและความสำเร็จของเขา เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเห็นใจอย่างมาก แต่มีใครที่คิดว่าทำไมเจ้าหน้าที่หนุ่มที่โดดเด่นจึงถูกกดขี่จากพวกหัวหน้า การกดขี่นี้ดูเหมือนจะตรงมาจากกรมทหารในจิงตู พวกเขาไม่สนเช่นกันว่าคอกม้าแห่งนี้ห่างไกลจากการสู้รบ ทำให้ไม่อาจสร้างผลงานทางทหารได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องถูกยอดฝีมือเผ่ามารฆ่าในที่แห่งนี้เช่นกัน
โดยสรุปแล้วทั้งหมดนี้ดูไม่สมเหตุผล แต่ก็มีเหตุผลของมัน แค่ไม่มีใครรู้ในตอนนั้นเท่านั้นเอง
ในหมู่คนที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่คนนั้นย่อมรู้เหตุผล แต่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่บางทีอาจเพราะเหตุผลพวกนั้นที่เขาอยู่ผาชันมานานสองปีด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ร่างกายเหม็นกลิ่นสุราทุกวี่วัน
การดื่มสุราดับทุกข์มักไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็โชคดีที่มันไม่ส่งผลกระทบต่อหน้าที่ของเขา ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดที่เขาได้รับก็คือเขาหลับลึก ทุกคืนเขาจะหลับใหลจนรุ่งสาง เรื่องเช่นนี้เป็นไปจนกระทั่งคืนหนึ่ง เสียงตุบสองเสียงก็ดังมาจากด้านหลังของค่าย…
เขาโดดขึ้นและตะโกนออกนอกหน้าต่างอย่างโมโห “คนจะนอนสักหน่อยไม่ได้หรือไง”
ไม่มีใครตอบคำถามเขา และเขาก็หลับไปอีกครั้ง แต่ไม่นานก็มีคนมาปลุกเขาอีกครั้ง
เขามายังที่คอกม้าบรรจบกับหน้าผาพร้อมกับผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาก็อดสูดหายใจไม่ได้
ทางลาดมีร่องรอยการชนและฝุ่นก็ลอยฟุ้งในอากาศ ชายคนหนึ่งนอนบนพื้นแต่เจ้าหน้าที่ไม่อาจบอกได้ว่าเขายังมีชีวิตหรือไม่ เด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีนั่งอยู่ด้านข้างสองมือกอดเข่าเอาไว้ เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายปกคลุมไปด้วยดินโคลน ใบหน้ากระเซอะกระเซอ