เจ้าหน้าที่หนุ่มเดินไปยังร่างชายที่ร่วงลงมา
ใบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นปกคลุมไปด้วยเลือด กระนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยังบอกได้ว่าเขายังหนุ่มอยู่มาก
เจ้าหน้าที่นั้นได้กลิ่นที่จางจนแทบไม่อาจสัมผัสได้ และขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขาคุกเข่าลงข้างชายคนนั้นและเริ่มตรวจสองบาดแผล เขาพบว่าชายคนนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล แขนขวาหักเป็นสิบกว่าท่อน
เห็นภาพการบาดเจ็บสาหัสนี้ เขาก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม มองขึ้นไปเห็นรอยทางสองสายที่ถูกวาดผ่านก้อนหินและหญ้าน้ำค้างแข็งบนพื้นผิวหน้าผา ไม่ยากที่จะสรุปว่าคนสองคนนี้ตกลงมาจากที่สูง
เจ้าหน้าที่หนุ่มรู้ว่าสูงขึ้นไปบนหน้าผาเป็นถนนที่เคยใช้โดยกองทัพ ทอดยาวไปสู่เมืองอันคึกคักทางตะวันออกของหานซาน แม้ว่าจะถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ก็ยังใช้เดินทางได้ มีโจรกับพวกลักลอบขนของเถื่อนเสี่ยงเดินทางอยู่เป็นระยะๆ หรือสองคนนี้จะตกลงมาจากที่นั่น หลังจากตกลงมาสูงขนาดนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาต้องบาดเจ็บสาหัส ไม่ตายคาที่ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เจ้าหน้าที่หนุ่มรับน้ำสะอาดกับเครื่องมือจากผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนเริ่มลงมือทำความสะอาดและทำแผลให้กับชายหนุ่มที่หมดสติ ทำให้แน่ใจว่าสถานการณ์ไม่แย่ลงไปสักระยะหนึ่ง หลังจากทำเสร็จแล้ว เขาก็ยืนขึ้น ล้างมือและเดินไปที่เด็กสาว
เขาคุกเข่าลงอีกครั้งและกล่าวกับเด็กสาว “หวัดดี”
เด็กสาวไม่ตอบ นางนั่งกอดเข่าดวงตาทึมทึบจับจ้องไปที่ชายหนุ่มบาดเจ็บ ใบหน้าซีดขาวดูละเอียดอ่อนอย่างมาก
เจ้าหน้าที่หนุ่มวางมือไว้ตรงหน้าดวงตานางและดีดนิ้ว จากนั้นเขาก็ถาม “พวกเจ้าสองคนเป็นใคร”
เด็กสาวถอยหลังไปราวกับหวาดกลัว
เจ้าหน้าที่เห็นประกายความหวาดกลัวในดวงตาของนาง ก็อดคิดถึงดวงตาน่าสงสารคู่นั้นในถ้ำอาชาเขาเดียวเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้
“เราได้ถามไปหลายคำถาม แต่สาวน้อยไม่เคยตอบเลยสักครั้ง หากนางไม่เป็นใบ้ก็คงหูหนวก”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคิดแล้วเสริม “แน่นอน นางอาจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก”
“เมื่อเจ้ารู้ว่านางอาจกลัว ทำไมถึงได้เอาแต่ถามคำถาม”
เจ้าหน้าที่หนุ่มย้อนขณะเขาลุกขึ้นและเดินกลับไปที่ค่าย
ในตอนนี้ เสียงที่แผ่วเบาแต่ชัดเจนดังมาจากด้านหลัง
“หิว”
เจ้าหน้าที่หนุ่มหันกลับไป
เด็กสาวมองมาที่เขาอย่างเหม่อลอย
“ข้าอยากกินเนื้อ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มตะลึงงันไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ยิ้ม ดีดนิ้วอีกครั้งในสายลมภูเขาเย็นเยียบ
“เจ้าพูดได้ก็ดีแล้วยังรู้จักขออีกด้วย”
.……
……
.……
……
ในแดนเหนือ ฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวต่างกันไม่มากนัก คอกม้าที่ผาชันตั้งอยู่ลึกเข้าไปในเทือกเขา จึงค่อนข้างอบอุ่นกว่า แต่หลังจากตากลมแห่งแดนเหนือมาหนึ่งคืน มันก็หนาวเหน็บ โชคยังดีที่เตียงคั่ง[1]ในค่ายถูกอุ่นไว้นานแล้ว จึงไม่มีทหารหนาวตาย ในทางกลับกันมีบางคนถูกลวกพอง
“พวกเจ้าโง่มาก ไม่ต้องสงสัยเลยที่ถูกส่งมาเลี้ยงม้าที่นี่”
เจ้าหน้าที่หนุ่มดุด่าผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนที่จะไล่พวกเขาไป จากนั้นเขาก็หันไปที่มุมห้อง
เตียงคั่งสิ้นสุดที่ตรงนั้น ดังนั้นมันจึงหนาวที่สุด โดยเฉพาะส่วนที่ติดกับผนังทิศเหนือ ที่ซึ่งอิฐไม่ต่างอะไรไปจากก้อนน้ำแข็ง
แต่เด็กสาวก็ยืนกรานจะอยู่ตรงนั้น บางทีอาจเป็นเพราะชายหนุ่มบาดเจ็บอยู่บนเตียงคั่ง หรือบางทีเพราะตรงนั้นอยู่ใกล้กับเตาที่สุด หม้อบนเตากำลังต้มเนื้อซึ่งกำลังเดือดปุดๆ
นางถือชามกับตะเกียบไว้ในมือ ดวงตาจับจ้องไปที่เนื้อตุ๋น ทำให้นางดูทึมทึบยิ่งกว่าเดิม
“เมื่อเจ้ารู้จักกลัวที่จะถูกลวก ก็ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้ปัญญาอ่อนจริงๆ”
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้าให้นาง จากนั้นก็เดินไปที่ขอบของเตียงคั่งและนั่งลง
เมื่อเวลาผ่านไป เด็กสาวก็ผ่อนคลายการระวังตัวลงบ้างแต่ชายหนุ่มที่บาดเจ็บยังคงหมดสติ
เขาเริ่มค้นของที่ชายคนนั้นพกติดตัว หวังว่าจะพบเบาะแสบางอย่าง แต่เขาก็ต้องกลับมามือเปล่า
ชายหนุ่มไม่ได้พกเงิน เอกสารเดินทาง ทะเบียนบ้าน หรือแม้แต่เศษกระดาษ เสื้อผ้าสร้างขึ้นจากวัสดุที่ธรรมดาสามัญที่สุด และเขาก็ไม่ได้พกเครื่องประดับใดที่อาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีแค่กำไลลูกปัดหินบนข้อมือ
ลูกปัดหินพวกนั้นดูหยาบกระด้างทีเดียว ไม่มีอะไรพิเศษเลย
เมื่อนึกถึงกลิ่นที่เขาได้สัมผัสตรงหน้าผา เจ้าหน้าที่หนุ่มก็ก้มหน้าไปที่คอชายหนุ่มและสูดหายใจลึก แม้ว่าเขาไม่แน่ใจว่ามันเป็นกลิ่นที่เขาสัมผัสได้ก่อนหน้านี้ แต่เขาก็มั่นใจมากว่ามีกลิ่นสมุนไพรมากมายมาจากร่างของชายหนุ่มที่บาดเจ็บ
เขาได้กลิ่นสมุนไพรอย่างน้อยสิบเจ็ดชนิดบนร่างเขา
“เจ้าเป็นนักปรุงยาสินะ มิน่าเล่าเจ้าถึงรีบร้อนและเสี่ยงอันตรายเช่นนี้”
เขามองไปที่ชายหนุ่มและถอนหายใจ “ตายเพื่อเงิน ข้าคิดว่าเจ้าคงมาถูกที่แล้ว”
ไฟสงครามลุกไหม้ไม่หยุดมาสองปีแล้ว แม้ว่าเมืองต่างๆ กับแดนใต้ร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือ ทรัพยากรมากมายก็ยังขาดแคลนในแนวรบ โดยเฉพาะเครื่องประกอบยา การที่ศูนย์บัญชาการกองทัพต่างๆ ขาดแคลนยานั้นไม่ใช่ความลับอันใด นักปรุงยาที่ไม่ได้รับอนุญาตจากราชสำนัก ตราบใดที่สามารถนำส่วนผสมยามายังแนวรบได้ ก็สามารถขายมันได้อย่างรวดเร็วและได้กำไรมากมาย ส่วนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและบทลงโทษอันเข้มงวดของราชสำนัก เรื่องพวกนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของคนพวกนี้
ทหารผู้ช่วยนำน้ำร้อนเข้ามาและกล่าวกับเขา “ใต้เท้า ให้เราเป็นคนจัดการเถอะ”
เจ้าหน้าที่หนุ่มเริ่มเห็นด้วย แต่เมื่อเห็นเด็กสาวนั่งอยู่ที่ริมผนัง เขาก็ส่ายหน้า
เด็กสาวกำถ้วยและตะเกียบ ดวงตาทึมทึบเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ บางทีอาจเป็นด้านชา มีแต่ตอนมองไปที่เนื้อในหม้อจึงจะอบอุ่นขึ้นบ้าง นางเหมือนกับสัตว์อสูรตัวน้อยที่ถูกทรมานมานับไม่ถ้วน ทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจ
“ให้ข้าทำจะดีกว่า เมื่อข้าเป็นคนช่วยเขา ข้าก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะรอด”
ตอนที่เจ้าหน้าที่หนุ่มตัดสินใจ เขาไม่รู้เลยว่าเด็กสาวที่ไม่เต็มบาทนี้จะทำให้เขานึกไปถึงเรื่องในอดีตเกี่ยวกับองค์หญิงเผ่ามาร นับประสาอะไรกับเรื่องที่ว่าชายหนุ่มที่หมดสตินั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา
เขาแค่รู้สึกว่าเด็กสาวนี้ค่อนข้างน่าสงสาร ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าชายหนุ่มบาดเจ็บจะหมดสติอยู่ตลอดเวลา ดวงตาปิดสนิท แต่เขาก็ส่งความรู้สึกสงบและสะอาดอย่างอธิบายไม่ได้ออกมา สรุปแล้ว เขาค่อนข้างดูแล้วสบายตา
ชายหนุ่มกับเด็กสาวที่ตกลงมาจากเทือกเขาอยู่ในคอกม้าที่ผาชัน ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่และทหารในที่แห่งนี้เช่นนี้เอง
เจ้าหน้าที่หนุ่มลงแรงไปมากที่สุด ทั้งต้มเนื้อและรักษาแผลที่เป็นเรื่องสำคัญอยู่ตลอด
หลังจากผ่านไปหลายวัน ชายหนุ่มก็ฟื้นขึ้นจากการหมดสติในที่สุด
เขาไม่ได้ลืมตาขึ้นในทันที แต่ใช้เวลาห้าลมหายใจเพื่อสงบสติ จากนั้นก็ทำสมาธิเพื่อสำรวจอาการบาดเจ็บ
หลังจากยืนยันความสาหัสของอาการบาดเจ็บแล้วเขาก็ลืมตาขึ้นในที่สุด
สิ่งแรกที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาก็คือเจ้าหน้าที่หนุ่ม
เขาคิดในใจ แม้ว่าคนผู้นี้จะหนวดเครารุงรัง แต่ก็ดูไม่ดุร้ายอันใด ออกจะสบายตาด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปนานเจ๋อซิ่ว ถังซานสือลิ่ว โก่วหานสือกับกวนเฟยไป๋ถึงได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
ทั้งคนของสำนักฝึกหลวงและคนของสำนักกระบี่หลีซานล้วนนิ่งเงียบไปนานและคิดว่า พวกเจ้าสองคนตาบอดหรือไง
[1] เตียงคั่ง (炕) เป็นแท่นก่ออิฐที่มีเตาไฟอยู่ด้านล่าง ทำให้อุ่นเมื่อนอนอยู่ด้านบน