ภาคที่ 6 บทที่ 97 นักรบ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 97 นักรบ

ผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณส่วนมากอยู่ที่ใจกลางสุสานซึ่งมีสวนดอกไม้ปลูกไว้ให้พักผ่อนหย่อนใจ

เมื่อเยี่ยเฟิงหานกับเหยียนท่าไปถึง ก็เห็นเผ่าวิญญาณระดับสูงกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ ทั้งยังมีเผ่าวิญญาณอีกตนถือหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ ใกล้ดอกไม้ หรือในศาลาหลังน้อย อ่านหนังสือกันเงียบ ๆ อีก

เป็นภาพที่สงบสุขยิ่ง รู้สึกราวกับไร้เรื่องราวความโกลาหลที่ใกล้จะเกิด

“ดูสบายใจกันมากนะ” เยี่ยเฟิงหานอดพึมพำไม่ได้

“ก็เป็นเผ่าวิญญาณนี่นา” เหยียนท่าตอบ “ยอมสละร่างกายแล้ว ด้านหนึ่งก็เหมือนตายไปแล้วนั่นล่ะ เราเห็นวัฏจักรชีวิตมาก็มาก เราก็ยิ่งรักสันโดษมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็กลายเป็นไม่สนใจไม่ใส่ใจไป”

“แต่เวลาถูกส่งออกไปทำภารกิจก็ไม่เห็นว่าจะแยแสอะไรเลยนี่นะ” เยี่ยเฟิงหานว่า

เหยียนท่าตอบ “ความไม่แยแสเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง การทำศึกคือการตัดสินใจ ทั้งสองอย่างไม่ใช่สิ่งที่ขัดแย้งกัน”

เยี่ยเฟิงหานขบขัน “ช่างปรัชญาจริง”

“ใช้ชีวิตอยู่มานานก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดเช่นนั้น”

เยี่ยเฟิงหานจึงจบบทสนทนาที่ตรงนั้น “แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อ ให้เดินถามไปเรื่อย ๆ เช่นนี้หรือ ?”

“ให้ข้าลองเถอะ” เหยียนท่าเอ่ย

เขาเข้าไปหาผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือบ่อน้ำแล้วโค้งคำนับให้ กล่าวว่า “ทำความเคารพท่านผู้อาวุโสอากู่ซือ”

เผ่าวิญญาณนามอากู่ซือยังคงเหม่อลอย

เหยียนท่าไม่กล่าวคำและรออย่างเงียบเชียบ

ผ่านไปนาน อากู่ซือจึงตอบ “ข้าจำชื่อเจ้าไม่ได้เลยเผ่าวิญญาณหนุ่มเอ๋ย”

เหยียนท่าตอบ “ข้าชื่อว่าเหยียนท่า เคยพบท่านครั้งหนึ่งเมื่อสามสิบสองปีก่อน ตอนนั้นท่านช่วยชี้แนะความรู้ให้ข้า”

อากู่ซือตอบ “อภัยให้ข้าด้วย ดูเหมือนว่าจะจำไม่ได้”

“ข้าไม่แปลกใจหรอก ชั่วชีวิตท่านพบเจอคนอื่นมามากมาย” เหยียนท่าเอ่ยเสียงเคารพ

เยี่ยเฟิงหานไร้คำพูด

นับเป็นบทสนทนาที่เห็นได้ทั่วไประหว่างเผ่าวิญญาณสองตน

เพราะเผ่าวิญญาณทิ้งกายเนื้อไปแล้ว มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน เวลาสามร้อยปีสำหรับพวกเขาเสมือนน้ำหยดหนึ่งหยดลงมหาสมุทร ดังนั้นถึงได้กล่าวว่า ‘เด็กคนนี้อายุแค่สามร้อยปีเอง’ หรือ ‘ไม่ได้เจอกันตั้งห้าร้อยปีเลยนะ’ ออกมาได้

เหยียนท่าว่าต่อ “ท่านผู้อาวุโสอากู่ซือ พวกมนุษย์เดินหน้ามารวดเร็วไม่ใช่น้อย แต่เราเหมือนนั่งรออยู่เฉย ๆ ทำให้ข้าเป็นกังวลยิ่งนัก”

อากู่ซือตอบเสียงเรียบ “ไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนี้ เหยียนท่าหนุ่มเอ๋ย พวกเราเป็นเผ่าวิญญาณ มีความมั่นใจและมีศักดิ์ศรีเป็นของตน ไม่ว่าศัตรูจะทรงพลังสักเพียงไหน หรือเราจะเป็นมิตรมากเพียงใด สุดท้ายแล้วเราก็จะกำชัยมาได้”

“เป็นมิตรหรือ?” เยี่ยเฟิงหานอดหัวเราะขึ้นไม่ได้

“เจ้าทาส เจ้ามีปัญหางั้นหรือ?” อากู่ซือเหลือบมอเยี่ยเฟิงหาน

เยี่ยเฟิงหานโค้งตัวคำนับเงียบเชียบก่อนกล่าว “ท่านผู้อาวุโสอากู่ซือ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ข้าได้เป็นทาสเผ่าวิญญาณ กระนั้นก็ขออภัยด้วยที่ข้าไม่สามารถเห็นด้วยกับผู้อาวุโสเนื่องจากประสบการณ์ที่ข้ามีมา”

“ไม่เป็นไรหรอก เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเครื่องแสดงถึงสติปัญญาของเจ้า ข้าไม่ได้ออกจากที่นี่นานแล้ว ทั้งยังไม่ได้เห็นทาสที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนมานานแล้วเช่นกัน เจ้าอยากพูดอะไรเล่า ?”

เยี่ยเฟิงหานตอบ “ข้ารู้สึกว่า แม้เผ่าวิญญาณจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นมิตร และในโลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหลไปนี้ หาความสงบไปก็ไร้ประโยชน์”

อากู่ซือคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบเสียงเรียบ “นั่นก็เป็นเพียงในความคิดของเจ้า เจ้ามนุษย์ มนุษย์มีอายุขัยสั้น กระทั่งคนจากตระกูลกู่ที่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลยังอยู่ได้เพียงสามพันปีเท่านั้น แต่สำหรับเผ่าวิญญาณ สามพันปีนั้นก็เหมือนผ่านไปในพริบตา อายุขัยที่ยืนยาวของพวกเราทำให้ไม่จำเป็นต้องทำการต่อสู้ เจ้าอาจจะไม่รู้แต่ว่า…. แท้จริงแล้วเผ่าวิญญาณจากอาณาจักรหมองหม่นไม่มีใครแก่ตาย แต่ตายเพราะตกอยู่ในเงื้อมมือศัตรูต่างหาก”

เยี่ยเฟิงหานชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว มองในเชิงชีวภาพ เผ่าวิญญาณไม่มีเหตุผลให้ต้องต่อสู้”

ยิ่งสิ่งมีชีวิตมีอายุขัยยาวนานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายากมากขึ้นเท่านั้น

เผ่าวิญญาณมีอายุขัยยาวนานเกินไป เป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าวิญญาณส่วนมากจึงไม่คิดต่อสู้เพื่ออะไรอีก การที่สูญเสียประสาทสัมผัสส่วนใหญ่ไปทำให้มีเพียงไม่กี่สิ่งในใต้หล้าที่ทำให้พวกเขาสัมผัสถึงอารมณ์ได้

“แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดเผ่าวิญญาณถึงได้ยืนกรานจะโจมตีและจับตัวผู้อื่นมาเป็นทาสอย่างไร้เหตุผลเล่า ?” เยี่ยเฟิงหานถาม

ความบาดหมางร้ายแรงที่สุดระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าวิญญาณคือการที่พวกเขาแอบเข้ามาในอาณาเขตมนุษย์และบังคับคนให้ไปเป็นทาส

เช่นนี้มันเกินทนกว่าการสังหารเสียอีก

“เพื่อความอยู่รอด” อากู่ซือตอบ “เผ่าวิญญาณจะอยู่อย่างสงบก็ได้ แต่ถึงเราจะมีความต้องการเพียงเล็กน้อย เราก็ยังมีความต้องการอยู่ ดังนั้นจึงต้องต่อสู้เพื่อทำความต้องการนั้นให้สำเร็จ และหากมีการต่อสู้ก็ต้องมีความตาย เพื่อความอยู่รอดของเรา เผ่าวิญญาณจึงถูกบังคับให้ต้องหาวิธีเพิ่มความแข็งแกร่งไปเรื่อย เหตุผลของทุกสิ่งทุกอย่างก็มาจากเรื่องนี้”

เช่นนั้นแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบกับการที่พวกท่านกลายเป็นเช่นนี้คือใต้หล้างั้นหรือ ? เยี่ยเฟิงหานคิด

แต่มีใครบ้างที่ไม่เอาชีวิตรอดด้วยการต่อสู้ ?

หากเผ่าวิญญาณไม่ต่อสู้ก็จะหายไป แล้วเผ่ามนุษย์จะได้รับการงดเว้นหรือ?

แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดอากู่ซือฟังดูมีเหตุผล

เยี่ยเฟิงหานเคยคิดว่า ‘เผ่าวิญญาณ’ เป็นคำที่มีความหมายเหมือนกับความเลือดเย็น ความชั่วร้าย และความร้ายกาจ แต่ตอนนี้ที่ได้พบกับอากู่ซือและได้ฟังมุมมองของอีกฝ่าย เขาถึงได้พบว่าแต่ละเผ่าพันธุ์ก็มีเหตุผลในการกระทำต่าง ๆ ที่พวกเขาเองก็ไร้ทางเลือกเช่นกัน

เมื่อไร้ทางเลือกก็รักษาความชอบธรรมหรือปกป้องดินแดนไม่ได้ จะอยู่บนจุดสูงสุดได้ก็มีแต่ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น

เผ่าวิญญาณและเผ่ามนุษย์เหมือนกันในด้านนี้

เยี่ยเฟิงหานได้แต่ก้มหัวเงียบ ๆ

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่อยากถกเถียง แต่เป็นเพราะตัวตนในตอนนี้ทำให้เขาถกเถียงไม่ได้

เหยียนท่าดึงบทสนทนากลับมาได้อย่างทันท่วงที “ผู้อาวุโส ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าครั้งนี้จะรับมือนิกายไร้ขอบเขตอย่างไร ?”

อากู่ซือเหลือบมองเหยียนท่า “เจ้าดูสนใจเรื่องนี้นัก”

“ข้าอดกังวลกับชะตาของเผ่าวิญญาณไม่ได้”

“แม้เจ้าจะต้องตายงั้นหรือ ?” อากู่ซือถาม

เหยียนท่าได้ยินก็อึ้งไป ในใจได้ยินแล้วพลันเกิดความไม่สบายใจขึ้นราง ๆ แต่ก็ยังใจแข็งเดินหน้าต่อ “ขอรับ เพื่อเผ่าวิญญาณ ข้าพร้อมสละแม้วิญญาณข้าเอง”

มนุษย์สละร่าง เผ่าวิญญาณสละวิญญาณ

อากู่ซือได้ยินคำเหยียนท่าก็พอใจ “ดีมาก กำลังคิดหนักเลยว่าจะส่งใครไปดี แต่ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็ใช้เจ้าก่อนก็แล้วกัน”

หือ ? หมายความว่ายังไงกัน ?

เหยียนท่าและเยี่ยเฟิงหานพลันสะดุ้ง อากู่ซือปล่อยพลังออกมาระลอกหนึ่ง

พลังจิตระลอกนี้กระเพื่อมไปไกล เผ่าวิญญาณค่อย ๆ หมุนกายมายังทิศนี้ น่าตกใจที่ทั้งหมดต่างก็เป็นผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณทั้งสิ้น

แรงกดดันจากเผ่าวิญญาณระดับสูงทั้งหลายมารวมกันอยู่ในจุดเดียว

“พบคนที่เหมาะสมกับหน้าที่แล้วงั้นหรืออากู่ซือ ?” เผ่าวิญญาณระดับสูงถาม เขามีรัศมีสีทองอร่ามลอยอยู่เหนือศีรษะ เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้อาวุโสระดับสูง

อากู่ซือก้มหัวให้คนถาม “ท่านผู้อาวุโสอูลี่เค่อ เผ่าวิญญาณหนุ่มผู้นี้ยินดีสละตนเพื่อเผ่าวิญญาณ”

“งั้นหรือ” อูลี่เค่อ พยักหน้า “ดีมาก เผ่าเราเองก็มีนักรบเลือดร้อนเหมือนกันสินะ”

พวกมนุษย์มีคำอธิบายเผ่าวิญญาณไว้หลากหลายอย่าง มีทั้งโบราณ อมตะ ชั่วร้าย เฉลียวฉลาด ปราดเปรื่อง แต่ไม่มีคำว่าเห็นใจผู้อื่น เลือดร้อน และกล้าหาญอยู่ในคำอธิบายเหล่านั้นด้วย

ในหมู่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งห้า เผ่าวิญญาณเป็นเหมือนคนชราผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ นิ่งสงบไม่รีบร้อน แม้จะเป็นตอนที่ทำการโจมตีก็ตาม

แต่พวกเขาไม่เคยเป็นคนกล้าหาญ ยิ่งความซื่อสัตย์ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง

ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงไม่มีนักรบหรือวีรบุรุษที่แท้จริง ซึ่งไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด

นักรบในที่นี้หมายถึงเผ่าวิญญาณที่แม้จะต้องตายก็ยังมุ่งหน้าสู้ต่อไป

เผ่าวิญญาณขาดตัวตนเช่นนั้นมาก

จนกระทั่งในตอนนี้ที่เหยียนท่าเสนอตนเองว่าจะเป็นนักรบผู้เสียสละขึ้นมา

และเขาก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

เขาคงจะได้รับภารกิจฆ่าตัวตายสักอย่าง สัญชาตญาณของเขาบอกให้ปฏิเสธไป แต่เยี่ยเฟิงหานก็บีบความคิดนั้นกลับไปได้ด้วยการแอบส่งสายตามาทีหนึ่งเท่านั้น

ภารกิจของอากู่ซือย่อมเกี่ยวข้องกับนิกายไร้ขอบเขต

หากเผ่าวิญญาณยอมมอบภารกิจนั้นให้ ก็คงเป็นการดีที่สุด

เยี่ยเฟิงหานก็จะสามารถควบคุมอุบายสังหารที่มุ่งร้ายต่อนิกายได้ เขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ให้หลุดมือไปได้หรือ ?

เหยียนท่าไม่ได้เป็นนักรบเลือดร้อน แต่เยี่ยเฟิงหานนั้นเป็น

และความต้องการของเยี่ยเฟิงหาน ก็คือความต้องการของเหยียนท่า

ในเมื่อเยี่ยเฟิงหานตัดสินใจแล้ว เหยียนท่าจึงได้แต่ยอมรับมัน

อูลี่เค่อถาม “มั่นใจแล้วหรือว่าจะยอมเสี่ยงเพื่อเผ่าวิญญาณ ? เจ้าควรรู้ว่าภารกิจที่เจ้ากำลังจะไปทำมันอันตรายมาก มีโอกาสตายสูง !”

หือ ?

มีโอกาสตายสูงอย่างนั้นหรือ ?

แสดงว่ายังมีโอกาสรอดงั้นสิ ?

เหยียนท่าถอนหายใจโล่งอก กล่าวขึ้นโดยไม่ต้องให้เยี่ยเฟิงหานเตือน “ข้ายอมสละวิญญาณเพื่อเผ่าวิญญาณ แต่หวังว่าข้าจะนำทาสของข้าไปด้วยได้”

เหยียนท่าชี้เยี่ยเฟิงหาน

เขาไม่ได้กระทำการเอง เป็นเยี่ยเฟิงหานที่แอบบอกให้เขาทำเมื่อก่อนหน้า

หาก ‘นายท่าน’ อยากตายไปพร้อมกับเขา เหยียนท่าก็ได้แต่ยอมรับมัน

อูลี่เค่อมองเยี่ยเฟิงหาน จากนั้นพยักหน้า “ไม่มีปัญหา เพื่อเป็นรางวัลแก่ความซื่อสัตย์ของเจ้า หอตำราสวนภูตผีให้เจ้าสามารถเข้าใช้ได้ตามใจชอบ สามารถเข้าไปได้ทุกเวลาจนกว่านิกายไร้ขอบเขตจะบุกมาถึง”

เหยียนท่าดีใจนัก

หอสมุดเผ่าวิญญาณเป็นหอตำราที่มีความสมบูรณ์ที่สุดบนทวีปนี้ เพราะพวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบทำงานวิจัย

แต่ตำราที่เผ่าวิญญาณจะเข้าถึงได้ถูกจำกัดด้วยฐานะต่าง ๆ เช่น เผ่าวิญญาณระดับกลางจะไม่ได้รับอนุญาตให้อ่านตำราของเผ่าวิญญาณระดับสูงเป็นต้น

แต่ตอนนี้อูลี่เค่อกลับมอบสิทธิ์พิเศษนี้ให้ ไม่แน่ว่าเช่นนี้คือประโยชน์จากการเป็นวีรบุรุษกระมัง

เผ่าวิญญาณมีความต้องการทางโลกเช่นสิ่งของหรือเงินทองน้อยมาก ดังนั้นหอสมุดจึงเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างมหาศาล

เยี่ยเฟิงหานอยากถามว่าเผ่าวิญญาณมีสมบัติอย่างอื่นอีกหรือไม่ แต่เขามีฐานะต่ำต้อย เผ่าวิญญาณไม่ว่าอะไรหากทาสขัดบทสนทนา แต่จะขอสมบัติอย่างอื่นก็คงจะมากไปหน่อย

เยี่ยเฟิงหานจึงหมายให้เหยียนท่าถาม แต่กลับไม่รู้ว่าจะให้ถามอย่างไรดี สุดท้ายเหยียนท่าจึงนิ่งเงียบ ทำให้เยี่ยเฟิงหานเสียดายไม่ใช่น้อย

แต่ก็ฉวยโอกาสถามอีกคำถามสำคัญหนึ่งขึ้นมาได้ “ท่านผู้อาวุโสอูลี่เค่อ ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าพวกเรามีหน้าที่ทำอะไรในภารกิจนี้”

เป็นคำถามที่ถามขึ้นมาได้ตรงจังหวะเหมาะสมดีเหลือเกิน

อูลี่เค่อคิดครู่หนึ่งแล้วตอบ “ถึงเวลาก็รู้เอง”

เวรเอ๊ย !

ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเป็นความลับหรอกหรือไง ?