บทที่ 98 อาทิตย์ระอุ
สงครามมาถึงอย่างรวดเร็ว
นิกายไร้ขอบเขตมาถึงภายในเวลาเพียงหนึ่งวัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เมื่อได้ข่าวจากเยี่ยเฟิงหานว่า ‘สุดยอดวิชา’ ของเผ่าวิญญาณตกอยู่ในมือตัวเองแล้ว ซูเฉินก็ไม่คิดรออีก ออกคำสั่งเคลื่อนทัพ นิกายไร้ขอบเขตจึงรุดหน้าเข้ามาไม่ลดละ
น่าเสียดายสำหรับเหยียนท่า เพราะหมายความว่าเขาจะได้ใช้หอตำราเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เยี่ยเฟิงหานปลอบใจโดยพูดว่า หลังเผ่าวิญญาณถูกทำลายแล้ว หอตำราก็จะกลายเป็นของนิกายไร้ขอบเขต ซึ่งหมายความว่าเขาจะเข้าไปอ่านตำราเมื่อไหร่ก็ได้
แม้ว่าเขาจะกลายเป็นทาสของมนุษย์ไปแล้ว แต่เหยียนท่าที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกอยู่ไม่น้อย…
หลังข้ามทะเลบุปผามาได้แล้ว นิกายไร้ขอบเขตก็เดินทางมาถึงสุสานของเผ่าวิญญาณ
เผ่าวิญญาณได้เตรียมกองพลจำนวน 150,000 ตนไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่ทหารกว่าแสนแท้จริงแล้วเป็นเผ่าอื่นที่ตกเป็นทาสรับใช้ ส่วนมากมาจากเผ่าสามเพศและเผ่าข่าปู้เลอ อีกสี่หมื่นเป็นหุ่นเชิดที่ถูกทำให้เป็นทาส ส่วนเผ่าวิญญาณมีเพียงหมื่นเดียวเท่านั้น
นับเป็นครั้งแรกที่เผ่าวิญญาณจัดตั้งกองทัพขึ้นมาเพื่อประจันหน้าต่อสู้กับผู้บุกรุกเช่นนี้
เผ่าวิญญาณนับหมื่นสามารถสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้ทั้งอาณาจักรได้ทีเดียว กองกำลังเช่นนี้จะเห็นสักทีก็ทุกพันปีเท่านั้น
แต่กระนั้นเมื่อนำมาเทียบกับนิกายไร้ขอบเขตแล้วก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นฝั่งที่อ่อนแอกว่า
พละกำลังของนิกายนับว่าเห็นได้เด่นชัดยิ่งนัก
และสำหรับนิกายไร้ขอบเขต เผ่าวิญญาณจำนวนหนึ่งหมื่นก็นับว่าน้อยเกินไป
“มีเผ่าวิญญาณแค่หนึ่งหมื่นเองหรือ ? แสดงว่าไม่คิดจะลงมือเต็มที่ที่นี่สินะ หรือก็คืออาจจะยังมีอุบายใดที่ทรงพลังมากกว่านี้รออยู่ในสวนภูตผี” ซูเฉินว่าพลางทอดสายตามองเผ่าวิญญาณที่เรียงรายจากบนตำหนักลอย
กู่ชิงลั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างหัวเราะขึ้นมา “พวกนี้อยู่กันมานับหมื่นปี คงมีวิชาที่แอบซ่อนไว้อยู่อีกมากเชียวล่ะ”
จูเซียนเหยาหัวเราะ “เช่นนั้นไม่น่าสนใจมากหรอกหรือ ? หากว่าเรากวาดล้างพวกนั้นได้ง่าย ๆ คงน่าเบื่อน่าดู”
ซูเฉินถอนใจ “ให้มันน่าเบื่อและแก้ปัญหาง่ายไปเช่นนั้นไม่ดีกว่าหรือ ?”
หลี่ฉงซานเอ่ย “เผ่าวิญญาณได้ยินเจ้าพูดเช่นนั้นคงก่นด่าเป็นแน่ หากสถานการณ์ตอนนี้ไม่เรียกว่าการกวาดล้าง แล้วจะให้เรียกว่าอะไรอีก ? หากไม่คิดต่อต้านก็ไม่ใช่เผ่าวิญญาณแล้ว”
ฉือไคฮวงว่า “ปัญหาคือพวกมันไม่ได้คิดจะต่อต้าน แต่คิดจะพลิกสถานการณ์โต้กลับน่ะสิ จะว่าไป แล้วได้เรื่องจากเฟิงหานบ้างหรือยัง ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ผู้อาวุโสเหล่าวิญญาณพวกนั้นจู่ ๆ ก็ฉลาดขึ้นมา จะบอกแผนการก็ต่อเมื่อถึงจังหวะสุดท้ายเท่านั้น ดังนั้นเราจึงต้องกดดันพวกมันก่อนหากอยากรู้ว่าวางแผนอะไรไว้”
“แล้วยังจะรออะไรอีกเล่า ?” หลินเฉ่าเซวียนถาม
ซูเฉินหัวเราะ “ใช่ ยังรออะไรอีกเล่า ? เริ่มโจมตีได้”
สิ้นคำสั่งซูเฉิน แตรศึกก็เป่าดัง ส่งสัญญาณให้เริ่มการโจมตี
เรือเคลื่อนเมฆาบินลัดฟ้า มุ่งหน้าเข้าใส่กองทัพเผ่าวิญญาณ แม้ว่าด่านสู่พิสดารจะสามารถบินได้ แต่การใช้เรือเคลื่อนเมฆาก็ทำให้เก็บพลังไว้ใช้ในการต่อสู้ได้มากกว่า ที่สำคัญคือสามารถเคลื่อนพลไปพร้อมกันในคราวเดียวได้
เรือเคลื่อนเมฆาระลอกแรกหยุดลงเมื่ออยู่ห่างจากฝ่ายศัตรูพันลี้ จากนั้นทหารด้านในจึงยกมือขึ้น ดาบบินพุ่งออกมาบนฟ้า ก่อนจะกรีดลมเกิดเป็นเสียงพุ่งไปยังศัตรู
“นี่มันอะไรกัน ? เหตุใดพวกมันจึงโจมตีจากระยะไกลเช่นนั้นได้ ?” เผ่าวิญญาณที่ไม่เคยเห็นดาบบินของนิกายไร้ขอบเขตมาก่อนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ
วิชาต้นกำเนิดของเผ่ามนุษย์มักด้อยกว่าวิชาอาร์คาน่าเสมอหากเปรียบเทียบเรื่องระยะการโจมตี ดังนั้นยามต่อสู้กัน มนุษย์จึงเป็นฝ่ายบุกเข้ามา ส่วนเผ่าวิญญาณก็ทิ้งระยะห่างและเป็นฝ่ายตั้งรับ
นับเป็นครั้งแรกที่พวกมันเห็นศัตรูใช้วิชาโจมตีระยะไกลที่ได้ผลดีทั้งยังได้ผลดีมากกว่าของฝ่ายตนเองเช่นนี้ออกมา
รายงานข่าวกรองไม่เห็นบอกถึงเรื่องนี้เลย
ใช่แล้ว เป็นเพราะศิษย์นิกายไร้ขอบเขตไม่ได้มีวิชาเช่นนั้นอยู่จริง ๆ
‘วิชาดาบบิน’ ของนิกายไร้ขอบเขตไม่ใช่วิชาที่พวกเขาบ่มเพาะเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญคืออาวุธที่ใช้ล้วนเป็นอาวุธวิญญาณด้วย
อาวุธวิญญาณพึ่งพาพลังจิตอันแข็งแกร่งที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้งานกับเครื่องมือต้นกำเนิด ช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมอาวุธได้เป็นอย่างมาก แต่นิกายไร้ขอบเขตปิดบังเป็นความลับมาโดยตลอด
ตอนนี้พวกเขาใช้อุบายนี้ต่อกรกับเผ่าวิญญาณ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างผู้บ่มเพาะพลังกับผู้เชี่ยวชาญพลังให้เห็นเด่นชัด
ดาบบินนี้ไม่เพียงสามารถโจมตีจากระยะไกลได้ แต่ยังทรงพลังมากอีกด้วย ผู้บ่มเพาะพลังที่กล้าแกร่งสักหน่อยสามารถควบคุมดาบนับสิบได้ในคราวเดียว ดังนั้นจึงเป็นภาพดาบเทลงมาใส่เผ่าวิญญาณราวกับห่าฝน
พวกที่ถูกโจมตีเป็นพวกแรกคือเผ่าสามเพศและเผ่าข่าปู้เลอ ทั้งสองเผ่าพันธุ์นี้ก็ไม่นับว่าอ่อนแอ เผ่าสามเพศสามารถรวมสามร่างเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้ได้ ใช้วิชาลึกลับแปลกประหลาดได้มากมาย เผ่าข่าปู้เลอขี้กลัว แต่ก็มีด้านที่บ้าคลั่งเช่นกัน หากเผ่าวิญญาณกระตุ้นความกระหายเลือดของเผ่าขี้กลัวนี้ขึ้นมาได้ ก็จะสามารถเอาชนะความหวาดหวั่นที่มีและเข้าโจมตีอย่างบ้าระห่ำได้
แต่หากศัตรูอยู่ไกลเกินไป ที่กล่าวมาทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ เผ่าวิญญาณที่มักใช้กลยุทธ์ตั้งรับตลอดไม่คิดว่าศัตรูจะมีระยะโจมตีที่ไกลกว่าฝั่งตนได้
อีกทั้งดาบบินเหล่านี้ยังไม่ใช่วิชาอาร์คาน่า ด้วยวิชาเช่นนั้นเมื่อปลดปล่อยออกมาแล้วจะต้องร่ายวิชาใหม่ ทว่าอาวุธวิญญาณนั้นเชื่อมต่อกับจิตของผู้ใช้โดยตรง และสามารถโจมตีได้ทันที ดาบบินเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเผ่าข่าปู้เลอ บั่นเศียรมันผู้นั้นก่อนจะเคลื่อนไปยังเหยื่อรายต่อไปโดยไม่จำเป็นต้อง ‘หยุดพัก’ เลย
ดาบบินเหล่านี้ร่ายรำไปทั่วสนามรบ ปลิดชีวิตศัตรูอย่างไร้ความปรานี
หลินเฉ่าเซวียนเห็นแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ “ใช้กำลังแค่พันคน แต่เรากลับสามารถทำให้ศัตรูตรงหน้าแตกกระจายได้เช่นนี้ นับว่าอีกฝ่ายอ่อนแอมากจริง ๆ”
“อย่าได้รีบร้อนกล่าว ไม่ใช่ว่าพวกนั้นไร้ทางสู้เสียทีเดียว” ซูเฉินว่า
ถูกต้องแล้ว แสงสีขาวพลันส่องออกมาจากค่ายเผ่าวิญญาณ เผ่าวิญญาณในแนวรบด้านหลังพากันเปิดใช้เกราะวิเศษ
ดาบปะทะเข้ากับเกราะ เกิดสะเก็ดไฟลอยกระจายไปทั่วทิศ
ในเวลาเดียวกันนั้น ลูกเพลิงก็เริ่มพุ่งออกมา เล็งโจมตีไปยังกองทัพนิกายไร้ขอบเขต
แต่ระยะห่างพันลี้ก็รับมือได้ยาก วิชาอาร์คาน่าส่วนมากโจมตีได้ไม่ไกลเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้เผ่าวิญญาณต้องใช้ลูกเพลิงธรรมดาในการโจมตี แต่พลังโจมตีนั้น… ไม่สูงมากพอให้กล่าวถึงด้วยซ้ำ
“ทำลาย !”
ผู้นำกองทัพทหารพันนายคือหลินเซียว ผู้บ่มเพาะพลังร้อยคนโจมตีออกไปพร้อมกัน ปลดปล่อยคลื่นพลังเยือกแข็ง ดับลูกเพลิงเสียมอดตั้งแต่มันยังไม่ทันเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ
ลูกเพลิงที่เผ่าวิญญาณอย่างน้อยสามพันตน ร่วมกันปล่อยออกมาถูกกองทหารร้อยนายสกัดไว้ได้ ประโยชน์ของการโจมตีจากระยะไกลได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดก็ตอนนี้
แต่ในตอนนั้นเอง พลังจิตไร้รูปร่างก็กระเพื่อมออกมาทั่วสนามรบ สะดุ้งจิตศิษย์นิกายไร้ขอบเขต ชะลอการเคลื่อนไหวของพวกเขาลงอย่างเห็นได้ชัด
ซูเฉินรู้ว่าผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณคงจะลงมือ ใช้พลังจิตผันผวนอันทรงพลังขัดขวางการโจมตี
กู่ชิงลั่วเลิกคิ้วสูง เตรียมจะลงมือบ้าง
แต่ซูเฉินกลับยั้งนางไว้ “ยังไม่ถึงเวลาเจ้าลงมือ แต่ใช้คนแค่หนึ่งพันแล้วบีบให้ผู้อาวุโสคนหนึ่งของอีกฝ่ายลงมือได้ก็นับว่าเยี่ยมมากแล้ว”
ซูเฉินยิ้มบาง จากนั้นใช้นิ้วชี้ไป
หลินเฉ่าเซวียนเข้าใจคำสั่งนำไปบอกกล่าวต่อ กองรบอีกสองกองจึงเข้าสู่สนามต่อสู้
ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตทั้งสามพันคนรวมตัวกันแล้วคำรามเสียงลั่นออกมา
เสียงคำรามนี้ไม่ใช่แค่วิชาจิตธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดหนาแน่น ทั้งยังมีเจตจำนงต่อสู้อันหนักแน่นผสานอยู่
วิชาจิตของผู้อาวุโสถูกเสียงคำรามต่อต้านเอาไว้ได้ เพียงชั่วขณะหนึ่ง เหล่าศิษย์นิกายก็ได้ยินเสียงครวญครางเจ็บปวดดังขึ้นเบา ๆ อยู่ข้างหู
ในจังหวะเดียวกันนั้น ดาบอีกสองพันเล่มก็พุ่งออกมา กระหน่ำเข้าโจมตีเกราะอีกครั้ง
มันทั้งฟันทั้งแทงเกราะอย่างไม่ลดละ
เกาะที่สร้างจากพลังของเผ่าวิญญาณหมื่นตนทรงพลังมาก ใช้ศิษย์ถึงสามพันคนก็ยังไม่อาจฝ่าเข้าไปได้
แต่เพียงเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาเท่ากัน ไม่ได้หมายความว่าจะเสียพลังไปเท่ากัน
เกราะป้องกันใช้พลังต้นกำเนิดมากกว่าการควบคุมดาบบิน ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตควบคุมอาวุธวิญญาณผ่านการใช้พลังจิต ดังนั้นการใช้พลังต้นกำเนิดจึงน้อยกว่ามาก
ดังนั้นฝั่งที่มีกองกำลังมากกว่ากลับใช้พลังน้อยกว่าเสียได้
เผ่าวิญญาณรู้ว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงเหลือแค่สองทางเลือก
นั่นคือจะโจมตีออกไปแล้วลดระยะห่าง หรือว่าจะล่าถอยเพื่อทิ้งระยะห่าง
จะโจมตีรุกอย่างเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย
อุบายที่เผ่าวิญญาณเตรียมการมาใช้ได้กับกลยุทธ์ตั้งรับ หากพวกมันเข้าโจมตี สิ่งที่จะเตรียมมาก็จะไร้ประโยชน์ไปทันใด
ดังนั้นพวกมันจึงได้แต่ถอย
เผ่าวิญญาณทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ถอยพร้อมเพรียงกัน
ในจังหวะเดียวกันนั้น จู่ ๆ ก็เกิดหมอกลอยขึ้นมา ปกคลุมกองทัพเอาไว้
เผ่าวิญญาณกำลังจะใช้ค่ายกลมายาเพื่อหลบหนี
แม้ว่านิกายไร้ขอบเขตจะทำลายอุบายนี้ได้อย่างง่ายดาย เผ่าวิญญาณก็ไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่านี้แล้ว
พวกมันใช้วิธีเช่นนี้มามากกว่าหมื่นปี ที่ผ่านมาก็ใช้ได้ผลมาโดยตลอด
ดังนั้นแม้จะต้องหนีไปเจอสิ่งที่เลวร้ายกว่า แต่พวกมันก็ไร้ทางเลือกแล้ว
หมอกหนาทำให้ดาบหาเป้าหมายไม่พบ หลังจากที่มันลอยไปลอยมาอยู่สักครู่ ก็กลับไปอยู่ในฝ่ามือของเจ้าของ
“ล่าถอยกันแล้วหรือ ? ถามจริงเถอะ” หลินเฉ่าเซวียนดูประหลาดใจอยู่บ้าง
สำหรับหลินเฉ่าเซวียนที่เป็นทหารผ่านศึก ตอนนี้พวกเขาเพียงลองเชิงอีกฝ่ายก็เท่านั้น
ว่ากันตามสถานการณ์ การสู้รบส่วนมากมักเริ่มจากขนาดย่อย ก่อนที่สองฝ่ายจะเพิ่มกำลังพล เปลี่ยนกลยุทธ์การศึก หรือเพิ่มการโจมตี ก่อนที่สงครามของจริงจะปะทุ
กระบวนการคิดเช่นนี้อยู่ในทฤษฎีการรบแบบดั้งเดิม
แต่เผ่าวิญญาณกำลังทำอะไรกันอยู่ ?
ถอยทันทีงั้นหรือ ?
ซูเฉินหัวเราะ “ไม่แปลกใจหรอก เรากำลังสู้กับเผ่าวิญญาณอยู่นี่นะ พวกมันไม่สันทัดกับการต่อสู้เช่นนั้น หากมีบ้างอาจจะพอไหว แต่อย่างไรก็ขอถอยกลับไปตั้งหลักกับสิ่งที่คุ้นเคยดีกว่า”
หลินเฉ่าเซวียนเห็นหมอกขาวแล้วก็คำรามในลำคอ “ผีอย่างไรก็ยังเป็นผี ทำได้แค่เพียงแต่งตัวอยู่ในความมืดและใช้เล่ห์เหลี่ยมอยู่แล้ว”
“แต่ความมืดอย่างไรก็สู้แสงสว่างไม่ได้ เล่ห์เหลี่ยมกลใดก็พ่ายแพ้ต่อความแข็งแกร่งอยู่ดี” หลี่ฉงซานเอ่ย
“ถูกต้อง ในเมื่อพวกมันอยากถอย เราจะบีบให้อีกฝ่ายออกที่แจ้ง” ซูเฉินหันไปหากู่ชิงลั่ว “ครั้งนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว”
กู่ชิงลั่วยิ้มภูมิใจ “ในที่สุดก็จะให้ข้าลงมือแล้วงั้นหรือ ?”
ซูเฉินเอ่ยตามตรง “เอาเลยภริยาข้า ใช้ตะวันระอุของเจ้ากวาดล้างความมืดและเงาทั้งหลายทิ้งไปเสีย ดึงพวกหนูสกปรกให้ขึ้นมาสู้แสง”
กู่ชิงลั่วยิ้มแล้วเหินร่างขึ้น
ชุดเกราะเวหาถูกเปิดใช้ แสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งฟ้า !