ภาคที่ 6 บทที่ 99 กวาดล้าง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 กวาดล้าง

ทันทีที่ชุดเกราะเวหาเปิดใช้งาน เผ่าวิญญาณทั้งหมดก็เห็นตะวันลอยเด่นขึ้นไปบนฟ้า

อาณาจักรหมองหม่นอยู่ภายใต้เมฆหมอกและความมืดมาโดยตลอด

เผ่าวิญญาณ 8 ใน 10 ส่วน ที่อาศัยอยู่ภายในไม่เคยเห็นแสงตะวันมาก่อน

เผ่าวิญญาณไม่จำเป็นต้องมีมัน ทั้งยังไม่ชอบมันอีกด้วย

ในด้านนี้ เผ่าวิญญาณก็ไม่ต่างจากภูตผีในเรื่องเล่าเลย

แม้จะไม่กลัวแสง แต่ก็ขาดการป้องกันในด้านนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

และตอนนี้ ดวงตะวันที่ไม่ได้เห็นมาเป็นเวลานานก็ปรากฏอยู่เหนือท้องฟ้าแล้ว

กู่ชิงลั่วในตอนนี้แตกต่างจากนางคนเดิมอีกครั้งหนึ่ง

หลังนางติดตามซูเฉินแล้ว ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นอยู่ทุกเมื่อ

การปลดขีดจำกัดสายเลือดก็เร่งความแข็งแกร่งของนางอยู่แล้ว ในขณะที่คนอื่น ๆ ในตระกูลกู่ยังระวังไม่ให้สายเลือดตนตื่นขึ้นมาเกิน 20 ในร้อยส่วน แต่กู่ชิงลั่วนั้นปลุกขึ้นมาได้ 40 ส่วนแล้ว โดยที่มีขีดจำกัดสูงสุดอยู่ที่ 60 ส่วน

พลังที่นางมีจึงสูงกว่า ทำให้การบ่มเพาะพลังเป็นไปได้รวดเร็วกว่ามาก

อัตราการบ่มเพาะพลังของซูเฉินเป็นไปอย่างรวดเร็วเพราะได้เนตร แต่กู่ชิงลั่วทำเพียงใช้และดูดซับพลังจากสายเลือดมังกรสุริยะเท่านั้น แต่ความรวดเร็วก็ไม่ด้อยกว่าซูเฉินแต่อย่างใด ทั้งยังจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้นนางจึงทะลวงสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินในระยะเวลาสั้นกว่า และตอนนี้ก็บ่มเพาะถึงด่านหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นสุด อีกไม่นานก็คงทะลวงสู่ด่านมหาราชันแล้ว

นางอาจได้กลายเป็นด่านมหาราชันที่อายุน้อยที่สุดในทวีปต้นกำเนิดก็เป็นได้

เมื่อมีพื้นฐานพลังด่านหยั่งรู้ฟ้าดินและสายเลือดตื่นขึ้น 40 ใน 100 ส่วน ก็สามารถดึงเอาพลังของสายเลือดมังกรสุริยะออกมาสำแดงได้เต็มที่

แม้จะไม่ได้ปล่อยพลังจากลักษณ์มังกรสุริยะ ร่างกู่ชิงลั่วก็ยังเผาไหม้ร้อนระอุ ปลดปล่อยแสงจ้าราวแสงสุรีย์ที่เหมือนจะสามารถละลายทุกการป้องกันของเผ่าวิญญาณลงได้

“อ๊าก !!!”

ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในอากาศ คือเสียงร้องเจ็บปวดจากเผ่าวิญญาณทั้งหลาย

แรงผันผวนพลังกระเพื่อมผ่านฟ้าเข้าปะทะ พยายามลดทอนแรงกดดันที่มาจากกู่ชิงลั่ว

เมื่อสายธารลดน้อย ถึงได้เห็นปัญหา ตอนนี้เสาหลักที่คอยพยุงเผ่าวิญญาณอยู่ถูกเปิดเผยแล้ว

พริบตาเดียวซูเฉินก็จับเป้าหมายเหยื่อสามตนได้ “นั่น ตรงนั้น และตรงนั้น ผู้อาวุโสแต่งตั้งทั้งสามตน !”

ทันใดนั้นรอยประทับทั้งสามก็ปรากฏขึ้นบนร่างของพวกเขา พริบตาต่อมา ผู้อาวุโสแต่งตั้งทั้งสามก็รู้สึกราวกับอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและพบว่าตัวเองอยู่กลางอากาศ

ซูเฉินใช้ความเชี่ยวชาญด้านพลังสูญเคลื่อนผู้อาวุโสแต่งตั้งทั้งหลายให้ออกจากค่ายกลมา

เคลื่อนกายเป้าหมายจากระยะไกลเช่นนั้นใช้พลังไปไม่น้อย พร้อมกันนั้นสามเงาร่างจากนิกายไร้ขอบเขตก็กระโจนเข้าใส่อาวุโสทั้งสาม

ม้าน้ำพลังสูญและหุ่นเชิดยักษ์สองตัว

แม้นิกายไร้ขอบเขตจะไร้คนด่านมหาราชัน แต่ก็มีคนแกร่งดั่งด่านมหาราชันหลายคน ซูเฉิน กู่ชิงลั่ว และม้าน้ำพลังสูญล้วนแกร่งกว่าด่านมหาราชันสามัญ ส่วนหุ่นเชิดยักษ์ก็ใกล้เข้าขั้น

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่กลัวการที่ต้องต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเลย

หลังพวกผู้อาวุโสทั้งสามถูกจับตัวไว้ได้ เผ่าวิญญาณก็ไร้โอกาสอีก กู่ชิงลั่วปลดปล่อยพลังขั้นเต็ม เกิดเปลวเพลิงพุ่งพรวดไปรอบทิศ ทำลายเกราะป้องกันทั้งหลายของเผ่าวิญญาณจนสิ้น

กู่ชิงลั่วรับหน้าที่ทำลายเกราะป้องกัน ส่วนนิกายไร้ขอบเขตรับหน้าที่ปลิดชีพ

ริ้วดาบกรีดผ่าน เมื่อไร้เกาะป้องกัน คมดาบก็สังหารเผ่าวิญญาณตนแล้วตนเล่า

ผลของศึกครานี้ออกมาแล้ว

“คราวนี้ถึงเวลาใช้อุบายสุดท้ายแล้วสินะ ?” ซูเฉินพึมพำ

และเผ่าวิญญาณก็ลงมือตามนั้น

หลังจากอูลี่เค่อเห็นกู่ชิงลั่วอยู่บนฟ้า ก็รู้ได้ว่าแพ้ศึกแล้ว แม้ตนจะเป็นผู้อาวุโสแต่งตั้ง แต่ก็มีกำลังจำกัด เนื่องด้วยยังอยู่ในช่วงฟื้นพลังจิตที่เสียไป ในตอนนี้ฐานะไม่ได้ช่วยทำให้พลังสูงส่งแต่อย่างใด แท้จริงแล้วนับว่าซูเฉินเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส อูลี่เค่อไม่มีทางเอาชนะได้แน่

เขาหันมองเหยียนท่า “มากับข้า”

เหยียนท่าและเยี่ยเฟิงหานรู้ว่าใกล้ถึงเวลาแล้วจึงติดตามไปไม่ห่าง

อูลี่เค่อเดินเข้ามาในหอวิญญาณ

หอวิญญาณยังอึมครึมเหมือนเก่า ผู้อาวุโสแต่งตั้งสี่ตนยืนคุ้มกันอยู่ภายใน

เมื่อเห็นอูลี่เค่อ ทั้งสี่ก็คำนับ

อูลี่เค่อเอ่ย “เอามันออกมา”

ผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณคนหนึ่งก้าวออกมาทำท่าทางประหลาด ทำมือเป็นท่าโยนไร้เสียง จู่ ๆ ก็มีไหปรากฏออกมา

นี่ก็คือวิชาพลังสูญ แต่มันลึกลับซับซ้อนมากกว่าแหวนพลังนัก

เยี่ยเฟิงหานรู้ว่าเผ่าวิญญาณไม่เก่งกาจวิชาพลังสูญเท่าไหร่ ดังนั้นเป็นไปได้สูงว่าเผ่าวิญญาณคงจะใช้พลังไปไม่น้อยในการเก็บรักษาสิ่งนี้เอาไว้

แล้วปกติแล้วก็จะใช้วิชาพลังสูญเช่นนี้เพื่อเก็บของไว้ด้วยสองเหตุผล หากไม่ใช่ว่าของชิ้นนั้นทรงคุณค่ามาก ก็หมายความว่ามันอันตรายมากนั่นเอง

แน่นอนว่าท่วงท่าการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสเผ่าวิญญาณในการประคองไหชิ้นนั้นก็ดูระมัดระวังเป็นพิเศษ

เยี่ยเฟิงหานสังเกตเห็นว่ามันเป็นไหที่ทำมาจากหยกใจสลาย

ไหหยกใจสลายสามารถป้องกันพิษได้ดีมาก ใช้ชิ้นขนาดน้อย ๆ มาสร้างก็มากพอจะนำมาสร้างรูปแกะปราบพิษคุณภาพสูงได้แล้ว แต่ไหชิ้นนี้สร้างขึ้นจากหยกใจสลายทั้งชิ้น ที่พื้นผิวยังสลักเครื่องหมายจำกัดพิษไว้อีกด้วย

สุดท้ายก็เกี่ยวกับพิษหรือนี่ ?

เยี่ยเฟิงหานพลันเข้าใจ

สวนภูตผีมีพิษอยู่มากมาย ก็เป็นเหตุเป็นผลดีว่าอุบายสังหารจะเกี่ยวข้องกับพิษเช่นกัน

อูลี่เค่อเอ่ย “สวนภูตผีมีพิษหลากหลายชนิด แต่ส่วนมากก็เป็นที่รู้จักและหาทางต้านได้ แม้หมอกพิษจะทรงพลัง แต่ก็ยังนับว่ามีโอกาสรอดชีวิต แต่ก็ยังมีพิษอีกหลายชนิดที่ไร้ทางรอด แต่มักเป็นพิษที่มีเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพราะธรรมชาติตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ แต่เมื่อมันออกมาเมื่อไหร่ ก็หมายถึงหายนะมาเยือน”

เยี่ยเฟิงหานใจสะดุด

อูลี่เค่อรับไหนั่นมาแล้วก็เดินไปทางเหยียนท่า

เขาว่า “ทุกพันปี สวนภูตผีจะสร้างพิษชนิดพิเศษที่พวกเราเรียกว่า ‘พิษล้างโคตร’ พิษนี้ไม่สามารถป้องกันได้ กระทั่งเผ่าวิญญาณถูกเข้าก็ยังตายได้ กัดกร่อนละลายได้ทุกสิ่ง ดังนั้นจึงไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ วิธีรักษาหนึ่งเดียว คือการเก็บมันไว้ในพลังสูญแยกเดี่ยว ไหหยกใจสลายนี่ไม่ใช่ภาชนะบรรจุ แต่เป็นพลังสูญขนาดเล็กที่กักเก็บมันไว้อีกที พิษล้างโคตรไม่สามารถสัมผัสสสารใด ๆ ได้ พิษที่อยู่ในนี้เป็นสิ่งที่เผ่าวิญญาณสละชีวิตนับไม่ถ้วน ใช้เวลากว่าสองหมื่นปีเก็บสะสมไว้ เมื่อปลดปล่อยออกมาแล้วก็จะทำลายทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดเหลือรอด ทั้งมนุษย์ หรือทั้งเผ่าวิญญาณ กระทั่งผืนพสุธาก็ไม่งดเว้น”

เยี่ยเฟิงหานได้ยินแล้วก็ชะงักไป

เขาไม่เคยรู้จักพิษเช่นนี้มาก่อน

“แต่มันก็ยังมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมันกระจายตัวได้ไม่เร็ว” อูลี่เค่อว่าต่อ “ดังนั้นจะใช้มันต่อกรกับผู้ทรงพลังไม่ได้ เพราะทำอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน จะให้ได้ผลคือต้องทำให้กระจายไปอย่างระวัง”

เหยียนท่าถาม “แล้วควรใช้อย่างไรหรือ ?”

อูลี่เค่อตอบ “ตรงนี้มีอุโมงค์ใต้ดินอยู่ เจ้าเข้าไปด้านในแล้วจะไปอยู่ตรงจุดหลังของแนวหน้านิกายไร้ขอบเขต จากนั้นก็ทำงานได้ง่ายขึ้นแล้ว”

เหยียนท่าเอ่ย “พุ่งเข้าไปในดงศัตรูแล้วเปิดไหเสีย”

“ถูกต้อง” อูลี่เค่อพยักหน้า “ข้าถึงได้บอกว่าเจ้าต้องเตรียมตัวตาย เหยียนท่าอนาคตเผ่าวิญญาณขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”

เหยียนท่าพยักหน้ารับ “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ !”

อูลี่เค่อถอนหายใจยาว “เจ้าไปเถอะ”

เขาสะบัดแขนเสื้อแล้ว อุโมงค์ใต้ดินก็เปิดออก

ทุกสิ่งอย่างได้ถูกวางแผนไว้นานมากแล้ว หากเผ่าวิญญาณต้องถูกบีบให้ใช้พิษชนิดนี้ พวกเขาก็จะแพร่มันผ่านอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้

เหยียนท่าไม่เอ่ยคำ จากไปพร้อมกับเยี่ยเฟิงหาน

อูลี่เค่อมองทั้งสองจากไปแล้ว ก็พลันรู้สึกใจสะดุด ราวกับลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป ความไม่สบายใจเริ่มก่อเกิดขึ้นทั่วร่าง

ข้าคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ?

ไม่แน่ว่าอาจเป็นแรงกดดันที่พวกมนุษย์ส่งมากระมัง

อูลี่เค่อส่ายหน้า หมายจะสลัดเงามืดในจิตใจทิ้งไป

กระนั้นก็ยิ่งพยายามกำจัดก็ยิ่งกังวลมากกว่าเก่า

สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ได้แต่รู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างสูง

เขาไม่ได้ตามสองคนนั้นไป ชัยชนะตลอดหมื่นปีที่ผ่านมามีน้ำหนักมากกว่าความรู้สึกส่วนตนที่เขามี อูลี่เค่อเดินออกจากหอวิญญาณ รอแผนดำเนินการต่อไป

เขามั่นใจในพิษล้างโคตรเป็นอย่างมาก

มันอาจจะไม่สามารถสังหารซูเฉินหรือกู่ชิงลั่วได้ แต่อย่างน้อยก็โจมตีนิกายไร้ขอบเขตเสียหายรุนแรงเป็นแน่ หากไปเปิดไหกลางทัพศัตรู ก็เป็นไปได้ว่าจะสามารถสังหารทหารกว่า 9 ใน 10 ส่วนได้ในคราวเดียว

นิกายไร้ขอบเขตก็จะไม่สามารถเข้าโจมตีเผ่าวิญญาณได้อีกต่อไป

เวลาผ่านไปช้า ๆ

ภาพที่อูลี่เค่อรอได้เห็นกลับไม่เกิดขึ้น

ทำให้เขาร้อนใจไม่น้อย

เกิดอะไรขึ้นกัน ?

เหตุใดพิษล้างโคตรยังไม่ทำงานอีก ?

สภาวะอารมณ์ของเขาเริ่มไม่มั่นคงขึ้นมา

ในตอนนี้ กองทัพเผ่าวิญญาณถูกกองทหารจากนิกายกดดันอย่างหนักหน่วง

เผ่าที่ตกเป็นทาสถูกตีแตกกระจาย เผ่าข่าปู้เลอตาขาวทั้งหลายหมดแก่ใจจะสู้ กระทั่งวิชาที่กระตุ้นให้พวกเขาเลือดร้อนขึ้นมายังไม่สามารถยับยั้งความคิดหลบหนีตามสัญชาตญาณของพวกเขาลงได้

ริ้วดาบไล่ล่าไม่ลดละ ไม่นานอูลี่เค่อก็ถูกดึงเข้าไปร่วมด้วย

ทำไม ? ทำไมมันถึงยังไม่เปิดใช้งานอีกเล่า ?

อูลี่เค่อยิ่งเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้สึกกระวนกระวายภายในยิ่งแรงขึ้นจนกระจายไปทั่วร่าง

ในตอนนั้นอูลี่เค่อพลันเข้าใจ

ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่เขาก็รู้ว่าแผนเขาล้มเหลวแล้ว

ล้มเหลวโดยสมบูรณ์ !

ตู้ม !

เสียงครวญครางเจ็บปวดยังไม่ลดน้อยถอยลง นิกายไร้ขอบเขตยังรุดหน้ามาไม่เกรงกลัว เผ่าวิญญาณเริ่มแตกสลายแล้ว

“ผู้อาวุโสอูลี่เค่อ เหตุใดพิษล้างโคตรจึงยังไม่ทำงานอีกเล่า ?” ผู้อาวุโสทั้งสี่ในหอวิญญาณถามเสียงตื่นตระหนก

จังหวะนั้น อูลี่เค่อกลับดูสงบลงอย่างเห็นได้ชัด

เขาหันหลังจากไป “แผนการล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สั่งให้เผ่าวิญญาณทั้งหมดที่เหลืออยู่ ใครที่ยังโชคดีมีชีวิตรอดให้ถอยเสีย”

“ล้มเหลวหรือ ? จะล้มเหลวได้อย่างไรกัน ?” คนอื่นถามขึ้น

“ข้าไม่รู้ !” ในที่สุดอูลี่เค่อก็คุมอารมณ์ไม่อยู่ ตวาดเสียงดังออกมา “ตอนนี้ทำได้เพียงรีบออกไปจากที่นี่ และปกป้องพวกที่ยังเหลืออยู่เท่านั้น !”

เสียงแตรทุ้มต่ำเป็นสัญญาณให้เผ่าวิญญาณล่าถอย ในจังหวะเดียวกันนั้น หุ่นเชิดที่พวกมันควบคุมก็พุ่งออกไปอย่างดุดัน ช่วยถ่วงเวลาให้เจ้านายตน

“คิดหนีหรือ ?” ซูเฉินเหลือบมองไหหยกใจสลายข้างกายแล้วก็คลี่ยิ้ม “โจมตี !”