หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1307 โยนตัวเองลงหม้อ
ฮึ่ม**!**
มิติสีแดงเข้มอัดแน่นด้วยคลื่นหลิงโหมกระหน่ำสว่างไสวเงามหึมายืนอยู่ในโลกสีแดงเข้ม คลื่นลมหายใจร้อนผ่าวพ่นออกมา ทำให้มิติถึงกับบิดเบือนจากความร้อน
ร่างใหญ่นี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นในค่ายกลเพลิงทะยาน ซึ่งประกอบไปด้วยคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ระหว่างสวรรค์และโลก พลังอำนาจลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มได้เลยทีเดียว
เมื่อคลื่นความร้อนพัดออกมา อุณหภูมิในถ้ำก็เพิ่มขึ้น
ความปั่นป่วนจากด้านมู่เฉินดึงดูดความสนใจของผู้อื่นทันที เมื่อพวกเขาเห็นเปลวเพลิงทะยานขึ้น ใบหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนไปอย่างควบคุมไม่ได้
“ค่ายกลระดับจงซือขั้นสูง?!” เวินชิงเฉวียนเบิกตากว้าง ขณะจ้องมองมู่เฉินด้วยความตกใจ ‘ที่แท้มู่เฉินบรรลุการเป็นหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียนแล้ว!’
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงมั่นใจในการรับมือกับองครักษ์เงาทั้งสองคน ที่แท้เขาก็มีไพ่ตายเช่นนี้อยู่ในมือนี่เอง!
“เจ้านั่น!” เวินชิงเฉวียนกัดฟันพร้อมกับสายตาซับซ้อน ตอนที่อยู่ในศึกเบญจภาคีมู่เฉินก็ทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่านางมากนัก
หลังจากผ่านไปหลายปี เมื่อพบกันอีกครั้ง แม้ขุมพลังระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายของมู่เฉินจะทำให้นางประหลาดใจ แต่ก็ยังคงอยู่ในขอบเขตที่ยอมรับได้
แต่นางไม่คิดว่าการเพาะบ่มขุมพลังหลิงของมู่เฉินจะเป็นเพียงแค่พื้นผิว ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงให้เห็นจนถึงตอนนี้อาจเป็นเพียงแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็ง
เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้แต่นางหงส์ที่มั่นใจในตัวเองอย่างเวินชิงเฉวียนยังรู้สึกรันทดลงหลายส่วน ‘เพื่อนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดแท้จริง’
ในคุกที่หลิงซีสร้างขึ้น หวู่ทงก็มองมู่เฉินด้วยดวงตาหดลง เมื่อเขาเห็นค่ายกลเพลิงทะยาน คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น
ชัดว่าความสามารถของมู่เฉินไม่อยู่ในความคาดหมายของเขา
“ไอ้เจ้านั่นมีกลยุทธ์บางอย่าง แต่ถึงแม้ว่ามันจะหลิงเจิ้นจงซือขั้นเทียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับองครักษ์เงาชั้นสูงสองคนของตระกูลหวู่!” ความเย็นชาวูบไหวบนใบหน้าของหวู่ทง องครักษ์เงาทั้งสองมีขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม ดังนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมู่เฉินที่จะจัดการกับพวกเขาด้วยค่ายกลแค่นี้
ยิ่งไปกว่านั้นมีเพียงองครักษ์คนเดียวที่ถูกขัง
ต่อไปคนที่สองจะต้องปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดใส่มู่เฉินแน่ ในเวลานั้นมู่เฉินจะไม่มีพลังงานในการควบคุมค่ายกล ถ้าควบคุมไม่ได้องครักษ์คนแรกก็จะสลัดหลุดออกมาได้อย่างง่ายดาย
ในเวลานั้นมู่เฉินจะถูกล้อมกรอบจากองครักษ์เงาทั้งสอง
“แต่ค่ายกลนี้ท่าจะเป็นปัญหาแล้ว”
หวู่ทงละสายตากลับมามองคุกน้ำที่ยึดตัวเขาไว้ แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่ทรงพลังแต่กลับมีพลังในการกักขังดีเยี่ยม แม้ว่าเขาจะใช้วิธีการต่างๆ ก็ยังไม่สามารถบุกทะลวงออกไปได้
ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ตั้งใจจะรั้งเขาไว้เท่านั้น
สายตาหวู่ทงวูบไหว มุมหางตาจ้องมองไปที่หม้อกลั่น ความแวววับที่อธิบายไม่ได้วาบผ่านในดวงตา…
ตู้ม**!**
อ่านนิยาย
เพลิงก่อตัวเป็นภาพเงาขนาดยักษ์ ปลดปล่อยการโจมตีดุเดือดไปยังองครักษ์เงา ขณะที่หมัดควงออกมา เปลวไฟรุนแรงก็ซัดใส่องครักษ์เงาจังใหญ่
ตึง!
โดยไม่มีความกลัว องครักษ์เงาพุ่งตัวออกไปปะทะเต็มแรง ผลกระทบรุนแรงนี้ทำให้ถ้ำใหญ่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด
ขณะที่การต่อสู้เข้มข้นเกิดขึ้นในค่ายกล องครักษ์เงาอีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้าหามู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงรุนแรงและไร้ขอบเขตรวมตัวกันที่กำปั้น ทำให้กำปั้นนี้มีพลังแตกท้องฟ้าได้เลย
เจดีย์ขยายในดวงตาของมู่เฉิน เปลี่ยนคลื่นหลิงในร่างกายให้เป็นผลึกคลื่นหลิง จากนั้นหมัดก็ชกออกไป ลวดลายผลึกใสนับไม่ถ้วนพล่านบนแขนของเขา
ตึง ตึง!
เมื่อร่างทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง มิติก็ผันผวน ทำให้การต่อสู้ดูดุเดือดอย่างยิ่ง
แต่ในขณะที่มู่เฉินกำลังโรมรันพันตู ค่ายกลเพลิงทะยานก็เริ่มจางหายไปอย่างที่หวู่ทงคาดไว้ ขบวนแถวแสงเริ่มหม่นลง ภาพเงาขนาดมหึมาก็เริ่มถอยจากการบีบบังคับโดยองครักษ์เงา
ทว่าเมื่อภาพนี้เพิ่งจะปรากฏ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว มิติพลิกผันที่เบื้องหลัง มู่เฉินชุดขาวปรากฏขึ้น จากนั้นก็เข้าพุ่งไปในค่ายกล ก่อนที่จะนั่งลงและเริ่มควบคุม
เมื่อมู่เฉินชุดขาวเข้าไปแล้ว ค่ายกลเพลิงทะยานก็ระเบิดออกพร้อมกับเกลียวแสงสีแดงมากมายพวยพุ่ง ภาพเงาขนาดยักษ์คำรามก้อง พลิกสถานการณ์ทำให้องครักษ์เงาตกที่นั่งลำบาก
เมื่อค่ายกลเสถียร มู่เฉินก็มีเวลาพุ่งความสนใจไปที่การต่อสู้ จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่เขาตระหนักได้ว่าถึงแม้ว่าจะใช้การขยายของเจดีย์ แต่เขาก็ยังคงเสียเปรียบเมื่อต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม
ไม่ว่าอย่างไรก็มีช่องว่างกว้างใหญ่ระหว่างระดับตี้จื้อจุนขั้นปลายกับขั้นเต็มอยู่ ถ้าเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นปลายธรรมดาปะทะกับขั้นเต็ม ชีวิตของพวกเขาคงถูกเฉือนออกในสิบกระบวนท่า สำหรับมู่เฉินที่สามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้โดยไม่ใช้ร่างเทห์สวรรค์ถือว่าไม่ธรรมดามากแล้ว
“ในเมื่อข้าคนเดียวเอาชนะไม่ได้ แล้วข้าสองคนล่ะ?”
มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะที่จ้องมององครักษ์เงาที่พุ่งเข้ามา เงาส่องประกาย มู่เฉินชุดดำก็ปรากฏขึ้น ทั้งสองคนเหวี่ยงหมัดออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก่อตัวเป็นพายุเฮอริเคน แม้แต่ท้องฟ้าก็แยกออกจากกัน
ปัง!
หมัดทั้งสองปะทะกับองครักษ์เงาอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่มู่เฉินที่ถอยออกไป แต่เป็นองครักษ์เงาปลิวออกไป
ในระยะไกล ต่งซันที่สู้กับเวินจื่อหยู่ก็เหลือบมอง ใบหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาตกใจที่เห็นมู่เฉินถึงสามคน เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมู่เฉินถึงสามารถสร้างร่างดวงจิตที่มีพลังเช่นเดียวกับร่างหลักได้
“หึ สนใจตัวเองก่อนดีกว่า!”
คลิก
ขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่าน เสียงเยาะเย้ยก็ดังก้อง กระบี่เย็นทะลุผ่านมิติเสือกแทงเข้าที่หน้าอกของต่งซันทิ้งบาดแผลไว้
“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”
หลังจากได้รับบาดเจ็บโดยไม่ทันระวังตัว ใบหน้าของต่งซันก็ดูน่าขนพองสยองเกล้า จิตสังหารเพิ่มขึ้นก่อร่างเป็นใบมีดไร้ขอบเขตล้อมรอบร่างเวินจื่อหยู่เอาไว้
คลื่นหลิงรุนแรงพัดไปทั่วถ้ำ หากถ้ำนี้ไม่ใช่ถ้ำที่ภูตผีเสื้อโอสถสร้างไว้ละก็ คงจะต้องถูกทำลายจนวินาศสันตะโรจากการต่อสู้ดุเดือดเหล่านี้
“ชิงเฉวียนเร็ว! ไปคว้ามรดกมาซะ!”
ขณะที่มู่เฉินกำลังโรมันกับองครักษ์เงาสองคน เขาก็ส่งเสียงไปหาเวินชิงเฉวียนทันที
เวินชิงเฉวียนพยักหน้า ถอยออกจากวงล้อมการต่อสู้โดยไม่ลังเล ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานไปทางหม้อกลั่นที่อยู่ในส่วนลึกของถ้ำ นางรู้ว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ กำลังซื้อเวลาให้ ดังนั้นนางต้องใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
พวกต่งซันรู้สึกร้อนรนมากขึ้นกับการกระทำของเวินชิงเฉวียน พวกเขาต้องการหยุดนาง แต่ก็ถูกดักไว้ในการต่อสู้
ดังนั้นเมื่อไม่มีใครขัดขวาง เวินชิงเฉวียนก็มาถึงอย่างรวดเร็วที่เบื้องหน้าหม้อกลั่นภูตผีเสื้อโอสถที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง แม้ว่าจะไม่มีอุณหภูมิสูง แต่ก็ให้ความรู้สึกน่ากลัว
หม้อนี้ถูกทิ้งไว้โดยภูตผีเสื้อโอสถ แม้เปลวไฟจะลุกโชนมาเนิ่นนาน แต่หากไม่มีวิธีที่เหมาะสม แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มก็กลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อสัมผัสกับมันได้
เมื่อมองไปที่หม้อกลั่น เวินชิงเฉวียนก็หายใจเข้าลึกสุดปอด จากข้อมูลที่รวบรวมมา มรดกของภูตผีเสื้ออยู่ในหม้อกลั่นนี้ ดังนั้นถ้านางต้องการได้ก็ต้องโยนตัวเองเข้าไปในหม้อ
แต่ชัดเจนว่านี่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
รัศมีความตายที่เอิบอาบออกมาจากหม้อกลั่นขนาดใหญ่สามารถเผาจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มกลายเป็นเถ้าถ่านได้ ไม่ต้องพูดถึงระดับนางเลย
เวินชิงเฉวียนกัดฟันกำมือแน่น ความลังเลเคลื่อนอยู่ในนัยน์ตา แต่ไม่นานก็ถูกนางระงับ
การแสดงออกเด็ดเดี่ยวเผยบนใบหน้า
หากนางต้องการได้รับมรดก ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องยอมสูญเสียบางอย่าง หากนางไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้น ทำไมจึงสมควรได้รับมรดกเล่า?
เมื่อคิดได้ เวินชิงเฉวียนก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางส่งแรงไปที่ฝ่าเท้าโผทะยาน ร่างเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟที่น่าสะพรึงกลัวภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคน
แม้ว่ามู่เฉินจะเดาได้ว่านี่เป็นวิธีที่จะได้รับมรดก แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลกับเวินชิงเฉวียนอยู่ในใจ เพราะด้วยความผิดพลาดเล็กน้อยนางอาจถูกเผาเป็นเถ้าถ่านได้
ในเวลานี้ที่ทำได้คืออธิษฐานว่าเวินชิงเฉวียนเลือกหนทางถูกแล้ว
หวู่ทงที่อยู่ในคุกน้ำก็ยืนขึ้น มองไปที่เวินชิงเฉวียนที่โยนตัวเองเข้าไปในหม้อกลั่นขนาดใหญ่ ความคาดหวังที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตา
“เวินชิงเฉวียน อย่าทำให้ข้าผิดหวังซะล่ะ”