ตอนที่ 895 ไม่ทราบมาก่อน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เหลยเจี้ยนเชิงและฉินเทียนเดินตรงไปยังทิศทางของฉินอวี้โม่และนิกายหมื่นบุปผา ทว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ พวกเขาก็เห็นว่าฮวาเยว่ที่หันหลังกลับและเตรียมจะเดินจากไป

“ฮวาเยว่ รอประเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วยสักหน่อย”

เหลยเจี้ยนเชิงรีบเอ่ยหยุดนางไว้อย่างรวดเร็ว

“จ้าวนิกายเหลย ในช่วงที่ผ่านมานี้มีคนจากนิกายกระบี่สายฟ้าแอบซุ่มเข้ามาในนิกายหมื่นบุปผาของเราเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ทว่าตอนนี้ท่านก็ยังจะมาขวางข้าไว้อีก สุดท้ายแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่ ?”

ฮวาเยว่เริ่มหมดความอดทนและไม่ได้แสดงความเป็นมิตรต่อเหลยเจี้ยนเชิงแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม นางก็หยุดการเคลื่อนไหวและตอบกลับอย่างเยือกเย็น

“ท่านจอมยุทธ์ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสหายเหลย ทว่าเป็นข้าเองที่ต้องการจะหาคำตอบบางอย่าง คนจากนิกายกระบี่สายฟ้าเหล่านั้นเพียงออกไปช่วยสืบข่าวให้ข้าเท่านั้น”

ฉินเทียนไม่ยอมปล่อยให้เหลยเจี้ยนเชิงต้องเผชิญกับความไม่เป็นธรรมเพราะตน เขาจึงกล่าวออกไปและแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเอง

“ท่านเป็นใครกัน ? และท่านต้องการจะสืบทราบเรื่องใดเกี่ยวกับนิกายหมื่นบุปผาของเรา ?”

ฮวาเยว่หันไปมองฉินเทียนด้วยแววตาเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจนและดูเหมือนจะไม่อยากพูดคุยกับเขาด้วยซ้ำ

“เขาคือผู้อาวุโสคนใหม่ของนิกายกระบี่สายฟ้าของเราและเป็นสหายคนสนิทของข้า—ฉินเทียน สิ่งที่เขาต้องการสืบหาก็คือเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเขา”

เหลยเจี้ยนเชิงตบไหล่ฉินเทียนพร้อมกล่าวออกไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะอยู่เคียงข้างฉินเทียน

“แล้วภรรยาของท่านเกี่ยวอะไรกับนิกายหมื่นบุปผากัน ?”

ฮวาเยว่ฉงนสงสัยอย่างที่สุดและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย นางเป็นสตรีที่ให้คุณค่ากับความรักและความชอบธรรม เมื่อได้ยินว่าฉินเทียนกำลังสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของภรรยา นางก็ไม่แสดงท่าทางเป็นปฏิปักษ์อีกต่อไป

“ความเป็นจริงคือภรรยาของข้าหายตัวไปมากกว่ายี่สิบปีแล้ว ข้าพยายามตามหานางมาตลอดและในที่สุดข้าก็ได้เบาะแสว่านางเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผา ข้าอยากไปที่นั่นด้วยตัวเอง ทว่าหากปราศจากคำเชิญจากนิกายหมื่นบุปผา ข้าก็เข้าไปที่นั่นไม่ได้ เมื่อถึงคราวสิ้นหวัง ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขอให้สหายเหลยช่วยข้าสืบหาข่าว หากทำสิ่งใดให้ขุ่นเคืองใจ ข้าก็หวังว่าท่านจะให้อภัยข้าได้”

ฉินเทียนประกบกำปั้นเข้าด้วยกันและอธิบายถึงสถานการณ์ของตนเองอย่างไม่ปิดบัง

“ภรรยาของท่านเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผารึ ?”

ฮวาเยว่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเรียกสติกลับคืนมาและเอ่ยถามเพื่อความแน่ชัด

“ถูกต้อง ภรรยาของข้ามีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ไม่ทราบว่าผู้คุมกฎเคยได้ยินบ้างหรือไม่ ?”

ฉินเทียนทราบถึงสถานะของฮวาเยว่เป็นอย่างดี หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวที่นั่นจริง ในฐานะผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผา ไม่มีทางที่นางจะไม่ทราบความเคลื่อนไหวภายในนิกาย เพียงแต่เขาไม่มั่นใจว่าฮวาเยว่จะตอบตามความจริงหรือไม่

เรื่องนี้ดูจะเป็นความลับของนิกายหมื่นบุปผา ไม่เช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมานี้พวกเขาก็คงจะได้รับเบาะแสมาไม่มากก็น้อย

ฮวาเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะและหยิบสมุดออกมาจากแหวนมิติยื่นให้กับฉินเทียน

“ลองตรวจสอบดูเองเถอะ สมุดนี้คือรายชื่อศิษย์ทั้งหมดของนิกายหมื่นบุปผาและไม่มีชื่อของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นบันทึกไว้”

ฮวาเยว่เป็นคนตรงไปตรงมาเช่นกัน นางทราบดีว่าหากกล่าวเพียงวาจาก็อาจไม่มากพอให้ฉินเทียนเชื่อได้ เพราะเหตุนั้นนางจึงหยิบรายชื่อให้เขาตรวจสอบดูด้วยตัวเอง ซึ่งในกรณีนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกต้องเชื่อในสิ่งที่เห็น

ฉินเทียนรับสมุดดังกล่าวมาและไล่ดูรายชื่ออย่างรวดเร็วก่อนยืนยันว่าไม่มีชื่อของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่จริง

“ข้าดำรงตำแหน่งผู้คุมกฎฝั่งซ้ายของนิกายหมื่นบุปผามาเป็นเวลานานและไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน แต่ข้าก็เชื่อว่าท่านไม่ได้โกหก”

ฮวาเยว่มองฉินเทียนและเชื่อว่าเขาไม่ได้โกหกตนอย่างแน่นอน

ฉินเทียนดูเป็นบุรุษที่จริงใจและตรงไปตรงมามาก แววตาของเขาก็บ่งบอกถึงความกังวลและความเป็นห่วงในตัวภรรยาจนฮวาเยว่รับรู้ได้ บางทีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็อาจจะเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผาจริงหรือฉินเทียนอาจจะถูกหลอกโดยใครสักคนก็เป็นได้

“หลังจากกลับไปที่นิกาย ข้าจะช่วยสืบหาข่าวให้ หากได้เรื่องอย่างไร ข้าจะส่งคนไปแจ้งข่าวที่นิกายกระบี่สายฟ้า ท่านไม่ต้องส่งคนมาที่นิกายหมื่นบุปผาเพื่อสืบเรื่องนี้อีก”

นางกล่าวขึ้นเบา ๆ และแสดงทัศนคติอย่างชัดเจน

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณล่วงหน้า”

ฉินเทียนยกกำปั้นทั้งสองประกบกันอีกครั้งและกล่าวกับฮวาเยว่ด้วยสีหน้าจริงใจ

ความเป็นปฏิปักษ์ที่ฮวาเยว่มีต่อนิกายกระบี่สายฟ้าก็ลดน้อยลงมาก ในเมื่อทราบแล้วว่าการกระทำของพวกเขามีเหตุผลอันสมควรและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมิใช่การจงใจยั่วยุใด ๆ นางก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความไม่พอใจอีกต่อไป

“จ้าวนิกายเหลย ท่านและข้าต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมา หากในอนาคตเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกก็แจ้งข่าวล่วงหน้าเพื่อขอเดินทางไปที่นิกายด้วยตัวเองได้เลย ในฐานะหนึ่งในจ้าวนิกายของนิกายทั้งเก้า ไม่มีทางที่จ้าวนิกายของเราจะไม่ยอมพบท่านหรอก”

ฮวาเยว่กล่าวกับเหลยเจี้ยนเชิงเพื่อแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน แม้จะสะสางความผิดใจก่อนหน้านี้แล้ว นางก็รู้สึกไม่สบายใจกับการกระทำอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ของนิกายกระบี่สายฟ้า

“ฮวาเยว่ หากสิ่งต่าง ๆ เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิดมันก็คงจะดีไม่น้อย ทว่าเจ้าลองคิดเถอะดู..หากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผาจริง ทว่าเจ้าในฐานะผู้คุมกฎกลับไม่ทราบเรื่องอะไรเลย นิกายหมื่นบุปผาก็คงจะแตกต่างไปจากที่เจ้าเข้าใจ”

เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือและบางอย่างก็ไม่ได้สว่างสดใสเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก เขาทราบดีว่าฮวาเยว่เป็นสตรีที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตาม จ้าวนิกายหมื่นบุปผาก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป

“ท่านหมายความว่าอะไรกัน ?”

ฮวาเยว่ขมวดคิ้วมุ่นทว่าเกิดความคิดบางอย่างในใจ หากเป็นจริงดังที่เหลยเจี้ยนเชิงกล่าวไว้ บางทีอาจมีเรื่องราวเบื้องลึกบางอย่างที่นางไม่ทราบอย่างแท้จริง

“เจ้าอาจจะได้เรื่องบางอย่างเมื่อกลับไปสืบหาข่าว แต่ข้าขอแนะนำให้เจ้าพยายามสืบหาข่าวอย่างลับ ๆ”

เหลยเจี้ยนเชิงไม่ต้องการอธิบายสิ่งใดอีกและเพียงกำชับฮวาเยว่ทิ้งท้าย

“เข้าใจแล้ว”

ฮวาเยว่พยักศีรษะและไม่กล่าวสิ่งใดอีก

“เอาล่ะ หากมีข่าวใด ข้าจะส่งคนไปแจ้งท่านโดยเร็วที่สุด”

หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ฮวาเยว่ก็หันหลังและเดินจากไป

ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ก็เดินตามไปอย่างไม่รีรอเช่นกัน

“สหายฉิน ไปกันเถอะ”

เหลยเจี้ยนเชิงตบไหล่ฉินเทียนเบา ๆ แม้เห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายจับจ้องที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออย่างไม่วางตา เขาก็ยังไม่เอ่ยถามสิ่งใด

“ตกลง”

ฉินเทียนพยักศีรษะและเดินไปพร้อมกับเหลยเจี้ยนเชิงโดยมีเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ ตามอยู่ข้างหลัง

เมื่อมาถึงลานที่พักและเข้าไปในห้องโถง ฉินเทียนก็โบกมือเล็กน้อยเพื่อวางม่านป้องกันรอบห้อง

“คารวะท่านลุงขอรับ”

เซิ่งเซียวและทุกคนกล่าวทักทายฉินเทียนอย่างเคารพนับถือทันที

“สหายฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน ?”

เหลยเจี้ยนเชิงตกตะลึงไปครู่หนึ่งทันที ก่อนหน้านี้ฉินเทียนบอกให้เขารับคนเหล่านี้มาเป็นศิษย์ของนิกายทว่ายังไม่ได้อธิบายสิ่งใด และตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะรู้จักกันมาก่อน

“สหายเหลย เซิ่งเซียวและข้าต่างก็มาจากดินแดนเทพมายาด้วยกันและคนอื่น ๆ ก็เป็นมิตรสหายของบุตรสาวของข้า”

ฉินเทียนกล่าวแนะนำเซิ่งเซียวและคนอื่น ๆ กับเหลยเจี้ยนเชิงด้วยรอยยิ้มกว้างทันที

“บุตรสาวของสหายฉิน…เสี่ยวโม่เอ๋อร์น่ะรึ ?”

เหลยเจี้ยนเชิงเคยได้ยินเรื่องของฉินอวี้โม่จากฉินเทียนมาก่อนแล้วและร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในความคิดทันที

“หรือว่าศิษย์คนใหม่ที่ติดตามฮวาเยว่ก่อนหน้านี้จะเป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์ ?”

เขาเอ่ยถามออกไปทันที เมื่อนึกย้อนไปถึงก่อนหน้านี้ที่ค้นพบว่าฉินเทียนแอบชำเลืองมองฉินอวี้โม่อยู่หลายครา เขาก็พอจะคาดเดาได้ไม่ยาก

“ถูกต้อง นางคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์”

ฉินเทียนพยักศีรษะและตอบกลับตามความจริง

“ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้น ที่แท้นางก็เป็นเสี่ยวโม่เอ๋อร์นี่เอง”

เหลยเจี้ยนเชิงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนหน้านี้เขาเพียงกวาดสายตามองไปโดยไม่ตั้งใจนัก ทว่าก็รับรู้ได้ว่าสตรีที่ติดตามฮวาเยว่เป็นสตรีที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง

“อีกประเดี๋ยวเสี่ยวโม่เอ๋อร์ก็คงจะมาที่นี่เช่นกัน”

ฉินเทียนครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกไป