ในเวลานี้ กลุ่มของฉินอวี้โม่ตามฮวาเยว่มาจนถึงลานที่พักชั่วคราวของนิกายหมื่นบุปผา
“เราจะเดินทางกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผาในอีกสามวันข้างหน้า หากพวกเจ้ายังต้องพบปะบอกลาใครหรือมีสิ่งใดต้องทำก็รีบไปจัดการให้เรียบร้อย เมื่อเข้าไปในนิกายแล้ว พวกเจ้าจะไม่สามารถเข้า-ออกนิกายได้ตามต้องการ”
หลังจากอธิบายกับฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ฮวาเยว่ก็แยกตัวกลับไปที่ห้องพักของตน
วาจาของเหลยเจี้ยนเชิงก่อนหน้านี้ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย หากเป็นจริงดังที่เขากล่าว ถ้าเช่นนั้นจ้าวนิกายของพวกนางก็…
“ศิษย์พี่เหมยเซียง ท่านผู้คุมกฎเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ถือโอกาสเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าก็คงจะได้ยินถึงสิ่งที่จ้าวนิกายกระบี่สายฟ้ากล่าวกับท่านผู้คุมกฎเมื่อครู่นี้ ท่านผู้คุมกฎน่าจะกำลังใช้ความคิดและต้องการอยู่เงียบ ๆ สักพัก”
เหมยเซียงแตะมือฉินอวี้โม่เบา ๆ เพื่อมิให้นางเป็นกังวล
สี่ยอดสตรีงามของนิกายหมื่นบุปผาล้วนเป็นคนช่างจ้อ ไม่ว่าจะเป็นเหมยเซียง หลานเซียงหรือจู๋เซียงที่เดินทางมาในวันนี้ล้วนกระตือรือร้นที่จะพูดคุยและทำความรู้จักกับกลุ่มของศิษย์ใหม่อย่างฉินอวี้โม่
“ไปจัดการเรื่องของพวกเจ้าเถอะ ข้าทราบว่าพวกเจ้าและศิษย์ใหม่ของนิกายกระบี่สายฟ้าสนิทสนมกันมาก พวกเจ้าไปร่ำลากับพวกเขาให้เสร็จสิ้นก่อนออกเดินทางไปที่นิกายเถอะ ในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นเวลาว่าง พวกเจ้าแค่มาพบพวกเราในอีกสองวันก็พอ”
“เจ้าค่ะ ศิษย์พี่”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับและมุ่งหน้าออกจากลานที่พักชั่วคราวของนิกายหมื่นบุปผาพร้อมกับหานโม่ฉือ
เมื่อมาถึงที่พักชั่วคราวของเหลยเจี้ยนเชิงและฉินเทียน พวกนางก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ นี่คือเหลยเจี้ยนเชิง—จ้าวนิกายกระบี่สายฟ้า เราร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันแล้วและก่อนหน้านี้สหายเหลยก็ได้ช่วยข้าไว้มากมาย”
ในตอนนี้ ฉินเทียนได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นของฉินอวี้โม่หลังจากที่มาถึงดินแดนเทพมายาจากเซิ่งเซียวแล้วและรู้สึกผิดต่อฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก หากเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาก็คงไม่ต้องเผชิญอุปสรรคมากมายเช่นนี้
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่มาถึง เขาก็รีบกล่าวแนะนำเหลยเจี้ยนเชิงและเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างพวกตนทันที
“คารวะท่านลุงเจ้าค่ะ/ขอรับ”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือคุกเข่าคำนับเหลยเจี้ยนเชิงพร้อมกันอย่างเคารพนอบน้อม
“ฮ่า ๆ ๆ ลุกขึ้นเถอะ ก่อนหน้านี้พ่อของเจ้าเล่าเรื่องของเจ้าและพ่อหนุ่มโม่ฉือให้ข้าฟังบ่อย ๆ ในตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อหรอก ทว่าตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าคำบอกกล่าวของพ่อเจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับความเป็นจริงด้วยซ้ำ เจ้าทั้งสองยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคิดไว้มากนัก”
เหลยเจี้ยนเชิงยิ้มกว้างขณะยื่นมือออกไปประคองให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือลุกขึ้นพร้อมกล่าวตามความจริง
“ขอบคุณสำหรับคำชมเจ้าค่ะ ท่านลุง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบและเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดบิดาของตนจึงร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเหลยเจี้ยนเชิง พวกเขาทั้งสองเป็นคนซื่อตรงและองอาจผึ่งผาย อีกทั้งยังมีลักษณะนิสัยที่คล้ายกันไม่น้อย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ตอนนี้แผนการของเจ้าเป็นอย่างไรรึ ?”
หลังจากทุกคนนั่งลง ฉินเทียนก็กล่าวเข้าประเด็นทันที
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาอย่างเป็นทางการแล้ว ทว่าจากข้อมูลที่พวกเขาได้รับมา นิกายหมื่นบุปผาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ผู้ใดคาดคิด แม้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะเข้าร่วมนิกายได้สำเร็จ ทว่าหากทำสิ่งใดพลาดไปหรือเผยให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล เกรงว่าพวกนางก็อาจจะเผชิญกับวิกฤตได้
“ด้วยการที่นิกายหมื่นบุปผาเป็นนิกายที่ลึกลับซ่อนเงื่อน ข้าจึงต้องไปที่นั่นเพื่อสืบหาความจริงด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวตอบอย่างหนักแน่น
ฮวาเยว่ไม่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและนางมั่นใจว่าข่าวที่ได้จากผู้เฒ่าเซียวเหยามิใช่ข่าวปลอมอย่างแน่นอน มารดาของนางจะต้องเคยปรากฏตัวในนิกายหมื่นบุปผาทว่าอาจเกิดเรื่องบางอย่างระหว่างนั้นส่งผลให้นางหายตัวไป บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวข้องกับจ้าวนิกายหมื่นบุปผาโดยตรง เพราะเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อยืนยันให้แน่ชัดและสืบหาเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับมารดา
“เอาล่ะ พ่อของเจ้าและข้าจะคอยเบี่ยงเบนความสนใจของนิกายหมื่นบุปผาอย่างเปิดเผย จ้าวนิกายจะได้ไม่มีเวลาสนใจเรื่องของเจ้ามากจนเกินไป เราจะช่วยเจ้าให้มากที่สุด”
เหลยเจี้ยนเชิงทราบถึงนิสัยของฉินอวี้โม่จากฉินเทียนมาก่อนแล้วและไม่คิดขัดขวางนาง สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของจ้าวนิกายหมื่นบุปผาซึ่งจะช่วยให้ฉินอวี้โม่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
“ส่วนฮวาเยว่ ข้าเชื่อว่านางไม่ทราบเรื่องจริง ๆ ข้าได้ยินมาเสมอว่านางเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ชื่นชอบการโกหกหลอกลวง อีกอย่าง…ในเมื่อนางกล่าวแล้วว่าจะช่วยสืบอีกแรงเมื่อกลับไปที่นิกายหมื่นบุปผา นางก็จะไม่โกหกแน่ สิ่งที่ข้ากังวลมากกว่าคือนางอาจจะเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยจนเกินไปและทำให้จ้าวนิกายหมื่นบุปผาไหวตัวขึ้นมา”
เหลยเจี้ยนเชิงขมวดคิ้วมุ่น อันที่จริงเขาก็รู้สึกชื่นชมฮวาเยว่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม จ้าวนิกายหมื่นบุปผามิใช่คนเรียบง่ายอย่างที่เห็นภายนอก หากฮวาเยว่เอ่ยถามออกไปตรง ๆ อีกฝ่ายอาจจะรู้สึกตกใจและคิดกำจัดนางเพื่อปกปิดความลับได้
“ข้าจะเปิดเผยถึงตัวตนและจุดประสงค์ที่แท้จริงที่ข้าเลือกเข้าร่วมกับนิกายหมื่นบุปผาต่อท่านผู้คุมกฎ รวมถึงเตือนนางให้ระวังตัว”
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง ทัศนคติและบุคลิกของฮวาเยว่ก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าควรเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับนางไป และเชื่อว่าหากทราบความจริง ฮวาเยว่จะช่วยคุ้มครองตนและไม่เปิดโปงแผนการที่ซ่อนไว้อย่างแน่นอน
ฉินเทียนพยักศีรษะขณะมองไปที่หานโม่ฉือและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “โม่ฉือ เราเข้าไปที่นิกายหมื่นบุปผาไม่ได้ หลังจากที่เข้าไปที่นั่น แม้เจ้าจะเป็นได้เพียงศิษย์นอก เจ้าก็ยังติดต่อกับเสี่ยวโม่เอ๋อร์ได้ สำหรับความปลอดภัยของเสี่ยวโม่เอ๋อร์…ข้าขอฝากเจ้าก็แล้วกัน”
แม้ทราบว่าหานโม่ฉือจะปกป้องฉินอวี้โม่อย่างสุดความสามารถ ฉินเทียนก็อดกำชับไม่ได้
“ท่านพ่อตาไม่ต้องห่วงขอรับ ข้าจะดูแลโม่เอ๋อร์เป็นอย่างดี !”
หานโม่ฉือพยักศีรษะและตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นี่คือสาเหตุหลักที่เขาต้องการเข้าร่วมนิกายหมื่นบุปผา เขาจะต้องปกป้องฉินอวี้โม่และไม่ปล่อยให้นางตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
ทุกคนพูดคุยกันพักใหญ่ก่อนมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมือง
“ท่านเจ้าเมือง พวกเราขอฝากท่านแจ้งข่าวกับตระกูลของเราในเมืองเทียนหยวนด้วยขอรับ เราไม่มีโอกาสได้กลับไปบอกลาทุกคนด้วยตัวเอง”
ซ่างจู๋มู่กล่าวกับจ้าวเหลียง—เจ้าเมืองเทียนหยวนและยื่นจดหมายให้กับเขา
เฉินหยางชั่วและคนอื่น ๆ ก็ยื่นจดหมายหลายฉบับให้กับเขาเช่นกันเพื่อส่งไปถึงสมาชิกในครอบครัวของตน
“ทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าจะส่งจดหมายเหล่านี้ไปถึงมือของครอบครัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าจงหมั่นเพียรฝึกฝนเมื่อไปถึงนิกายกระบี่สายฟ้า ไม่ต้องห่วงสถานการณ์ในฝั่งของเมืองเทียนหยวน ในเมื่อมีข้าอยู่ มันจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน !”
จ้าวเหลียงเก็บจดหมายเหล่านั้นลงในแหวนมิติและกวาดสายตามองทุกคนด้วยความโล่งใจ
พวกเขาเหล่านี้เป็นความภาคภูมิใจของเมืองเทียนหยวนและในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของดินแดนได้อย่างแน่นอน
“ท่านเจ้าเมือง ข้าขอฝากท่านดูแลตระกูลฉินในเมืองเทียนหยวนด้วยนะเจ้าคะ”
ก่อนเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายนี้ ฉินอวี้โม่ก็ได้จัดการสิ่งต่าง ๆ กับตระกูลฉินในเมืองเทียนหยวนไว้แล้ว อย่างไรก็ตาม การไปที่นิกายหมื่นบุปผาครานี้ นางไม่มั่นใจเลยว่าจะได้กลับออกมาอีกเมื่อใด หากเกิดเรื่องใดขึ้นมา การมีจ้าวเหลียงคอยช่วยดูแลความเรียบร้อยก็จะเป็นสิ่งที่ดี
“ไม่มีปัญหา อวี้โม่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอื่นหรอก ทว่าเจ้าควรจะระวังตัวไว้ให้มากขึ้น”
จ้าวเหลียงพยักศีรษะและกล่าวเตือนฉินอวี้โม่อย่างจริงจัง
นิกายหมื่นบุปผาไม่เหมือนกับนิกายกระบี่สายฟ้า เฝิงเยี่ยและคนอื่น ๆ เข้าร่วมกับนิกายกระบี่สายฟ้าโดยมีความช่วยเหลือจากฉินเทียน เพราะเหตุนั้นจึงไม่มีสิ่งใดต้องเป็นห่วงมากนัก ในทางตรงกันข้าม นิกายหมื่นบุปผาที่ฉินอวี้โม่เข้าร่วมนั้นซับซ้อนเกินคาดเดาและพวกนางจะเผชิญกับวิกฤตมากมายอย่างแน่นอนซึ่งจะพึ่งพาได้เพียงตัวเองเท่านั้น เพราะเหตุนั้นเขาจึงอดเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกนางไม่ได้
ในระหว่างสองวันต่อมา ฉินอวี้โม่และสหายก็กล่าวอำลากันรวมถึงจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ จนเรียบร้อย ในวันที่สาม พวกนางก็มุ่งหน้าไปที่ประตูเมืองเพื่อรวมตัวกับบรรดาศิษย์ของนิกายหมื่นบุปผาและเตรียมตัวออกเดินทางไปยังนิกายหมื่นบุปผา . .